บทที่ 4 ห้องสมุดสุดบันเทิง

1404 Words
บทที่ 4 หลังจากที่ฉันสารภาพรักกับอาจารย์หมอเจ้านางไป ฉันก็ไม่มีหน้าไปพบเขาอีกแล้ว จึงมาห้องสมุดหลังหมดคาบเรียน มันเป็นช่วงเปิดภาคเรียนและฉันก็ไม่อยากกลับห้องไปเจอไอ้สีหมอก ว่าแต่เทอมนี้ฉันลงวิชาที่อาจารย์หมอเจ้านางสอน คิดแล้วไม่น่าบอกความรู้สึกไปเลย พลาดมากอย่างที่ไม่เคยพลาดมาก่อน ฉันตั้งใจจะตัดใจจากเขา และมองภาพแห่งความเป็นจริง คนอื่นอาจจะคิดว่าฉันถอดใจง่ายไป แต่รู้ไหมเวลาเราสารภาพว่าชอบใคร และคนคนนั้นเป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกด้วย ใจมันเต้นแรง เหมือนฉันจะเป็นลมล้มพับ ในที่สุดฉันก็ถูกเขาดับฝันแบบไม่รู้ไม่เหลียวแลเลยละ เรื่องมันเศร้า “อ่านไม่รู้เรื่องเลย” ฉันพลิกหน้าเท็กซ์บุ๊คไปมา ในหัวมันคิดเห็นแต่เพียงหน้าเขา จึงเปิดหน้าหนังสือค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น “อ่านอะไรไม่เข้าใจ...หืม...” ฉันถามยัยเด็กแปลกประหลาด ที่เอาแต่บ่นและขยำหัวตัวจนฟูยุ่ง “เอ่อ...คือ” ฉันประหม่าจังเวลาได้ยินเสียงนี้ เขาใช่ไหม กลิ่นหอมจากเปลือกสนสดชื่นๆ นี่ ฉันแอบอิงพิงหลังกับเก้าอี้ “ว่าไงอ่านอะไร...ไม่เข้าใจ” ฉันตัวทื่อไปหมด มือไม้หมดเรี่ยวแรงเมื่ออยู่ๆ อาจารย์หมอเจ้านางวางคางลงบนลาดไหล่ฉัน ลมหายใจอุ่นๆ นั่นทำให้ฉันขนลุกซู่ แขนเจ้ากรรมเห็นรูขุมขนชัดเจนขึ้น ฉันจะตอบอะไรได้นอกจากก้มหน้า เขาทำแบบนี้ฉันอ่อนไหวนะ “อาจารย์ออกไปห่างๆ หนูได้ไหมคะ” ฉันตัดสินใจพูดในสิ่งที่ไม่อยากพูดมากที่สุด “ทำไม...หืม” ฉันยังเอาคางเกยไหล่ร่างเล็ก หนำซ้ำยังอยากขยับเขาหาลำคอระหงตามสัญชาตญาณ จะว่าไปผิวของยัยลูกเป็ดขี้เหร่ก็ละเอียดน่าลิ้มลองอยู่นา ฟอด ฟอด ฟอด เขาไม่ทำอะไรมากกว่าสูดอากาศแรงขยับคืบเข้าหาลำคอฉัน ฉันได้แต่กลืนน้ำลายจนเอ็นคงเป็นเส้น ปากเม้มเข้าหากันแน่นเพราะตื่นกับพฤติกรรมอันผิดแผกของอาจารย์หมอ เขาเหมือนจะหอมแก้มฉันเลยหรือฉันเพ้อฝันเกินไป เสียงเดาะลิ้นต่อท้ายทำให้ฉันตื่นจากภวังค์ ฉับพลันที่ลมหายใจตีกลับเจ้านางหันขวับให้ความสนใจอย่างอื่นแทน ล้อเล่นนา หึๆ เด็กน้อยเอ๊ย ยังไม่ทันจะทำอะไรก็ตื่นจนอ่านง่าย “หน้านี้เหรอที่อ่านไม่รู้เรื่อง...” ฉันหันกลับไปหาหนังสือที่นักศึกษาแพทย์จอมวุ่นเปิดค้างไว้ “เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง” ฉันนั่งลงข้างๆ และพูดศัพท์วิชาการ เรื่องง่ายๆ ของเยื่อหุ้มหัวใจ ใช่! มันง่ายสำหรับฉัน รวมไปถึงเส้นเลือดต่างๆก็ด้วย เมื่อสาธยายมานานนมพอดู จึงอยากเช็กว่าเด็กกะโปโลตรงหน้าเข้าใจหรือไม่ “ที่พูดมาทั้งหมด เข้าใจไหม?” เอียงหน้าเพื่อถามหาความเข้าใจในเนื้อหา “คะ? ค่ะ” รับปากไปงั้นแหละ ฉันนะเหรอจะเข้าใจ สมาธิป่นปี้ตั้งแต่ได้กลิ่นน้ำหอมเขาแล้ว มัวแต่สูดกลิ่นและสังเกตกิริยาอาการ นึกสงสัยว่าทำไมเขาทั้งร้ายกาจและเพอร์เฟคขนาดนี้ ฉันที่ถอดใจกลับถลำลึกกว่าเดิมหลายเท่า “อาจารย์ค่ะ อย่ามาใกล้หนู...อย่ามาใกล้หนูอีกได้ไหมคะ” ฉันก้มหน้าแล้วกำลังจะถอยเก้าอี้ อยากออกไปจากตรงนี้เมื่อพูดจบ แต่ถูกขายาวๆ ของอาจารย์ขวางไว้ ฉันหยุด!เพราะจะก้าวข้ามเดี๋ยวเขาหาว่าล้างครูอีก “อาจารย์คะ ถอยออกอีกนิดได้ไหม” พอพูดแบบนั้นอาจารย์เจ้านางก็ลุกขึ้น แล้วเดินจากไปเลย ฉันจึงเอาหนังสือไปคืนที่ชั้น ‘ฉันเอามาจากชั้นนี้ หรือชั้นนี้’ ไม่ได้สับสนกับชั้นหนังสือแต่สับสนกับคำพูดตัวเอง ทำไมเวลาพูดประโยคนั้นออกไปฉันต้องรู้สึกใจหายด้วยนะ แขนขาไม่มีแรง เหนื่อยขึ้นมาเฉยๆ หรือฉันใช้พลังงานไปกับการสนทนากับอาจารย์เจ้านางหมดแล้วเหรอ ตุบ! “โอ๊ะ!!” ฉันเอามือทาบอกเมื่อหันกลับมาชนเข้ากับอกอาจารย์เจ้านางจังๆ นี่เขาจะตามมาทำให้ฉันหวั่นไหวอีกทำไมก็ไม่รู้สิ คิดแล้วก็รีบจัดหนังสือเข้าชั้นเลยตอนนั้น อยากหลีกหนีเขาจะแย่ รู้สิ!ว่าทุกอย่างที่ทำไม่เหมาะสม แต่....การตัดใจนั้นทำยากใช่เล่น แต่ไม่เป็นไรมีคนบอกว่าเมื่อเราสารภาพรักไปแล้วเราจะตัดใจง่ายขึ้น “ไล่ฉัน...แล้วทำไม...ต้องซึมด้วยล่ะ” ฉันมองเด็กที่ดูไม่ประสีประสาจนต้องส่ายหน้าเบาๆ เพราะความอ่อนเดียงสาที่อ่านง่ายยิ่งกว่าหนังสือเล่มบาง “หืม....” “ไม่ได้ซึมค่ะ แต่ก็ไม่รู้จะยิ้มให้ใคร ก็นี่มันห้องสมุด” ฉันเถียงข้างๆ คูๆ เมื่อถูกจับได้ เขามีแววตาเจนโลก อ่านคนขาดตั้งแต่หัวจรดเท้า คงแกล้งเพราะรู้ว่าฉันปลื้มละมั๊ง “ไม่อยากยิ้มให้ฉันแล้วเหรอ” ค่อยๆ เชยคางคุณหมอฝึกหัดขึ้น “...ตอบสิ...คุณหมอแพรพิณ” ฉันอึ้งเมื่ออยู่ๆ คำพูดของเขากลับกลายเป็นชื่อฉัน ฉันไม่เคยคิดว่าชื่อตัวเองจะน่าฟังขนาดนี้จนกระทั่งได้ยินจากปากเขา มันเวอร์มากแต่ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ “อะ อาจารย์รู้จักชื่อหนูหรอคะ” ฉันมองหน้าเขา แววตาหยิ่งผยองจ้องหน้าตรงๆจนฉันสะเทิ้นอาย อ่อนจัง แต่รู้ไหมว่านั่นคือสิ่งที่ฉันถวิลหา เฝ้าพูดคุยกับตุ๊กตาแมวสีหมอกตลอด เขาเหมือนแมวตัวโตที่กำลังมองหนูตัวเล็กๆ อย่างฉันเลย “ได้ยินว่าเธอยากจนเหรอ?” ใจฉันหล่นตุบลงกบพื้น นั่นเป็นคำดูแคลน และมุมปากเฉือนยิ้มทำให้ฉันหล่นลงจากวิมานทันใด “เอ่อ...คือ...หนูกำพร้าน่ะค่ะ” ฉันตอบไปตามความจริง มือสั่นไปหมด “อยากจับฉันไหม ฉันรวยนะ” คนพูดเกลี่ยปอยผมว่าที่คุณหมอฝึกหัดด้วยไปด้วย จากนั้นจึงหยิบบางอย่างในกระเป๋าออกมา อาจารย์หมอเจ้านางดึงนามบัตรสีทองออกมาจากกระเป๋า เขามองฉันไม่วางตา นี่คือสิ่งที่เขาเคยบอกเหรอที่ว่ากล้าพูดก็ต้องกล้ารับ ฉันใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ทำอะไรไม่ถูกกับความใจร้ายของเขา ฉันพยายามหาทางหนีแต่แขนยาวๆ ของเขาตรึงไว้ทั้งสองข้าง พอจะมุดลงต่ำเขาก็กักช่วงล่างฉันด้วยการเอาเข่าแทรกกลางหว่างขาจนฉันต้องเขย่งตัวเพราะกลัวตรงนั้นโดนจุดอ่อนไหว “อาจารย์ปล่อยหนูไปก่อนได้ไหมคะ” ฉันพลาดมากที่สารภาพรกกับเขา ฉันเสียเปรียบแล้วหรือนี่ ฉันรู้เพียงว่าเขาเป็นคนเอาจริงเอาจังกับงาน เก่ง และมีความสามารถรอบด้านไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะใจร้ายขนาดพูดจาน่ากลัวได้มากขนาดนี้ “อาจารย์คะ หนูจะไม่ยุ่งกับอาจารย์อีก หนูขอโทษ” คนตรงหน้ายกมือไหว้ฉัน กลัวจนสติแตก น้ำตาแทบไหล ฉันละสงสัยจริงๆ ว่าเธอจะมาสารภาพรักกับปีศาจอย่างฉันทำไมไม่ดูตาม้าตาเรือ ตลกกว่านี้ไม่มีอะไรอีกแล้ว “เธออยากถวายตัวให้ฉันจะแย่แล้วไม่ใช่รึไง จะปฏิเสธเพื่อ?” คำพูดบาดลึกขึ้นเรื่อยๆ จนฉันไม่อยากเชื่อหู “หัวใจอาจารย์ทำด้วยอะไรคะ” เริ่มหมดทางจะหวัง ลมหายใจฉันแผ่วๆ ดังได้ไม่เท่าเสียงแอร์ “ทำไมถึงพูดจาทำร้ายจิตใจกันได้ขนาดนี้ ถ้าอาจารย์ไม่ชอบในสิ่งที่หนูทำ เราก็แค่ไม่ต้องมายุ่งกัน หนูขอโทษที่ปากเปราะไม่คิดก่อนพูด ต่อจากนี้ไปหนูจะระวัง แบบนั้นแล้วอาจารย์ปล่อยหนูได้แล้วค่ะ หนูมีธุระ” “ธุระ?” “ใช่ค่ะ” “ธุระที่ไหน?” “ไม่เกี่ยวกับอาจารย์ค่ะ ขอตัวนะคะ” เสียงแข็งจัด ฉันพูดตามประสาคนไร้ที่พึ่ง เขาเป็นแรงบันดาลใจสุดท้ายและเขาก็ทำลายใจฉันแหลกละเอียด พอกันที เขาแค่อยากเล่นกับหัวใจฉัน คนเราก็เจ็บเป็นนะเว้ย ฉันผลักอาจารย์หมอที่แอบรักอย่างแรง ...แรงเท่าแรงทั้งหมดที่ฉันจะมี จนเขาชนกับชั้นหนังสืออีกฝั่ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD