ลอยคอในทะเล

2018 Words
คนป่าที่ 2 ลอยคอในทะเล เรือเดินสมุทรลำใหญ่มุ่งสู่ตะวันออก จากนั้นลงใต้ไปเรื่อย อ้อมผ่านเกาะน้อยใหญ่มากมาย แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเรือลำนี้ เพราะดินแดนที่หยินว่านลุ่ยต้องการไปคืออินตูนั่นเอง นับตั้งแต่ราชสำนักต้าเว่ยมีคำสั่งเปิดประเทศเมื่อแปดสิบกว่าปีก่อน พ่อค้าได้รับอนุญาตให้ทำการค้าทางทะเลได้ จึงทำให้เกิดสมาคมการค้า โดยตระกูลของนางเป็นเจ้าแรกๆ ที่ตกลงกับราชสำนัก จ่ายเงินเข้าคลังหลวงหนึ่งส่วน เพื่อเดินทางได้ถูกต้องตามกฎหมาย หนึ่งส่วนที่ว่าคือราคาสินค้าบนเรือ ไม่ว่าขาไปหรือกลับ ทำกำไลน้อยหรือมาก ขาดทุนหรือไม่ราชสำนักไม่สน เจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษีจะตีราคาเรือทุกลำ ผู้เป็นเจ้าของต้องจ่ายเงินก่อนถึงจะนำเรือออกหรือเข้าฝั่งได้ แต่ละปีเงินตรงส่วนนี้นำมาจุนเจือท้องพระคลังหลวงได้ไม่น้อย มากกว่าภาษีที่เก็บได้จากภาคตะวันตกทั้งหมดเสียอีก ว่านลุ่ยมีหัวด้านการค้าแต่เล็ก นางได้เงินก้อนแรกจากบิดาก็นำมาซื้อแพรพับเนื้อหยาบทั้งหมด ฝากไปกับเรือสินค้าท่านลุง ขอให้เค้านำไปแลกกับเครื่องเทศในราคาหนึ่งพับต่อน้ำหนักสิบชั่ง เมื่อเรือท่านลุงกลับในฤดูหนาวปีถัดมา นางก็มีเครื่องเทศปรุงรสกว่าสองหมื่นชั่งอยู่ในโกดังสินค้าของตนเองแล้ว การค้าเช่นนี้ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่ที่แปลกคือว่านลุ่ยเลือกซื้อเครื่องเทศ ตอนนั้นกระแสอัญมณีอินตูกำลังมาแรง พ่อค้าส่วนมากที่มีเรือออกทะเลมักจะนำเครื่องประดับเหล่านั้นกลับมา ดังนั้นสิ่งที่ว่านลุ่ยคิดจึงทำให้ท่านลุงของตนถึงกับงุนงง หากแต่เค้าก็งงงวยได้ไม่นาน เพราะปีต่อมาว่านลุ่ยขายเครื่องเทศเหล่านั้นในราคา หนึ่งชั่งต่อสี่ตำลึง มาถึงต้อนนี้คนในครอบครัวต่างเข้าใจทุกอย่างแล้ว ขาไปขนแพรพรรณราคาพับละแปดตำลึงไปสองพันพับ เสียภาษีเพียงแค่หนึ่งพันหกร้อยตำลึง ขากลับขนเครื่องเทศสองหมื่นชั่ง เมื่อเจ้าหน้าที่ตีราคาพบว่าเพียงเป็นเครื่องเทศก็ใช้หลักการตลาดทั่วไปคิด โดยนำราคากลางของต้าเว่ยมาคำนวณ อย่างมากเครื่องปรุงก็มีค่าเพียงชั่งละไม่กี่ร้อยเหวินเท่านั้นเอง พันเหวินเท่ากับหนึ่งตำลึงเงิน เครื่องเทศอินตูของว่านลุยถูกตีราคาแค่สามร้อยเหวิน เมื่อคำนวณทั้งหมดสองหมื่นชั่งก็มีค่าเพียงหกพันตำลึง ดังนั้นนางจ่ายภาษีแค่หกร้อย รวมไปกลับเสียภาษีไปทั้งสิ้นสองพันสองร้อยตำลึง ตระกูลหยินสายหลักสายรองเมื่อรับทราบความร้ายกาจของว่านลุ่ย ทุกคนต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป พวกบุรุษในตระกูลรู้สึกอับอายไม่น้อย ไฉนพวกตนคิดไม่ถึงการค้าจุดนี้ กับเลือกทำกำไลจากสินค้าที่มีราคาสูง ออกเรือไปสองเที่ยวยังไม่ได้เงินเท่าผู้หลานส่งไปเที่ยวเดียว ว่านลุ่ยใช้เวลาสามปีขายเครื่องเทศที่ได้มาจนหมด นี่เป็นสิ่งของจากอินตู ผู้อื่นไม่สามารถตั้งราคาตัดหน้านางได้ จึงค่อยๆ ค้าขายสร้างกำไลได้ในเวลาไม่นาน พืชหลายชนิดให้รสชาติที่แตกต่าง ว่านลุ่ยแลกเปลี่ยนมาแต่ชนิดที่ไม่มีในต้าเว่ย ระหว่างขายนางก็เปิดเหลาอาหารอีกหลายแห่งไปด้วย คัดเลือกเมนูต่างแดนแปลกใหม่ จนเป็นที่ชื่นชอบของคหบดีผู้มีอันจะกิน ที่นิยมรสชาติแต่ไม่เสียดายเงินทอง *** อดีตอันหอมหวานของหยินว่านลุ่ยไหนเลยปล่อยให้ผู้อื่นทำลายได้ เพราะเหตุนี้เองตนจึงไม่ต้องการแต่งเข้าตระกูลขุนนาง สุดท้ายจึงลงเอยด้วยการลอยอยู่ในทะเล คาดว่าคงใช้เวลาไปกลับเกือบปี ถึงตอนนั้นนางยังจะพาสามีพ่อค้าต่างแดนกลับไปอีกด้วย ดูซิว่าบิดาและคู่หมั้นยังจะทำอะไรนางได้อีก “…” ชายในฝันว่านลุ่ยต้องเป็นบุรุษกำยำ มีหัวด้านการค้า ทั้งไม่ห้ามและควบคุมไม่ให้นางประกอบกิจการต่างๆ สรุปก็คือ เค้าต้องไม่ใช่พวกบัณฑิตหน้าใส ที่ดีแต่สั่งสอนอวดความรู้ และเจ้าบงการชีวิตของนางนั่นเอง ว่านลุ่ยเคยเห็นพ่อค้าชาวโฝหลางจี คนกลุ่มนั้นเดินเรือมาจากทางตะวันตก พวกเค้าเบ้าตาลึกจมูกก็โด่งรูปร่างสูงใหญ่ ทั้งยังมีสีผมแดงบ้างทองบ้าง ทุกคนล้วนเป็นพ่อค้าที่ร้ายกาจ นางเห็นแล้วก็นึกชอบ หากได้สามีเช่นนั้นยามหลับก็คงนอนฝันหวานทุกคืน “…” เพียงแต่ความฝันของหยินว่านลุ่ยต้องพังทลาย เมื่อเรือออกสู้ทะเลผ่านไปหนึ่งเดือน จู่ๆ ท้องฟ้าปลอดโปร่งก็มืดครึ้ม ตามมาด้วยลมพายุและห่าฝนที่สาดซัดกระหน่ำลงมา กระแสคลื่นรุนแรงมาก ยามนี้ว่านลุ่ยที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวเริ่มหวาดกลัวแล้ว หวังอี้เหอสั่งลูกเรือให้ชักใบเก็บสุดชีวิต ตัวเค้าก็ปล่อยหางเสือให้เป็นอิสระ จากนั้นวิ่งลงไปยังห้องท้องเรือ เมื่อพบเห็นคุณหนูใหญ่ของตนจึงสั่งให้นางหาที่ยึดจับให้มั่น อาจต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่พายุลูกนี้จะผ่านพ้นไป จริงดังคาด เรือขนสินค้าลำใหญ่ถูกพายุฝนโจมตีหนึ่งวันเต็มๆ รุ้งเช้าพอท้องฟ้าสงบหมอกก็ลงจัด นางจึงตั้งใจจะเดินออกไปสอบถามลุงหวังว่าตัวเรือเสียหายหรือไม่ ลุงหวังตอบนางว่าไม่เสียหายซักนิด เพียงแต่ตำแหน่งเดินเรือตอนนี้คลาดเคลื่อนไปบ้าง คงต้องรอถึงยามค่ำคืนที่ฟ้าเปิด มองเห็นหมู่ดาวแน่ชัด จึงจะสามารถระบุตำแหน่งของเรือในแผนที่ได้ เพราะหมอกหนาลงจัดมาก หยินว่านลุ่ยจึงตั้งใจเดินกลับลงไปยังห้องท้องเรือ หากแต่ขณะที่นางอยู่ตรงกาบเรือด้านซ้าย สิ่งที่ไม่คาดคิดพลันเกิดขึ้น จู่ๆ เรือลำใหญ่ก็ชนเข้ากับอะไรบางอย่าง แรงสั่นสะเทือนของมันรุนแรงมาก ว่านลุ่ยไม่ทันได้รู้เรื่องราวว่าเกินอะไรขึ้น นางก็หงายท้องกระเด็นพลัดตกเรือไปเสียแล้ว “โอ้ย! จ๋อม!” เสียงตกน้ำของหญิงสาวน่าเวทนามาก เบาเสียยิ่งกว่าเสียงผายลม คนบนเรือหาได้ยินนางตกลงไปแม้แต่น้อย เพราะทุกคนต่างก็วิ่งวุ่นวายมองหาว่าเมื่อครู่ชนกับอะไร บวกกับการที่หมอกหนาจัด เลยไม่มีผู้ใดมองเห็นว่านายสาวของตนยามนี้ลอยคอตุ๊บป่องอยู่ที่ท้ายเรือแล้ว “…” หยินว่านลุ่ยมองเรือที่ค่อยๆ ลอยจากไป นางตะโกนขอความช่วยเหลือสุดเสียง แต่กับไม่มีผู้ได้ยินแม้แต่น้อย หญิงสาวร่ำร้องจนเรือทั้งลำหายลับ จึงร้องไห้ออกมาด้วยความสิ้นหวัง ขณะที่สองขากำลังจะหมดแรงตีน้ำ แผ่นไม้ที่แตกออกจากกาบเรือก็ลอยเข้ามาใส่มือนางพอดิบพอดี ความหวาดกลัวแล่นเข้าสู่หัวใจจนถึงขีดสุด แต่เล็กจนโตนางไม่เคยพบเจอเหตุอันตรายเช่นนี้ ยามท้อแท้จึงได้รู้ว่าตนเองกลัวตายมาก นางยังมีสิ่งที่อยากทำอีกตั้งเยอะ อยากกลับไปหาพี่ชายและบิดา อยากเป็นหญิงแกร่งที่ร่ำรวยที่สุดในต้าเว่ย ทั้งยังอยากมีลูกชายลูกสาวตัวเล็กน่ารักเป็นของตนเอง... *** หลายวันผ่านไป วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง หยินว่านลุ่ยลอยคออยู่ในทะเลนับสิบวันแล้ว นางรู้สึกราวกับขาสองข้างของตนกลายเป็นหาง เพราะแช่อยู่ในน้ำจนเท้าทั้งสองด้านชา ว่านลุ่ยร่ำไห้จนน้ำตาสองสายเหือดแห้ง ยามนี้นางไม่หวาดกลัวแล้ว พอตั้งสติได้ก็คิดว่าต่อให้โชคร้ายกว่านี้ ก็ยังดีกว่าแต่งให้เจ้าบัณฑิตแซ่ซ่งนั่น นางจึงเริ่มทำใจและยอมรับชะตากรรมของตนเอง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไอ้พวกสวรรค์บัดซบ! เจ้ารังแกข้าได้เท่านี้หรือ! มีอีกหรือไม่ เจ้ารังแกข้ามากกว่านี้อีกสิ เจ้ารังแกข้าให้มากกว่านี้! ฮือ ฮือ” หญิงสาวราวกับเสียสติ นางแหงนหน้าด่าพ่อล่อแม่สวรรค์ไปทั่ว บัดเดี๋ยวหัวเราะเยาะสะใจ บัดเดี๋ยวร่ำไห้ไม่มีน้ำตา รู้สึกสมเพชโชคชะตาตนเองจนถึงขีดสุด คิดในใจว่าตนทำกรรมไว้แต่ชาติไหนหนอ ทำไมถึงได้ลงโทษให้นางพบเจอกับเรื่องแย่ๆ เช่นนี้ด้วย “เปรี้ยง!” ราวกับสวรรค์ได้ยินคำด่าทอ จู่ๆ ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งพลันปรากฏเสียงสายฟ้า จากนั้นตามมาด้วยลมพายุและห่าฝน พัดเอาคลื่นลูกใหญ่ซัดใส่หยินว่านลุ่ยครั้งแล้วครั้งเล่า โจมตีใส่นางราวกับจะตอบรับคำขอว่า ข้ายังสามารถรังแกเจ้าได้อีกนาน “ฮือ ฮือ กลัวแล้วเจ้าคะ! กลัวแล้ว! ท่านอย่าได้เกรี้ยวกราดอีกเลยสวรรค์!” ว่านลุ่ยกอดแผ่นไม้ไว้แน่น ร่ำร้องอ้อนวอนต่อโชคชะตาอย่าได้รังแกนางอีกเลย หากแต่ก็เหมือนจะไม่เป็นผล เพราะลมพายุยังคงพัดพาอย่างต่อเนื่อง กระหน่ำซ้ำเติมหญิงสาวจนนางหวาดกลัวแล้วสิ้นสติไป… *** ไม่ทราบว่านลุ่ยสลบไปนานเท่าใด หากแต่พอนางลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตนอยู่ที่ชายหาด ยามนั้นนางดีใจมาก ลืมกระทั่งความหิวและอ่อนแรง วิ่งกระโดดโลดเต้นไปยังป่าไม้เบื้องหน้า หวังว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านบริเวณที่อยู่ใกล้เคียง หากแต่หญิงสาวก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อนางได้ยินเสียงร้องโหยหวนราวกับสัตว์ป่า “อ๊ากกก!!!!!” “อูก่า อูก่า อูก้า” เสียงร้องและเสียงกุลีกุลูที่นางไม่รู้จัก หญิงสาวตกใจมากจึงหยุดอยู่กับที่ แต่ความอยากรู้สามารถฆ่าแมวให้ตายได้ ว่านลุ่ยก็เช่นกัน นางจึงค่อยๆ ย่องเขาไปยังทิศทางของเสียง เมื่อเห็นชัด ภาพตรงหน้าก็ทำให้นางแทบจะเป็นลม ตรงนั้น มีคนล่อนจ้อนผู้หนึ่งถูกตรึงไว้กับต้นไม้ แขนกำลังถูกชายเปลือยกายหลายคนช่วยกันแล่ ตัดให้ขาดออกจากลำตัว โดยที่อีกฝ่ายยังดิ้นทุรนทุราย “ตุบ! โอ้ย!” ในชีวิตว่านลุ่ยคิดว่าตอนอยู่ในทะเลน่ากลัวที่สุดแล้ว แต่นางคิดผิด! เมื่อจู่ๆ ก็มีท่อนไม้ฟาดใส่นางจากด้านหลัง จากนั้นรู้สึกตัวอีกทีก็ถูกจับใส่กรงขังอยู่ในหมู่บ้านชาวป่าแห่งหนึ่งแล้ว “…” อาจเพราะนางตัวเล็กและผอมมาก เจ้าพวกนั้นจึงขังนางเอาไว้ ทุกวันว่านลุ่ยเห็นพวกป่าเถื่อนจับคนที่อยู่ในกรงข้างๆ ออกไปแล่ ทำราวกับชีวิตของนางและคนอื่นๆ เป็นเพียงหมูตัวหนึ่ง นึกอยากจะกินก็ลากตัวออกไปเชือด ไม่มีคำว่าสงสารเห็นใจแม้แต่น้อย ภายใต้ความสิ้นหวัง ว่านลุ่ยรู้แล้วว่าตนเจอเข้ากับอะไร ชนเผ่ากินคนที่นักเดินเรือพูดถึง นี่ไม่ได้เป็นเพียงตำนานจริงๆ เรื่องนี้หากนางสามารถรอดกลับไปได้ นางจะใช้ชีวิตที่เหลือยืนยันสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง ในขณะสิ้นหวัง หญิงสาวหน้าตามอมแมมเต็มไปด้วยดินโคลน คราบน้ำตาไม่มีอีกแล้ว มีก็แต่ความเหม็นเน่าของเสื้อผ้าหน้าผม ชุดรัดกุมขาดวิ่น รองเท้าหายไปนานแล้ว ผิวพรรณขาวเนียนของนางโสโครกยิ่งนัก แต่นางหาได้ใส่ใจซักนิด ทำได้เพียงพิงกรงขังนึกถึงใบหน้ามารดาที่ตายจากไปนาน “โครม! ปึง! โอ้ย! อ๊ากก!” “อูก้า อูก้า อู อู!” เสียงต่อสู้ทุบตีสับสนวุ่นวาย ว่านลุ่ยสะดุ้งตัวออกจากภวังค์ เหมือนหางตานางจะมองเห็นหมี! เป็นหมีตัวหนึ่งกำลังไล่ทุบตีผู้คน! “…” ***
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD