บทที่ 3 ไม่อยากจะเชื่อ

3277 Words
                                                                    ความพลาดพลั้งหนึ่งครั้งในอดีต                                                                     คอยตามติดตามดวงจิตไม่ห่างหาย                                                                     ถึงวันนี้ได้พบเจอเพียงร่างกาย                                                                     คงมิวายมีสักวันได้พบใจ    ปราบเซียนวางข้อมูลที่เพิ่งได้รับจากลูกน้องเมื่อตอนหัวค่ำลงบนโต๊ะทำงานอย่างอ่อนแรง ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ผู้หญิงคนนั้น เมื่อห้าปีก่อน ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขาทำผิดพลาด ไม่คิดไม่ฝันว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ แบบที่เขาหรือใครก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อน นี่สินะที่เรียกว่าความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว กลายเป็นความผิดพลาดไปตลอดชีวิต เพราะน้องข้าวจ้าวคนเดียว เด็กที่เขาเจอวันนั้นทำให้ปราบเซียนมีลางสังหรณ์แปลก ๆ เขารู้สึกเหมือนผูกพัน รู้สึกว่าน้องข้าวจ้าวต้องมีอะไร    สักอย่างไม่ทางใดทางหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเขา แต่ในใจลึกๆ ที่ปราบเซียนตัดสินใจตามหาผู้หญิงเมื่อห้าปีก่อน ก็เป็นเพราะว่าน้องข้าวจ้าวมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับเธอ และคล้ายกับเด็กคนนั้นที่เขาเคยช่วยเหลือเธอไว้เมื่อครั้งเขายังเรียนอยู่มัธยม เด็กผู้หญิงที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำเขาเสมอ ตามมาด้วยการตามหาผู้หญิงคนหนึ่งจากเลขทะเบียนรถ  "เจ้าสาว...งั้นเหรอ" ปราบเซียนมองดูข้อมูลในมือ เจ้าสาว วรกิจเจริญเลิศ อายุ 28 ปี อืม...แบบนี้ตอนนั้นเธอคงเพิ่งเรียนจบ คณะบริหารธุรกิจเสียด้วยสิ ไม่แปลกที่เธอจะเรียนทางด้านนี้ เจ้าสัวธงชัยพ่อของเธอคงอยากให้ลูกสาวมารับช่วงต่อ เขาเดาว่าคงเป็นเพราะเกิดเรื่องนั้นขึ้น เธอจึงได้ย้ายไปอยู่อังกฤษทันที  "ทำไมเธอถึงไม่เคยบอกเลยนะ"  ถ้าเขาเป็นคนที่ทำให้น้องข้าวจ้าวเกิดมา เป็นพ่อของน้องข้าวจ้าว อย่างน้อยเธอก็ควรที่จะให้โอกาสเขาได้รับรู้บ้าง ถึงจะเที่ยวเล่นไร้สาระ หาความสุขใส่ตัวไม่คิดผูกมัดกับใคร อย่างน้อยเธอก็น่าจะบอกให้เขาได้รับรู้บ้างก็ยังดีว่ากำลังตั้งครรภ์ลูกของเขาอยู่ ปราบเซียนเปิดดูรูปด้วยหัวใจที่คล้ายว่าปวดร้าว ในไอจีของเจ้าสาวที่เลขาไปหามาให้มีรูปที่เธอถ่ายกับลูกสาวเพียงน้อยนิด ส่วนใหญ่จะเป็นรูปอาหารเสียมากกว่า ปราบเซียนรู้ว่าเจ้าสาวเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่นั่น และตอนนี้ก็ขายไปเรียบร้อยแล้ว สาเหตุคงเป็นเพราะการเงินและธุรกิจของครอบครัว ต้องยอมรับว่าเลขาของเขาทำงานได้ละเอียดยิบเลยทีเดียว  แม้เธอจะพรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย แต่การเลี้ยงลูกเพียงคนเดียวในต่างถิ่นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิดเดียว ปราบเซียนยอมรับว่าเจ้าสาวเก่งมาก ๆ และน้องข้าวจ้าวก็เก่งมากเช่นเดียวกัน ปราบเซียนปวดใจไม่น้อยที่ตัวเองพลาดโอกาสที่จะได้ดูแลลูกไปถึงห้าปี ทั้งที่เวลาในแต่ละวันของเขาควรจะได้แบ่งมาดูแลลูกและอยู่กับลูกบ้าง แต่ก็ทำได้เพียงใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์ เจ้าสาวคิดอะไรอยู่ ถึงไม่เคยบอกเขาเลย  "หรือเพราะเราไม่รู้จักกัน"  อาจจะเป็นเหตุผลนี้ เมื่อห้าปีก่อนเจ้าสาวมากับใคร แล้วจบลงบนเตียงกับเขาได้อย่างไรปราบเซียนก็ยังงง รู้เพียงว่าเขาเจอเธอที่ทางเข้าห้องน้ำ เธอขอให้ช่วยและขอมากับเขาเพียงเท่านั้น จะไม่ให้คิดว่าเธอมีความต้องการแบบเดียวกับเขาก็คงไม่ได้ ในสถานที่แบบนั้น สถานการณ์แบบนั้นเขาคงไม่คิดว่าเธอจะขอให้ไปส่งที่บ้านหรอกนะ เป็นใครก็ต้องคิดอยู่แล้วว่าเธอจะชวนเขาไปมีความผูกพันทางกายแต่ไม่ผูกมัด ครั้งเดียวคืนเดียว จบและแยก ปราบเซียนทิ้งน้ำหนักตัวลงพิงกับพนักเก้าอี้ เงยหน้าขึ้นมองเพดานแล้วหลับตานิ่ง ต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าสาวคิดอะไรทำไมไม่บอกเขา และที่สำคัญกว่านั้น ก็คือการเอาลูกสาวสุดน่ารักของเขามาไว้ในอ้อมอกให้ได้ พ่วงแม่มาด้วยก็ไม่เห็นเสียหาย เพราะฟังจากที่เต๋ารายงาน ตอนอยู่อังกฤษก็ไม่มีใครมายุ่มย่ามกับเธอเลยสักคน  "พรุ่งนี้ก่อนขึ้นเครื่องกลับ ผมแจ้งคนขับรถให้แล้วว่าคุณเซียนจะแวะห้างก่อนครับ" "แวะห้างทำไม" เต๋าขมวดคิ้วทำท่าสงสัย งานเยอะจนลืมไปแล้วเหรอเนี่ยเจ้านายเรา "ซื้อตุ๊กตาเจ้าหญิงครับ" "ซื้อตามห้างเหรอ" "เอ่อ...ครับ" คราวนี้ปราบเซียนขมวดคิ้วบ้าง ตุ๊กตาเจ้าหญิงต้องซื้อตามห้างเหรอ นี่เขานึกเอาเองว่ามันมีร้านที่ขายของพวกนี้เฉพาะอยู่แล้ว แบบนี้ต้องจำไว้ เพราะอีกไม่นานเขาก็จะได้พาน้องข้าวไปซื้อบ่อยๆ  "โอเค ไปพักผ่อนเถอะ"  ไล่ลูกน้องไปแล้วแต่เขายังอยู่ที่เดิม ปราบเซียนยังนั่งมองรูปในมืออยู่แบบนั้น   "คุณกับเราใครใจร้ายกันแน่เจ้าสาว"  เปรยกับตัวเองเบา ๆ ปราบเซียนไม่รู้ว่าตอนนี้ควรรู้สึกอย่างไร ไม่คิดเลยว่าเกิดมาหนึ่งครั้งจะต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ เขาใจร้ายงั้นหรือ เปล่าเลย...เขาแค่ไม่รู้ แล้วเจ้าสาวใจร้ายเหรอ เปล่าเลย...เธอแค่อยากจะปกป้องตัวเองจากคำครหาของคนอื่นว่าเธอท้องไม่มีพ่อ แต่ทำไมไม่ยอมบอกเขาล่ะ อย่างน้อยก็มาที่ร้านเดิม มาถามว่าเขาคือใครก็ได้ เขาไม่ใช่คนไม่มีความรับผิดชอบขนาดนั้น หรือเพราะไม่ใช่คนรัก เจ้าสาวถึงไม่คิดที่จะบอก และเธอคงคิดว่าเขาคงไม่มีทางรับผิดชอบเป็นแน่ หลากหลายเหตุผลตีกันยุ่งเหยิงไปหมดจนปราบเซียนเริ่มปวดหัว เขาควรพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้มีงานแต่เช้า และตอนเย็นเขาต้องบินกลับต้องรีบเคลียร์งานให้เสร็จ ความคิดฟุ้งซ่านเมื่อครู่คงต้องวางมันทิ้งไปก่อน   "ขอเอกสารให้เจ้าศึกษาก่อนได้มั้ยคะป๊า ระหว่างที่เจ้าว่างสองสามวันก่อนทำงานที่บริษัท" "เดี๋ยวป๊าบอกเลขาให้ แต่ยังไงหนูก็ต้องให้เลขาป๊าสอนงานให้อยู่ดี"  เจ้าสาวเอ่ยขอเอกสารเกี่ยวกับบริษัทที่ตนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจก่อนที่จะได้บริหารงาน  เป็นเรื่องใหญ่และท้าทายความสามารถได้เป็นอย่างดี เมื่อเจ้าสาวต้องดูแลบริษัทแอลกอฮอล์ใหญ่โตของบิดา ไม่ใช่เพียงในประเทศ แต่ยังรวมถึงสาขาเล็ก ๆ ที่มีโรงงานอยู่ทั่วเอเชียอีกด้วย  "เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องงานหรอกนะ ให้ธันวาเป็นคนสอนให้ก็ได้ ส่วนเรื่องเจรจาธุรกิจน่ะ ป๊ามีคอนนอคชั่นเยอะไม่ต้องกังวล" "เจ้าไม่ชอบเลยค่ะคำว่าคอนเนคชั่น" "ม๊าว่าพอได้ลองทำงานนี้จริงจังเดี๋ยวเจ้าคงชอบเองแหละเรื่องคอนเนคชั่นเนี่ย"  เจ้าสาวพยักหน้าน้อย ๆ เธอไม่ชอบคำนี้เอาเสียเลย มันดูเหมือนว่าเอาเปรียบคนอื่น เอาเปรียบคนที่มีความเก่งและความพยายาม บางครั้งไม่ต้องขยับกายทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่มีคอนเนคชั่นเยอะก็สามารถชนะได้แล้ว ต่างจากคนที่พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับคำว่าคอนเนคชั่นคำเดียว  "พูดเรื่องอะไรกันคะ น้องข้าวปวดหั๊วปวดหัว"  ลูกสาวตัวเล็กที่นั่งข้างกายเจ้าสาวเอ่ยขึ้น พร้อมกับทำท่าทางเอามือบีบขมับเหมือนที่เคยเห็นคนเป็นยายทำบ่อยๆ  การกระทำของเด็กน้อยเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มเอ็นดูได้เป็นอย่างดีทีเดียว การรับประทานอาหารเช้าวันนี้ของเจ้าสัวและภรรยาไม่เงียบเหงา เพราะมีลูกสาวและหลานตัวน้อยคอยเจื้อยแจ้วเรียกเสียงหัวเราะได้เสมอ  "เจ้าจะไปบริษัทกับป๊ามั้ย" "ไว้วันหลังนะคะ เจ้าขอศึกษาเอกสารที่บ้านก่อน" "แต่น้องข้าวอยากไปเล่นบริษัทกับคุณตาปะป๊าค่ะ" "ไม่อยากอยู่กับมี๊เหรอคะ" เจ้าสาวก้มลงถามลูกน้อยพร้อมกับที่ยกมือขึ้นหยิบเม็ดข้าวออกจากปากให้ลูกสาว กินไม่ระวังเลยเด็กน้อยคนเก่งของเธอ  "น้องข้าวเบื๊ออออออเบื่ออยู่บ้านค่ะมี๊" "เบื่ออะไรกันคะ เพิ่งกลับมาได้อาทิตย์เดียวเองนะ" "ให้น้องข้าวไปกับป๊าเถอะ"  เจ้าสาวพยักหน้าเห็นด้วย น้องข้าวจ้าวไปที่บริษัทบ่อยจนชินแล้ว ย้อนกลับไปในอดีตทุกครั้งที่เธอพาลูกสาวกลับมาเมืองไทย น้องข้าวจ้าวก็จะขอไปเล่นที่บริษัทบ่อย ๆ จนสนิทกับพนักงานหลายคนแล้ว  "เมื่อไหร่ปะปี๊จะมาคะ"  คนเป็นแม่ตกใจเมื่อลูกสาวโพล่งขึ้นมากลางโต๊ะอาหารที่มีป๊ากับม๊าเธอนั่งอยู่ด้วย หลังจากวันนั้นที่สนามบินน้องข้าวก็ไม่เคยพูดคำนี้อีก จนมาถึงเมื่อครู่นี้  "หืม ปะปี๊เหรอคะ"  คุณรัศมีถามหลานสาว เธอและสามีไม่เคยเอ่ยปากถามหาพ่อเด็กเลยตั้งแต่เจ้าสาวตั้งครรภ์ เหตุก็เพราะว่าเธอแอบไปได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของลูกสาวนั่นเอง จึงไม่คิดจะเซ้าซี้ถามต่อ หากเจ้าสาวพร้อมคงจะเป็นฝ่ายบอกเอง  "ปะปี๊ไปทำงานค่ะ บอกว่าจะกลับแต่ไม่กลับสักที" เจ้าสาวไม่รู้ว่าต้องตอบลูกสาวอย่างไร จึงได้แต่ส่งสายตาไปมองป๊าและม๊าสลับกัน "ตาว่าเดี๋ยวคงกลับค่ะ หนูอยู่กับมี๊ไม่สนุกเหรอคะ" "สนุกค่ะคุณตาปะป๊า แต่ว่าน้องข้าวอยากอยู่กับปะปี๊บ้าง ปะปี๊เอาแต่ทำงานไม่มาอยู่กับน้องข้าวเลย"  ยิ่งเห็นสีหน้าสลดของลูกสาวเจ้าสาวก็ยิ่งอยากร้องไห้  "อืมมมม เดี๋ยวตาเร่งปะปี๊ของน้องข้าวให้กลับมาเร็ว ๆ ดีมั้ยคะ" "ดีค่ะคุณตาปะป๊า"  เด็กน้อยยิ้มกว้างแล้วกระโดดลงจากเก้าอี้วิ่งไปหาผู้เป็นตาแล้วกอดไว้แน่น ด้วยความรักใคร่ล้นใจเจ้าสัวธงชัยก็กอดหลานรักไว้แน่นเช่นกัน หากเจ้าสาวยังบอกทุกคนไม่ได้เรื่องพ่อของเด็ก คงต้องรอให้น้องข้าวโตกว่านี้ค่อยบอกความจริงที่แสนจะเจ็บปวดให้หลานรักได้รับรู้  เจ้าสัวโกรธไม่น้อยตอนรู้ความจริง แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเจ้าสาวไม่ยอมบอก และนี่ก็คือลูกสาวและหลานของเขา จะให้ตัดหางปล่อยวัดเห็นทีจะไม่ได้ ท่านเลี้ยงเจ้าสาวมาอย่างดี ประคบประหงมทุกอย่างยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ไม่ใช่ว่าเข้าข้างลูกสาวหรือรู้จักนิสัยของลูกดี แต่ท่านเชื่อว่าคนอย่างเจ้าสาวไม่มีทางปล่อยเนื้อปล่อยตัว ทำตัวเหลวแหลกจนท้องไม่มีพ่อแน่นอน มันต้องมีอะไรที่ผิดพลาดสักอย่าง คงได้แต่รอให้เจ้าสาวปริปากบอก ว่าไอ้หน้าตัวเมียคนนั้นมันเป็นใคร และถ้าเจอเจ้าสัวเตรียมพร้อมอยู่แล้วที่จะต่อยหน้าผู้ชายคนนั้นสักครั้ง  "นายจะไปไหนเต๋า"  เวลาสิบโมงกว่าๆ ที่เลขาคนสนิททำท่าว่าจะเตรียมตัวเดินทางไปไหนสักที่ วันนี้มีงานที่ไหนทำไมเต๋าไม่ยอมบอกเขาล่ะ  "บริษัทเจ้าสัวครับ" "ตอนนี้ชั้นต้องทำอะไรมั้ย" "มีคุยกับลูกค้าตอนบ่ายสองครับ"  เลขาหนุ่มค้อมหัวให้แล้วบอกตารางงานที่เขาจำได้ขึ้นใจให้เจ้านายรับรู้ "ไปด้วยสิ อยากไปสำรวจบริษัทหุ้นส่วนสักหน่อย" "ครับ"  ปราบเซียนลุกขึ้นจากเก้าอี้หนังบุนวมราคาหลายแสนที่เขาใช้นั่งทำงานเป็นประจำ ติดกระดุมชุดสูทสีเขียวเข้มหนึ่งเม็ดแล้วออกเดินนำหน้าลูกน้องไป ไหน ๆ ก็จะได้รับข่าวดีแล้ว ข่าวดีที่ว่าอีกไม่กี่วันหุ้นอีกสองเปอร์เซ็นต์ที่เขาให้เต๋าตามตื๊ออยู่เจ้าของของมันจะขายให้เขา หากว่าราคาเป็นไปตามที่เจ้าของหุ้นพอใจ แน่นอนว่าปราบเซียนยินดีจ่ายเพราะมันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม  บริษัทพ่อตาที่มีลูกเขยอย่างเขาเป็นคนถือหุ้นรายใหญ่ และจะได้เข้าไปบริหารกิจการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่รายเดียวในประเทศไทยอย่างเต็มตัว แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว  เพียงก้าวแรกที่เดินเข้ามาในสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่กำลังจะเป็นของเขาในไม่ช้าปราบเซียนก็เป็นต้องยิ้มแก้มปริ เพราะตรงนั้น ตรงโต๊ะประชาสัมพันธ์มีเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังจะทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปตลอดกาลนั่งเล่นตุ๊กตาอยู่บนพื้น โดยที่มีเสื่อนุ่มๆ รองรับร่างนุ่มนิ่มไว้อีกที ปราบเซียนไม่คิดไม่ฝันว่าการที่นี่ในวันนี้จะพบเจอกับคนที่เขาเฝ้าคิดถึงมาหลายวัน "เต๋า" "ครับ" "ช่วยไปหยิบ 'ของ' ในรถให้หน่อยสิ"  ลูกน้องอมยิ้มเมื่อมองตามสายตาผู้เป็นนายแล้วเจอเข้ากับเด็กผู้หญิงในวันนั้น และเขาเองก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าเธอคือบุตรสาวของเจ้านายที่เกิดจากความพลาดพลั้งในอดีต  "เล่นด้วยได้มั้ยคะ"  เด็กหญิงตัวน้อยเงยหน้าจากการเปลี่ยนชุดให้เจ้าตุ๊กตาตัวโปรดมามองคนมาใหม่ รอยยิ้มปรากฏให้เห็นเต็มใบหน้าเล็ก ข้าวจ้าวทิ้งตุ๊กตาตัวนั้น ยืนขึ้น แล้วโถมตัวเข้าหาคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าจนปราบเซียนเซไปเล็กน้อย  "ปะปี๊!"  เด็กน้อยอุทานด้วยความดีใจ ความอบอุ่นที่ได้สัมผัสทำเอาปราบเซียนน้ำตาซึม อยากจะก่นด่าและทำลายทุกอย่างที่ทำให้เขาและลูกเจอกันช้าไป ทั้งอยากโกรธ และอยากขอโทษที่เขาไม่ได้มีช่วงเวลาดี ๆ กับลูกสาวเลยตั้งสี่ปี ไม่ได้ดูแลตอนผู้หญิงคนนั้นตั้งท้องตั้งเกือบปี รวมแล้วก็ห้าปีที่เขาพลาดโอกาสที่จะได้ดูแลลูกน้อยไปอย่างน่าเสียดาย  "ปะปี๊กลับมาแล้ว" "ไหนใครฝากซื้อเจ้าหญิงน้า"  รับของมาจากมือลูกน้องแล้วคลายอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นออกอย่างน่าเสียดาย ชูตุ๊กตาเจ้าหญิงที่ยืนยิ้มอยู่ในกล่องพลาสติกสีหวานให้เด็กน้อยดู  "ว้าวววววว"  เด็กน้อยร้องเสียงหลงด้วยความดีใจ รับตุ๊กตาจากมือของปราบเซียนไปกอดไว้ โดยที่ไม่ลืมไหว้ขอบคุณตามที่หม่ามี๊คอยพร่ำสอนเสมอ  "ขอบคุณค่ะปะปี๊"  ริมฝีปากจิ้มลิ้มที่แย้มยิ้มและเจื้อยแจ้วเมื่อครู่ประทับลงตรงแก้มนุ่มของคนอายุมากกว่าโดยที่ปราบเซียนไม่ทันได้ตั้งตัว ความอบอุ่นทาทาบไปถึงขั้วหัวใจจนปราบเซียนตัวชาวาบ   "ปะปี๊จะมาอยู่กับน้องข้าวรึยังคะ"  อยากจะอุ้มกลับไปอยู่ด้วยใจจะขาด น่ารักแบบนี้แม่เขาต้องชอบมากแน่ ๆ รู้เลยว่าจะสปอยล์หลานขนาดไหน เพราะคนเป็นแม่ชอบบ่นว่าอยากให้เขามีลูกอยู่เรื่อยเลย หากบอกไปว่ามีแล้วและตอนนี้อายุประมาณสี่ขวบก็เกรงว่าแม่เขาจะเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน  เอาเป็นว่าค่อยเป็นค่อยไป และไม่เกินหนึ่งอาทิตย์แน่นอน ลูกสาวของเขาจะได้ไปอยู่ที่บ้านอย่างถาวร  "ปะปี๊ขอทำงานก่อนนะคะเด็กดี อาทิตย์หน้าหนูค่อยไปอยู่กับปะปี๊ดีมั้ย เดี๋ยวจะทำห้องนอนเจ้าหญิงไว้ต้อนรับ" "เย้"  เด็กน้อยดีใจและลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นไปมาไม่สนใจตุ๊กตาในมือที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นเลยสักนิดเดียว สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ที่พบเห็นได้ไม่น้อยทีเดียว สมองอันชาญฉลาดของเขาประมวลผลอย่างรวดเร็ว นึกออกแล้วล่ะว่าจะพาลูกสาวสุดที่รักไปอยู่ด้วยโดยวิธีไหน และแน่นอนว่าวิธีนี้จะพ่วงแม่ของเด็กไปด้วยแน่นอน ฉลาดหลักแหลมไม่มีใครเทียบเท่าจริง ๆ เลยปราบเซียน  "น้องข้าว"  เสียงหวานที่เรียกจากทางด้านหลังทำเอาปราบเซียนลมหายใจสะดุด เด็กหญิงตัวน้อยหยุดเต้นแล้วเดินเข้ามาโอบกอดเขาไว้อีกครั้งคล้ายกับว่าไม่อยากจากไปไหน  "ได้เวลาทานข้าวแล้วค่ะ ท่านประทานเรียกแล้ว" ปราบเซียนถอนหายใจหนักหน่วง นึกไว้ว่าคงเป็นแม่ของหนูน้อยแน่นอน แต่ดีที่ไม่ใช่ เพราะเขายังไม่ทันได้เตรียมใจจะพบเจอเธอเลยยังไงล่ะ ปราบเซียนถึงได้เสียวสันหลัง  