ในขณะเดียวกัน
ยุคอดีต
เมืองหลวงหยง
ภายในราชสำนักฉินและทั่วทั้งแคว้นเวลานี้อยู่ในระหว่างไว้ทุกข์ให้แก่อดีตเจ้าผู้ครองแคว้น อิ๋งหรงหรือฉินเหรินกง ซึ่งสวรรคตลงอย่างกะทันหัน เมื่อทรงทราบข่าวชัยชนะของแคว้นฉินเหนือแคว้นต้าเหลียง โดยการนำทัพขององค์ชายอิ๋งหยางพระโอรสผู้ถูกเนรเทศไปพำนักอยู่ชายแดน ตั้งแต่มีพระชนมายุเพียงห้าพระชันษา โดยที่มิได้พานพบพระพักตร์ระหว่างพ่อกับลูกแม้แต่ครั้งเดียว
ด้วยฉินเหรินกงเจ้าผู้ครองแคว้นฉิน พระราชบิดาทรงเสียพระทัยในการจากไปของฮองเฮาเป็นยิ่งนัก พระนางสิ้นพระชนม์ทันทีที่ได้พบกับพระโอรสองค์โต ทรงมอบความรักให้อดีตฮองเฮาและองค์ชายอิ๋งหยางและพยายามปกป้องทุกอย่างเพื่อให้ปลอดภัย แต่ก็มิอาจต้านทานแรงกดดันของเหล่าขุนนางภายราชสำนักได้ ด้วยองค์ชายอิ๋งหยางทรงมีดวงพิฆาตชีวิตผู้คนและจะทำให้แคว้นถึงคราวล่มสลายหากขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นสืบต่อไป
อดีตเจ้าผู้ครองแคว้นพยายามช่วยพระโอรสมาโดยตลอด ทรงตัดพระทัยมิพานพบองค์ชายอิ๋งหยางเพื่อให้ลูกน้อยอยู่ใกล้อดีตฮองเฮาของพระองค์ซึ่งคือพระมารดา แต่แล้วความรักของคนเป็นแม่มิอาจทนความคิดถึงลูกน้อยได้ พระนางแอบไปพบพระโอรสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ประสูติออกมาและสุดท้ายก็มิรอดพ้นจากความตาย สิ้นพระชนม์ทันทีที่ได้พานพบพระพักตร์พระโอรสในขณะที่สวมกอดลูกน้อยเอาไว้แนบอก
และนั่นทำให้ฉินเหรินกงจำต้องส่งองค์ชายอิ๋งหยาง ซึ่งเป็นตัวแทนความรักที่หลงเหลืออยู่ของฮองเฮาผู้ทรงรักอย่างสุดหัวใจไปพำนักอยู่ชายแดนตลอดกาล เพื่อแลกกับการให้มีพระชนม์ชีพอยู่ต่อไป มิต้องถูกประหารตามฎีกาของเหล่าชาวเมืองและขุนนางในราชสำนักต้าฉินนำทูลเกล้าถวายกำจัดพระโอรสปีศาจเพราะประสูติดวงพิฆาตทำลายเมือง
สาสน์ลับมอบให้พระโอรสน้อยกำชับให้อุทิศพระชนม์ชีพเพื่อปกป้องแคว้นฉินจนถึงวาระสุดท้าย และสนับสนุนพระอนุชาทุกพระองค์ซึ่งจะต้องก้าวขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นสืบต่อไป ห้ามมิให้หวนกลับคืนเมืองหลวงและราชสำนักอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้เพื่อปกป้องพระชนม์ชีพของพระโอรสให้ดำรงอยู่ต่อไปนั่นเอง
ทว่าทันทีที่อดีตเจ้าผู้ครองแคว้นทรงทราบข่าวร้าย ว่าพระโอรสองค์โตได้รับบาดเจ็บสาหัสจนสิ้นพระชนม์ในสนามรบ เนื่องจากพระอาการที่ถูกพบครั้งแรกขององค์ชายใหญ่พระทัยหยุดเต้นไปแล้ว แต่กลับมีสัญญาณชีพปรากฏขึ้นมาอีกราวปีศาจไม่มีวันตาย แต่ถึงกระนั้นทรงมีพระอาการวิกฤตเป็นยิ่งนักและโอกาสจะมีพระชนม์ชีพอยู่นั้นหามีไม่
ประกอบกับข่าวปลอมของเหล่าขุนนางที่สนับสนุนองค์ชายอิ๋งเหว่ย พระโอรสที่ประสูติจากพระสนมและภายหลังได้รับแต่งตั้งกลายเป็นฮองเฮาพระองค์ใหม่แทนอดีตฮองเฮาผู้ล่วงลับ พยายามปล่อยข่าวทุกวิถีทางโหมกระพือกระจายไปทั่วแคว้น ว่าองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉิน ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิในราชบัลลังก์อย่างแท้จริงสิ้นพระชนม์ทันทีกลางสนามรบ มิรู้ข่าวใดจริงและข่าวใดเท็จทำให้ฉินเหรินกงตกพระทัยและเสียพระทัยอย่างยิ่งยวดในคราเดียวกัน จนพระทัยวายเสด็จสวรรคตทันทีกลางท้องพระโรงในขณะที่ทรงออกว่าราชการ
ซึ่งเป็นไปตามแผนการขององค์รัชทายาทอิ๋งเหว่ยและบรรดาขุนนางที่อยู่ฝ่ายสนับสนุนองค์ชายรองผู้นี้ เนื่องจากองค์ชายอิ๋งหยาง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่เริ่มนำทัพในขณะที่ทรงมีพระชนมายุเพียงแค่สิบสี่พระชันษาเท่านั้นพระองค์ก็ออกล่าดินแดนน้อยใหญ่อย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะห้าปีที่ผ่านมาสามารถบุกยึดดินแดนน้อยใหญ่มาได้มากกว่าถึงเจ็ดสิบแคว้น แผ่ขยายอำนาจของแคว้นฉินไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล
จนชาวเมืองฉินต่างยกย่อง ตลอดจนแคว้นน้อยใหญ่พากันกลัวเกรงเมื่อล่วงรู้ว่าองค์ชายอิ๋งหยางเป็นผู้นำทัพ “แม่ทัพปีศาจ” คือสมญานามอันเลื่องลือที่ทั่วทุกสารทิศต่างมอบให้และพากันกล่าวขาน ทำให้เจ้าผู้ครองแคว้นพระราชบิดาทรงมีความคิดเปลี่ยนไป
หากแคว้นฉินได้เจ้าผู้ครองแคว้นที่เต็มไปด้วยพระปรีชาทางด้านกำลังทหารและการปกครองย่อมแข็งแกร่งกว่าเจ้าผู้ครองแคว้นที่เก่งในทางการทูต แต่ในเรื่องการนำทัพออกศึกสงครามและปกครองกำลังคนเป็นเรือนแสน องค์ชายอิ๋งเหว่ยหาได้แข็งแกร่งเฉกเช่นพระเชษฐาแต่อย่างใด สติปัญญาปานกลาง มิได้ปราดเปรื่องเป็นที่น่ายกย่อง แต่มีข้อดีตรงที่กล้าได้กล้าเสียและหนักไปทางฉลาดแกมโกงเสียมากกว่า
ครั้นอดีตเจ้าผู้ครองแคว้นพระราชบิดาทรงหมายพระทัยให้พระโอรสองค์โตหวนกลับคืนสู่อ้อมอกดั่งเดิม เพื่อขึ้นปกครองแคว้นตามสิทธิอันชอบธรรมตั้งแต่แรกประสูติและด้วยผลงานอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรจากฝีพระหัตถ์ การทำสงครามตลอดระยะเวลาสิบเอ็ดปีที่ผ่านมา จนองค์ชายอิ๋งหยางก้าวเข้าสู่พระชนมายุปีที่ยี่สิบห้าจึงเห็นควรให้กลับคืนสู่ราชสำนักหลังจากเสร็จศึกกับต้าเหลียง
พระวรกายสูงโปร่งของเจ้าผู้ครองแคว้นฉินพระองค์ใหม่ ฉินรุ่ยกงหรือพระนามเดิมอิ๋งเหว่ย ทรงยืนทอดพระเนตรอยู่บนกำแพงเมือง ซึ่งสามารถทอดพระเนตรทิวทัศน์ของพื้นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งกำลังแผ่ขยายอำนาจอยู่ในขณะนี้ เมืองหลวงหยงกำลังเจริญรุ่งเรืองและมีความเจริญอย่างต่อเนื่องแบบก้าวกระโดด
พระเนตรสีดำสนิทกวาดสายพระเนตรไปทั่วบริเวณอย่างปลอดโปร่งพระทัย โดยมีพระวรกายสูงใหญ่ของพระอนุชา องค์ชายสามหรืออิ๋งเฟิง ทรงยืนอยู่เคียงข้างซึ่งองค์ชายสามประสูติจากพระมารดาในตำแหน่งพระสนมชั้นฟูเหริน ทั้งสองพระองค์ทรงยืนทอดพระเนตรแคว้นฉินอันยิ่งใหญ่ไปด้วยพร้อมกัน
ท่ามกลางความคิดหลากหลายบังเกิดขึ้นอยู่ภายในพระทัยของผู้เป็นเชษฐาที่สมหวังได้ขึ้นปกครองแคว้นสมดั่งพระทัย ในขณะที่พระอนุชาต้องแสร้งเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อวางแผนช่วงชิงให้พระองค์ก้าวขึ้นปกครองแคว้นแทน ในยามนี้สถานการณ์แลดูสงบแต่มีคลื่นใต้น้ำก่อตัวพร้อมเป็นพายุหมุนอยู่ตลอดเวลาเพื่อทำลายล้างอีกฝ่ายให้วอดวาย
“เจ้าสาม! สายลับที่ส่งไปแทรกซึมหาข่าวในกองทัพรายงานผลล่าสุดมาให้เจ้าหรือไม่ ตกลงเจ้าพี่ปีศาจสิ้นพระชนม์ลงแล้วจริงๆ ตามแผนที่วาง หรือเป็นเพียงแค่ข่าวลวงให้ข้าหลงดีใจเล่นไปวันๆ” สุรเสียงรับสั่งถามย้ำเพื่อความแน่พระทัย
องค์ชายสามพระนามอิ๋งเฟิงแสยะยิ้มเหยียดออกมาบางๆ เมื่อเจ้าผู้ครองแคว้นองค์ปัจจุบันผู้ขึ้นชื่อได้ว่าเกรงกลัวพระเชษฐาพระองค์ใหญ่จะหวนกลับมาทวงสิทธิอันชอบธรรมกลับคืนไปตลอดทุกลมหายใจเข้าออกความหวาดระแวงปรากฏอยู่ในความคิดคำนึงตลอดเวลา
“ตอนนี้เสด็จพี่ได้รับการสถาปนาขึ้นปกครองแคว้นแล้ว เหตุใดจึงยังหวั่นเกรงเจ้าพี่อิ๋งหยางอยู่อีกพ่ะย่ะค่ะ ป่านนี้คงนอนเป็นปุ๋ยไปพร้อมกับซากศพของเหล่าทหารต้าเหลียงไปแล้ว ข่าวลือต่างๆ นานาโหมกระพือไปทั่วทุกสารทิศ มิดีพระทัยหรือไรที่กำจัดเสี้ยนหนามออกไปได้เสียที สิ่งที่ควรจะทำจากนี้ต่อไปคือแต่งตั้งฮองเฮาขึ้นปกครองฝ่ายในจะดีกว่ามาเสียเวลาคิดเรื่องนี้นะพ่ะย่ะค่ะ”ถ้อยรับสั่งของพระอนุชาทำให้พระพักตร์หันกลับมาทอดพระเนตรครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น
“เจ้าช่างแน่ใจกับข่าวสารที่ส่งมารายงานเสียนี่กระไร ตรงกันข้ามกับข่าวที่ข้าล่วงรู้มาอย่างสิ้นเชิง ว่าตอนนี้กองทัพของอิ๋งหยางซึ่งรั้งทัพอยู่เขตชายแดน กระจายกำลังทหารเพื่อนำหมอหลวงไปรักษาอาการบาดเจ็บของพระเชษฐาปีศาจของเราทั้งสอง จนถึงเมืองผิงหยางแล้ว เช่นนี้จะให้ข้านิ่งนอนใจได้เยี่ยงไรในเมื่อจู่ๆ ได้ยินข่าวล่าสุดรายงานกลับมาเช่นนี้” รับสั่งพลางส่ายพระพักตร์ไปมาติดๆ กัน
ในขณะที่คนฟังยังคงยืนนิ่งเฉยไม่ร้อนรนกระสับกระส่ายแม้แต่น้อย
“อย่าวิตกไปเลยเสด็จพี่ อิ๋งหยางอยู่ได้ไม่นานหรอกเพราะหมอหลวงและบรรดาผู้ช่วยที่ติดตามไปด้วยในกองทัพเป็นคนของพวกเรา บาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บจากการทำศึกกับต้าเหลียงจะทำให้อิ๋งหยางพบกับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสและต้องตายในอีกไม่ช้าอย่างแน่นอน” องค์ชายสามกราบทูลรายงานกลับไป
“เจ้าอย่าบอกนะว่าแอบใช้ยาพิษลอบปลงพระชนม์! ข้าสั่งแล้วมิใช่หรือว่าห้ามใช้วิธีสกปรกเช่นนี้หาไม่แล้ว จะทำให้การขึ้นครองแคว้นของข้าต้องมัวหมองเพราะใช้วิธีการสกปรกกำจัดผู้มีสิทธิในราชบัลลังก์ ลำดับแรก ทั่วแคว้นต่างล่วงรู้ดีว่าอิ๋งหยางมีสิทธิอันชอบธรรมที่เหนือกว่าข้า เพียงแค่เกิดช้ากว่าไม่กี่วันก็ต้องกลายเป็นองค์ชายรอง” รับสั่งด้วยความอัดอั้นตันพระทัยเป็นยิ่งนัก
“ทรงกลัวด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้หรอกรึ!” องค์ชายสามรับสั่งถามกลับไป
และนั่นทำให้เจ้าผู้ครองแคว้นหนุ่มทอดพระเนตรอนุชาเขม็ง
“หรือเจ้าคิดว่าข้ามิควรระแวดระวัง ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาทั่วทุกแคว้นรวมไปถึงชาวเมืองฉินต่างพากันยกย่องอิ๋งหยางถึงความเก่งกาจไปทั่วทุกสารทิศ จนหลงลืมไปว่าคนผู้นั้นแท้จริงแล้วคือดวงพิฆาตที่เกิดมาเพื่อทำลายชีวิตของผู้คนและแคว้นนี้! ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ เหตุใดใยเจ้าจึงมิทุกข์ร้อนแต่ประการใด” รับสั่งถามกลับไปด้วยความสงสัย
หึหึหึหึ!!! เสียงพระสรวลดังออกมาจากภายในพระศอเบาๆ
“ก็ข้าคือองค์ชายสามหาใช่เจ้าผู้ครองแคว้นดั่งเช่นฝ่าบาท ไฉนเลยจะต้องเป็นทุกข์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ แต่ไหนแต่ไรมากระหม่อมเองก็มิได้สนใจสิทธิในราชบัลลังก์ลำดับที่สามของตนอยู่แล้ว เพราะตำแหน่งนี้ช่างไกลจากความเป็นจริงเสียนี่กระไร เพราะหากจะก้าวขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นนี้ก็หมายถึงอิ๋งหยางและฝ่าบาทต่างหลีกทางให้แก่อนุชาผู้นี้หรือไม่ก็สวรรคตไปก่อนด้วยกันทั้งคู่... แต่จะเป็นเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” รับสั่งแฝงเร้นความนัยสายพระเนตรวาววับเปล่งรังสีอำมหิตท่ามกลางรอยแย้มเยือนอันเสแสร้งว่ามิได้หมายปองตำแหน่งเจ้าผู้ครองแคว้นนี้แม้แต่น้อย
“ได้ยินเช่นนี้ก็ดีข้ารู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง แล้วนี่อิ๋งหยางจะต้องจบชีวิตลงจริงๆ ตามแผนที่วางเอาไว้แน่นอนใช่หรือไม่” รับสั่งถามย้ำกลับไปเพื่อความแน่พระทัย
“จริงแท้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! ไม่ต้องทรงกังวลพระทัย” สุรเสียงเน้นย้ำหนักแน่นตอบกลับไป
“แผลที่อิ๋งหยางได้รับบาดเจ็บ ได้ยินมาว่าแปลกประหลาดนัก มีเศษบางอย่างฝังแน่นลึกอยู่ภายในกายไม่สามารถนำออกมาได้ ดังนั้นเพียงแค่ใช้ตัวยาที่ทำให้แผลยิ่งอักเสบและลุกลามออกเป็นกว้าง เชื่อเถอะว่าจะต้องทำอันตรายรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตแน่นอน ไม่จำเป็นต้องนำยาพิษมาใช้แต่ประการใด เพียงเท่านี้ก็สามารถจบชีวิตของอิ๋งหยางได้อย่างแนบเนียนมิมีผู้ใดสงสัยแม้แต่น้อย ตายทั้งเป็นอย่างช้าๆ”
พระพักตร์คมคายที่เต็มไปด้วยความกังวลเมื่อครู่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปโดยพลันครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น
“เจ้าฉลาดมากอิ๋งเฟิง มิเสียแรงที่ข้าและเจ้าเติบใหญ่มาด้วยกัน” รับสั่งชมเชยพระอนุชา
“มันแน่นอนอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะกระหม่อมจะต้องช่วยเสด็จพี่อย่างเต็มที่ เหตุใดจะต้องละเว้นชีวิตอิ๋งหยางให้กลับมาทวงทุกสิ่งทุกอย่างคืนกลับไปเล่า อนุชาของฝ่าบาทผู้นี่แหละหายอมให้เกิดเหตุการณ์นั้น ผู้ใดขวางข้ามันจะต้องตาย” รับสั่งพลางทอดพระเนตรเชษฐาต่างพระมารดาเขม็ง
รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนพระพักตร์เมื่อสามารถทำให้เจ้าผู้ครองแคว้นองค์ปัจจุบันไว้วางพระทัย มิเคลือบแคลงสงสัยพระองค์ ว่าแท้จริงแล้วทรงหมายปองกระหายใคร่ก้าวขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นฉินอันยิ่งใหญ่นี้ให้จงได้ ดังนั้นการกำจัดพระเชษฐาองค์ใหญ่ให้พ้นทางการขึ้นสู่อำนาจอยู่ในแผนการอยู่แล้ว และผู้ที่จะต้องถูกกำจัดรายต่อไปก็คืออิ๋งเหว่ย พระเชษฐาผู้มีสิทธิอันชอบธรรมลำดับที่สองทรงยืนอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้
“เออ... จริงสิฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินมาว่าทรงคัดเลือกฮองเฮาพระองค์ใหม่แทนพระชายาเอกที่สิ้นพระชนม์เพราะมีประสูติกาลพระราชธิดาได้แล้ว เหตุใดครานี้จึงทรงเลือกธิดาของเสนาบดีจางฟง แทนที่จะทรงเลือกองค์หญิงจากแคว้นเอี้ยน ที่รั้งตำแหน่งพระชายารองของฝ่าบาทอยู่ในขณะนี้” องค์ชายสามรับสั่งถามกลับไปด้วยความสงสัย
ในขณะที่พระเชษฐาถึงกับเปล่งเสียงพระสรวลออกมาทันใดครั้นทรงได้ยินอนุชากราบทูลถามกลับมา
“ไม่น่าเชื่อว่าคนเช่นเจ้าจะตามความคิดของข้าไม่ทัน เห็นทุกเรื่องล้วนคาดเดาได้ล่วงหน้าทุกครา เหตุใดเรื่องนี้เจ้ากลับทำให้ข้าแปลกใจยิ่งนักที่มิล่วงรู้ว่าข้าคิดเยี่ยงไรจึงเลือกธิดาของเสนาบดีจางฟงแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮา… ลองทบทวนดีๆ สิอิ๋งเฟิง” รับสั่งย้อนถามกลับไป
ในขณะที่พระอนุชาพระพักตร์ตึงขึ้นมาโดยพลันครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น ว่าพระองค์มิสามารถทัดเทียมความคิดได้เท่าทันแต่ก็เพียงครู่เดียว องค์ชายจอมเจ้าเล่ห์ค่อยๆ แย้มพระโอษฐ์บางๆ พร้อมรับสั่งตอบกลับไป
“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอบังอาจกราบทูลตามความคาดเดาเอาเองก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”
“อือฮึ!… ตามสบายข้าอนุญาต” พระเชษฐารับสั่งตอบกลับไปพลางทอดพระเนตรอนุชาเอื้อนเอ่ยถ้อยเจรจา
“ข้อแรกที่กระหม่อมแปลกใจและคาดเดาเอาเองว่า ทรงพึงพอพระทัยธิดาของเสนาบดีจางฟงผู้นี้อย่างยิ่งยวด ได้ยินเสียงเล่าลือโจษขานกันต่อๆ มาว่านางมีรูปโฉมงดงามที่ยากจะปรากฏให้เห็นในผืนแผ่นดินนี้เลยทีเดียว งดงามถึงขนาดล่มแคว้นล่มเมืองได้เลยเชียว” รับสั่งพร้อมทอดพระเนตรพระเชษฐากลับไป
ในขณะที่อีกฝ่ายพยักพระพักตร์ขึ้นลงติดๆ กัน สีพระพักตร์แฝงเร้นแววขบขัน
“การข่าวของเจ้าละเอียดยิ่งนัก ล่วงรู้เบื้องลึกถึงเพียงนี้เชียว” รับสั่งพลางพระสรวลออกมา
“แต่กระหม่อมไม่เข้าใจฝ่าบาทอยู่ดี ธิดาของเสนาบดีจางฟงผู้นี้นางมิเคยปรากฏกายให้คนทั่วไปพบเห็นง่ายๆ แม้แต่ประตูของจวนสกุลจางยังมิเคยย่างก้าวออกมาแค่เพียงครึ่งก้าวก็ยังมิปรากฏ ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในสำนักชีเพื่อสวดภาวนาขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่างทำตัวคร่ำครึเสียนี่กระไร ดังนั้นทรงอธิบายให้กระจ่างได้หรือไม่ว่าฝ่าบาทพึงพอพระทัยนางได้เยี่ยงไรและไปพบกันตอนไหนจนตัดสินพระทัยแต่งตั้งเป็นฮองเฮา” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้
ในขณะที่พระเชษฐาทรงแย้มพระโอษฐ์กว้างเมื่อล่วงรู้ว่า ครานี้อนุชาของพระองค์ที่ได้ชื่อว่าฉลาดเฉลียวยิ่งนักและเป็นนักจอมวางแผนอีกผู้หนึ่งไม่สามารถล่วงรู้เหตุผลในการแต่งตั้งฮองเฮาซึ่งมาจากสกุลจางในครั้งนี้
“นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้ามิสามารถตามความคิดของข้าได้ทัน ฝ่ายข่าวที่เจ้าส่งแทรกซึมไปทั่วทั้งวังและตามสืบพฤติกรรมของทุกคนเห็นทีต้องสับเปลี่ยนครั้งใหญ่เสียแล้วนะอิ๋งเฟิง”
รับสั่งของพระเชษฐาทำให้องค์ชายหนุ่มยืนนิ่งไปชั่วขณะเมื่อทรงล่วงรู้ว่าพระองค์มีสายข่าวแทรกซึมคอยสืบสถานการณ์ทุกอย่างลับๆ
“เพิ่งฉลาดขึ้นมาได้แล้วเหรออิ๋งเหว่ย เห็นทีข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไปแล้วชะล่าใจว่าโง่งมมีแต่ความหวาดระแวง ไม่นึกว่าจะล่วงรู้การกระทำของข้าทุกอย่าง เห็นทีข้าจะต้องระวังเจ้ามากกว่านี้เสียแล้ว” อนุชาโฉดรำพึงอยู่ภายในพระทัย
“เห็นจะเป็นจริงดั่งตามที่ฝ่าบาทมีรับสั่งเป็นแน่ สายข่าวของกระหม่อมต้องรีบสับเปลี่ยนใหม่เสียแล้ว หาไม่จะสืบข่าวเพื่อมารายงานสถานการณ์ในแว่นแคว้นให้พระองค์ทรงทราบล่าช้าเป็นแน่” องค์ชายสามรับสั่งให้เข้าใจว่าทรงทำทุกอย่างเพื่อพระเชษฐามาโดยตลอด
ท่ามกลางพระพักตร์ที่เต็มไปด้วยความพึงพอพระทัยของฉินรุ่ยกง ครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น
“จัดการตามใจเจ้าเถิด เพราะคนที่ได้ผลประโยชน์ก็คือข้าเช่นเดิมมิใช่เจ้า... ใช่หรือไม่” รับสั่งถามย้ำกลับไป
อนุชาจอมเจ้าเล่ห์แสยะยิ้มเหยียดออกมาบางๆ
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” รับสั่งพร้อมก้มพระพักตร์ถวายคำนับ พระทนต์ขบเข้าหากันจนแน่นด้วยความขุ่นเคืองในพระทัยอย่างยิ่งยวด พร้อมพระสุรเสียงของเชษฐารับสั่งสำทับตามติดมา
“เอาเป็นว่าเรื่องที่ข้าแต่งตั้งธิดาจากสกุลจางให้เป็นฮองเฮา แทนที่จะแต่งตั้งองค์หญิงจากต้าเอี้ยนนั้นก็เพราะเพื่ออำนาจและความมั่นคงที่จะต้องมีในราชสำนัก” รับสั่งตอบพระอนุชากลับไป
“เป็นเพราะเหตุใดเล่าพ่ะย่ะค่ะ” อนุชารับสั่งถามกลับไปทันทีด้วยความอยากรู้
“ก็เพราะว่าอัครเสนาบดีจางฟงอยู่ฝ่ายเดียวกันกับอิ๋งหยาง และข้ารู้มาว่าพยายามทำทุกอย่างเพื่อนำคนผู้นั้นกลับมาครองแคว้นให้จงได้ อำนาจในราชสำนักอยู่ในกำมือของจางฟงทั้งหมด หากข้าต้องการความมั่นคงก็จะต้องได้คนของสกุลจางเข้ามาหนุนนำอำนาจ ดังนั้นนางจึงถูกข้าเลือก ส่วนเรื่องความงามที่เล่าลือมิได้อยู่ในความคิดของข้าแม้แต่น้อย หน้ายังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำไป” รับสั่งตอบกลับไปตามความเป็นจริง พร้อมยกพระหัตถ์ตบลงบนพระอังสะอนุชา
“วันนี้เจ้าพ่ายแพ้ให้แก่ข้า ความฉลาดของเจ้ามิสามารถตามเท่าทันเจ้าผู้ครองแคว้น ดังนั้นคืนนี้ต้องถูกลงโทษด้วยการดื่มสุราเป็นเพื่อนข้า ไม่เมาไม่เลิกเลี้ยงฉลองให้กับอิ๋งหยาง เชษฐาผู้น่าสงสารของข้าและเจ้า”
รับสั่งพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลดังก้องด้วยความพึงพอพระทัย ทรงพระดำเนินหันพระวรกายเสด็จกลับเข้าพระตำหนักส่วนพระองค์โดยมีสายพระเนตรอันน่าสะพรึงกลัวของผู้เป็นอนุชาจับจ้องด้วยความรู้สึกชิงชังอย่างยิ่งยวด
“หัวเราะไปเถอะอิ๋งเหว่ย! อีกไม่นานข้าจะทำให้เจ้าไปนั่งหัวเราะในปรภพแทน!” รับสั่งลอดไรพระทนต์ พระเนตรชำเลืองไปที่องครักษ์คนสนิทซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากพระองค์ ทำหน้าที่คอยถวายการอารักขาอยู่ตลอดเวลา
“ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ว่าจะต้องจัดการอย่างไรต่อไป” รับสั่งออกมาเบาๆ
ร่างสันทัดขององครักษ์ค่อยๆ ก้าวออกมาจากจุดที่ยืนอยู่
“ทรงมีพระบัญชาให้ลงมือเมื่อใดพะย่ะค่ะ” องครักษ์คนดังกล่าวทูลถามกลับไป
“ทันที! อย่าให้ธิดาของเสนาบดีจางฟงก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮา เก็บให้เงียบอย่าให้เหลือร่องรอยแต่อย่างใด ให้นางหายสาบสูญอย่างไร้ตัวตน เพราะผู้ที่จะต้องได้ตำแหน่งนี้ไปจะต้องเป็นพระชายารอง องค์หญิงจากต้าเอี้ยนเท่านั้น นางเป็นฐานกำลังสำคัญที่จะทำให้ข้าได้ขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นนี้!” รับสั่งหมายมั่นพระทัย
พระโอษฐ์แสยะยิ้มเหยียดพลางเชิดพระพักตร์ขึ้นสูงทอดสายพระเนตรชมทิวทัศน์แคว้นฉินอันยิ่งใหญ่กับแผนการใหญ่ ที่ทรงวางไว้มานานหลายปี เป้าหมายที่ทรงใฝ่ฝันเอาไว้คือการขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นสืบต่อไปหลังจากกำจัดพระเชษฐาทั้งสองพระองค์สำเร็จตามแผน
“อีกไม่นานแผ่นดินนี้จะต้องเปลี่ยนเจ้าผู้ครองแคว้นพระองค์ใหม่แล้ว แผนกำจัดอิ๋งเหว่ยช่างง่ายดายเสียนี่กระไร กำจัดอิ๋งหยางยังยากยิ่งกว่านับร้อยเท่าพันทวี แต่ถึงกระนั้นชีวิตของคนผู้นั้นก็ถูกข้าทำลายสมดั่งใจ เหลือเพียงแค่รอฟังข่าวว่าลมหายใจสุดท้ายหลุดลอยคราใดเท่านั้น” สิ้นสุรเสียงรับสั่ง
องค์ชายโฉดตะเบ็งเสียงพระสรวลออกมาดังกึกก้อง กำแพงเมืองแห่งแคว้นฉินที่สูงใหญ่ถูกสร้างขึ้นเพื่อประกาศศักดาให้แคว้นน้อยใหญ่ได้ล่วงรู้ว่า ยิ่งใหญ่และมีอำนาจจนกลบรัศมีแคว้นใหญ่ๆ ที่มีกำลังทัดเทียมกันอยู่ในขณะนี้