บทที่ 2 (จุดเริ่มต้น ต่อ )
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะกระจกรถจากด้านนอกปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์ความคิดของตน โชติมนต์รีบเลื่อนกระจกลงมา ก็เห็นลูกพี่ลูกน้องอย่าง จอย จันทร์วาด ยืนมองด้วยความเป็นห่วงอยู่ตรงนั้น
“ ว่าไงจอย ” โชติมนต์หันไปยิ้มให้ญาติสาวอย่างปลอบประโลม เพราะดูจากสีหน้าแล้วจันทร์วาดเป็นห่วงเธออย่างไม่ต้องสงสัย
“ ว่าไงล่ะยะแกเป็นอะไรทำไมไม่ยอมลงรถ ฉันเห็นแกมาจอดตั้งนานแล้วนะ แกเป็นอะไรหรือเปล่า ” จันทร์วาดถามออกมาอย่างตกใจ จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไรก็โชติมนต์เล่นจอดรถนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นเกือบ 5 นาทีเห็นจะได้
“ เปล่า ๆ รอแป๊บนะขึ้นไปพร้อมกัน ”
โชติมนต์และจันทร์วาดเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ความจริงทั้งคู่อยู่บ้านเดียวกันแต่เพราะเมื่อคืนจันทร์วาดไปค้างบ้านแฟนของเธอจึงทำให้ทั้งคู่ไม่ได้มาทำงานพร้อมกันและที่หญิงสาวได้มาทำงานที่นี่ก็เพราะว่าจันทร์วาดนี่แหละเป็นคนแนะนำให้มาทำและจริง ๆ ทั้งสองอายุเท่ากันแต่เพราะโชติมนต์ดรอปเรียนไปก่อนหน้านี้จึงทำให้จบช้ากว่าจันทร์วาดไปหนึ่งปี
“ น้องรินไปเรียนแล้วใช่ไหม เมื่อเช้ากินข้าวเยอะหรือเปล่า ” เพราะเมื่อเช้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน จันทร์วาดจึงเป็นห่วงหลานสาวของเธอเป็นอย่างมาก ยิ่งหลานสาวเธอไม่ค่อยจะแข็งแรงแบบนี้แล้วด้วย
“ เยอะสิ ฉันตื่นมาทำข้าวผัดให้ดีใจใหญ่เลย แต่ว่าจอยฉันสงสารลูกจังนี่แกรู้ไหมหนูนินที่อยู่เย็น ๆ กับน้องรินทุกวันน่ะเขาย้ายแล้วนะแม่เขาพากลับไปเรียนที่ต่างจังหวัดแล้วน่ะ” โชติมนต์ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสารลูกสาวตนเอง ไม่รู้จะชะเง้อคอรอคอยเธอหรือเปล่าจะเหงามากหรือเปล่าที่เธอไปรับช้าแบบนี้
“ เอ้า!! แล้วน้องรินอยู่กับใครล่ะ” จันทร์วาดเองก็ตกใจและเป็นห่วงหลานสาวไม่แพ้กัน
“ เห็นครูบัวบอกว่า มีเพื่อนอยู่ด้วยกันอีก 4-5คนน่ะ แล้วครูบัวก็รับปากจะดูแลให้เป็นพิเศษ ” ยังดีที่ครูพี่เลี้ยงของรินลดารับปากจะคอยดูแลให้อย่างน้อย ๆ ก็หายห่วงไปได้บ้าง
“ เออ งั้นแกก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เดี๋ยวสิ้นเดือนก็ค่อยซื้อของไปฝากครูบัวแกหน่อยละกัน ”
จันทร์วาดเสนอ ไม่ใช่ว่าจะติดสินบนแต่พวกเธอแค่ต้องการมอบให้เพื่อเป็นสินน้ำใจเพราะเธอเคยเอ่ยปากจะจ้างให้ครูสาวดูแลรินลดาให้ แต่ครูสาวไม่ขอรับเงินจากผู้ปกครองเด็ดขาด บ้านครูบัวอยู่หลังโรงเรียนเพราะถ้าเย็นมาก ๆ ครูบัวก็จะพาเด็กหญิงกลับไปที่บ้านด้วยทั้งสองสาวเดินคุยกันขึ้นมาจนกระทั่งถึงโต๊ะทำงาน ทั้งคู่ทำงานแผนกเดียวกันพวกเธอเป็นเพียงพนักงานธุรการธรรมดา ๆ คนหนึ่งของที่นี่ โชติมนต์ทำที่นี่มาสองปีแล้วส่วนจันทร์วาดทำมาสี่ปีตั้งแต่เรียนจบ เหตุผลที่หญิงสาวเริ่มงานช้ากว่าลูกพี่ลูกน้องตนเองก็เพราะพอเธอคลอดเสร็จเธอก็ต้องกลับไปเรียนต่อให้จบมหาลัย ยังดีที่ว่าป้าของเธอหรือแม่ของจันทร์วาดช่วยเลี้ยงรินลดาให้เธอ จึงทำให้เธอไม่ลำบากนักแต่เมื่อปีที่แล้วป้าของเธอกลับมาด่วนจากไปด้วยโรคมะเร็งร้าย บ้านหลังน้อยจึงเหลือแค่เพียงสามสาวเท่านั้นที่อาศัยอยู่โชติมนต์เป็นเด็กกำพร้า พ่อกับแม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่เธอเด็ก ๆ ป้าเธอจึงรับอุปการะเธอมาตลอด เงินทองที่พ่อกับแม่เธอทิ้งไว้ให้ ป้าเธอไม่เคยเอาไปใช้เองสักบาท ถึงแม้เธอจะบอกให้ป้าเธอแบ่งเอาไปใช้ได้ก็ตาม ป้าเธอใช้เงินของพ่อแม่เธอส่งเธอเรียนจนจบและยังมีเหลือสำหรับคลอดรินลดาอีกหนึ่งก้อน ก่อนจะหมดลงเมื่อเร็ว ๆ มานี้ หญิงสาวจึงต้องออกมาหางานทำต่อไปเพื่อที่ได้เอาไว้ใช้เลี้ยงลูกสาวของเธอ
“ นี่ ๆ จอยกับเนยเห็นท่านรองประธานคนใหม่หรือยัง หล่อมาก มากแบบก.ไก่ล้านตัวเลยล่ะ”
ทันทีที่สองสาวนั่งประจำโต๊ะ รุ่นพี่ที่ Office ก็รีบเข้ามาเมาส์มอยตามประสาสาว Office ทันที
“ ไม่เห็นนะพี่ฟาง บริษัทเรามีท่านรองประธานคนใหม่ด้วยหรือ ” จันทร์วาดถามออกไปอย่างสงสัย เพราะเธอไม่ได้ยินข่าวนี้มาก่อน เช่นเดียวกับโชติมนต์ที่นั่งฟังอย่างเฉย ๆ
“ มีสิจ๊ะ ท่านรองมาฝึกงานน่ะ เห็นว่าเพิ่งจบจากต่างประเทศมาด้วย โปรไฟล์ดีมาก ๆ เลยล่ะ” สายข่าวอย่างกนกวรรณไม่เคยพลาดอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องในบริษัทกนกวรรณรู้ไปถึงเรื่องของแม่บ้านโน้นแหละ
“ เหรอคะ อย่างนี้พี่ฟางต้องรีบแล้วนะเพราะถ้าทั้งหล่อทั้งรวย พนักงานสาว ๆ น่าจะแย่งกันเยอะแยะเชียวล่ะค่ะ” โชติมนต์เอ่ยเย้าแหย่รุ่นพี่ออกไป อย่างขำๆ
“ ก็ใช่นะสิจ๊ะแล้วคุณแม่คนสวยไม่อยากลงสนามบ้างหรือจ๊ะ ยัยจอยน่ะตัดทิ้งไปได้เลย เพราะคุณราเชนทร์หวงยังกับงูจงอาง ” ราเชนทร์ที่หญิงสาวพูดก็คือ เจ้าของร้านเบอร์เกอร์ที่ใต้บริษัทและเป็นแฟนหนุ่มของจันทร์วาดอีกด้วย
“ จอยไม่มองใครแล้วล่ะค่ะคุณพี่ฟาง ขอสละสิทธิ์หนึ่งคนนะคะ” จันทร์วาดพูดออกมาอย่างติดตลก เธอมีแค่ราเชนทร์คนเดียวก็เพียงพอแล้ว
“ เนยก็เหมือนกันค่ะ เห็นทีคงจะไปลงแข่งกับใครไม่ไหวหรอก ใครจะอยากได้คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวไปเป็นภาระล่ะคะ ตำแหน่งนี้พี่ฟางต้องไม่พลาดนะคะ” ชีวิตนี้โชติมนต์ขอมีแค่ลูกคนเดียวก็เพียงพอแล้วจริง ๆ ส่วนเรื่องคู่ครองเธอไม่คิดไม่ฝันที่จะอยากมีอีกแล้ว รักครั้งแรกเธอก็เจ็บเจียนตาย
“จริงค่ะได้ดีแล้วอย่าลืมเราสองคนนะคะ”จันทร์วาดเสริมคำพูดของโชติมนต์ออกไปเล่นเอารุ่นพี่สาวยิ้มกริ่มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ โอเคจ้า เจ๊จะไปลืมน้อง ๆ เลยล่ะค่ะ ฮิฮิ ” กนกวรรณเดินยิ้มกลับไปนั่งที่โต๊ะตนเอง ก็พอดีกับที่นาฬิกาบอกเวลาเริ่มสักที ทั้งหมดก็ต่างหันหน้าเข้าคอมประจำตำแหน่งตนเองและนั่งทำงานกันอย่างขะมักเขม้นต่อไปจนกว่ากว่าจะหมดเวลาทำงานในเวลาต่อไป