แต่ก็ยังการันตีไม่ได้ว่าถ้าเจอแล้วเธอจะยังจำเขาได้รึเปล่า แต่เขาน่ะจดจำเธอได้ขึ้นใจเลย  "ปะปี๊ตั้งใจทำงานนะคะ แล้วรีบกลับมาหาน้องข้าวเร็วๆ ด้วย" ปราบเซียนพยักหน้าหงึกหงัก น้องข้าวจ้าวคงถูกหลอกล่อด้วยประโยคที่ว่า 'คุณพ่อไปทำงาน ยังไม่กลับ' อยู่เป็นประจำจนชินสินะถึงได้ดูไม่ค่อยอาลัยอาวรณ์เขาอย่างที่ควรจะเป็น หรืออาจเป็นเพราะเราทั้งคู่เพิ่งได้พบเจอกันความผูกพันจึงยังมีไม่มากพอ ก่อนจากเด็กน้อยยังโน้มคอเขาลงมาจุ๊บอีกครั้ง ปราบเซียนนั่งนิ่งราวกับรูปปั้นอยู่แบบนั้น จนคนที่มาเรียกเก็บข้าวของที่น้องข้าวจ้าวเล่นเมื่อครู่ไปจนหมด จนเลขาได้เรียกสติเขากลับคืนมาด้วยการแตะไหล่เบา ๆ ปราบเซียนถึงได้หลุดจากภวังค์ รออีกนิด ไม่นานเราต้องได้อยู่ด้วยกันแน่ลูกรัก "ปราบเซียน ชิณวรรณ" เจ้าสาวเปรยกับตัวเองเบา ๆ เมื่อเห็นความผิดปกติบางอย่าง อาทิตย์ที่แล้วเขาซื้อหุ้นไปได้ถึง 49% เพียงเวลาแค่สามวัน ซึ่งนั่นแปลว่าตอนนี้เขาถือหุ้นเป็นรองป๊าเธออยู่แค่ 1% เพราะหุ้นของป๊าเธอมีทั้งหมดที่รวมของเธอและของหม่าม๊าเข้าไปแล้ว 50% เท่านั้นเอง และเหมือนเจ้าสาวจะเห็นความผิดปกติเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง หุ้นอีก 2% กำลังจะถูกขายทอดตลาด หากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาคนนี้ต้องซื้อไปเป็นแน่ คำถามต่อมาคือเขาเป็นใคร และต้องการอะไร แล้วเกิดการซื้อหายหุ้นมากมายขนาดนี้ไม่มีใครรับรู้เลยหรืออย่างไร  "คุณต้องการอะไรกันแน่"  เจ้าสาวหน้านิ่วคิ้วขมวด บริษัทที่ป๊าเธอลงทุนลงแรงมากับมือกำลังจะถูกคนที่ไหนไม่รู้มาชุบมือเปิบในช่วงขาลงเอาไปงั้นหรือ ครอบครัวเธอคงกำลังถึงขั้นวิกฤตจริง ๆ แล้วสินะ  และเจ้าสาวควรมีแผนสำรองไว้เตรียมรับมือกับการถูกฟ้องล้มละลายไว้ให้ดี หากคนคนนี้คิดจะเล่นตุกติก เพราะดูจากเจตนาที่กว้านซื้อหุ้นไปมากมายขนาดนี้เขาคงไม่ได้มาดีเป็นแน่     "คุณไชโยยอมขายหุ้นแล้วครับ 85 ล้านบาท" "หึ หุ้นสองเปอร์เซ็นต์ราคาเกือบร้อยล้าน คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม" "คุณปราบเซียนจะทำยังไงต่อครับ"  ปราบเซียนยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ สายตาแน่วแน่มองตรงออกไปดูความศิวิไลของแสงไฟในเมืองกรุงภายนอกคอนโดอย่างไร้จุดหมาย   "พาลูกมาอยู่บ้าน อ้อ...ถ้าเมียมาด้วยยิ่งดีใหญ่ แม่จะได้เลิกบ่นสักที แจ็คพอตเลยนะเต๋า มีเมียด้วยมีลูกด้วยแถมลูกยังโตแล้วอีกต่างหาก"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD