ในเย็นวันนั้น ทันทีที่ภูดิสก้าวเข้ามาในคฤหาสน์หรู เสียงประมุขเอกของบ้านก็ดังขึ้น
“อ้าว…ตาภู กลับมาแล้วเหรอ มานั่งนี่สิน้องลิดามานั่งรอทานข้าวนานแล้ว ป่านนี้คงหิวแย่”
“ทำไมต้องรอด้วยละครับ ถ้าหิวแล้วก็ทานก่อนเลย ผมขอตัวก่อน”
ภูดิสบอกอย่างไม่สนใจ นัยน์ตาคมกริบกวาดมองดาราสาวแวบหนึ่ง ก่อนจะก้าวไปอีกทางหมายจะกลับขึ้นไปยังห้องนอนที่อยู่ชั้นบน แต่แล้วเท้ายาวๆก็ต้องชะงักหยุดอยู่กับที่
“อย่าเสียมารยาทนะตาภู พ่อบอกให้มานั่งไง!”
เสียงเข้มห้วนของบิดาทำให้ภูดิสต้องพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ด้วยอาการเซ็งๆ ร่างสูงสง่าหมุนตัวเดินตรงมาที่โต๊ะอาหาร ซึ่งมีมารดาและนางเอกสาวนั่งรออยู่ด้วย แต่กระนั้นก็ไม่ยอมนั่งลงตามคำสั่งของบิดา
“คุณพ่อทำราวกับผมอายุสิบขวบต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาตลอด เวลา ขนาดทานข้าวผมยังต้องโดนบังคับจิตใจเลย”
“ตาภู น้องอุตส่าห์มาหา ทำตัวเป็นผู้ใหญ่หน่อย”
คราวนี้เสียงของมารดาเอ่ยปรามเมื่อเห็นว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกำลังทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าทุกคน
“ผมบอกคุณพ่อคุณแม่แล้วไงครับ ว่าผมไม่ยอมรับการหมั้นหมายวัยเด็ก ถ้าจะให้ผมคบกับลินดาเหมือนคนรักผมทำไม่ได้ เพราะผมเห็นเธอเป็นแค่น้องสาว”
คำประกาศชัดของชายหนุ่มทำให้ดาราสาวหน้าถอดสีไปอย่างถนัด และนั่นก็ยิ่งทำให้ประมุขเอกของบ้านโมโหหนัก
“ตาภู!”
“ผมขอตัวก่อนนะครับ วันนี้มีนัดกับเพื่อน”
ภูดิสบอกกับบิดาอย่างไม่เกรงกลัวเสียงคำรามนั้น ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องอาหารไปทันที ปล่อยให้ผู้เป็นพ่อต้องกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ
“ดูลูกคุณสิ ดูมันทำ!”
“ใจเย็นๆนะคะคุณ เรื่องนี้ไว้เราค่อยๆพูดค่อยๆจากับลูกทีหลังแล้วกันนะคะ”คุณนายนิดาบอกกับสามีด้วยน้ำเสียงอ่อน พลางบีบมืออีกฝ่ายเบาๆเพื่อทำให้อารมณ์โมโหนั้นสงบลง จากนั้นก็หันมาบอกกับสาวน้อยผู้น่าสงสารที่ถูกคู่หมั้นเมินใส่อย่างไม่ใยดี
“หนูลินดาก็อย่าคิดมากเลยนะคะ พี่ภูเขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ”
“ค่ะคุณแม่”
ลินดารับคำอย่างนอบน้อม ใบหน้างดงามยิ้มอ่อนหวานทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ในใจกลับคับแค้นใจจนแทบจะระเบิด ทีแรกเธอเข้าใจว่าภูดิสจะเกรงกลัวบิดา เธอเลยมาที่นี่เพื่อที่จะได้ทานอาหารร่วมกัน แต่ดูเหมือนนอกจากภูดิสจะไม่เกรงกลัวท่านแล้ว ยังต่อต้านการหมั้นหมายวัยเด็กหัวชนฝาอีกด้วย สงสัยงานนี้คงต้องคิดหาวิธีอื่นจับเขาแทนเสียแล้ว
……………………………………….
“เป็นอะไรวะไอ้ภู มาถึงก็ดื่มเอาดื่มเอาราวกับมีเรื่องกลุ้มใจอย่างนั้นแหละ”
ปราบยุทธเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ยกแก้วเหล้าดื่มตั้งแต่มาถึงอย่างไม่คิดจะพักหายใจหายคอ
“มีเรื่องหงุดหงิดใจนิดหน่อย”
“เรื่องอะไรระบายกับฉันได้นะ เผื่อจะช่วยให้นายรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง”
“เรื่องเดิม ลินดายายตัวแสบ!”
พูดถึงเจ้าหล่อนแล้ว ภูดิสก็ต้องกำแก้วเหล้าไว้แน่นด้วยความคับแค้นใจ การที่เธอคิดว่าเข้าทางพ่อแม่เขาแล้วจะเอาเขาอยู่หมัดนั้นฝันไปเถอะ! คนอย่างภูดิสไม่เคยคิดที่จะอ่อนให้ใคร หากไม่ใช่สิ่งที่ตนต้องการ
“ทำไมวะ คราวนี้เธอทำอะไรอีก”
“เธอก็ไปแสดงบทสาวไร้เดียงสาและน่าสงสารเพื่อให้พ่อแม่ฉันเร่งรัดงานแต่งไง นี่ถ้าฉันมีตุ๊กตาทองในมือจะมอบให้เธอไปครองเลย คนอะไรแสดงละครเก่งทั้งนอกจอและในจอ”
“นายก็อคติกับน้องเขาเกินไป เท่าที่ฉันเห็นน้องเขาก็เป็นผู้หญิงน่ารักดีนะ แถมเธอยังมีแฟนคลับทั่วบ้านทั่วเมือง”
“น่ารักกับผีนะสิ! ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเจอใครร้ายเท่าเธอเลยจะบอกให้”
ภูดิสไม่อยากจะเล่าวีรกรรมแสบๆของเจ้าหล่อนในเพื่อนฟังมาก เพราะตั้งแต่แตกเนื้อสาวมาเธอมักหาโอกาสอ่อยเขาเวลาได้อยู่กันตามลำพัง ต่างกับตอนอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ที่เธอมักแสดงบทไร้เดียงสาอ่อนต่อโลกราวกับเป็นคนละคน ผู้หญิงแบบไม่คู่ควรจะมาเป็นภรรยาของเขาในอนาคตหรอก
“เอาน่า…ดื่มต่อเถอะ ไว้เรื่องนี้เราค่อยหาทางออกกันอีกที”
ปราบยุทธว่าพลางตบไหล่เพื่อนเบาๆเป็นกำลังใจ เพราะรู้ว่าภูดิสนั้นไม่ชอบการจับคู่ครั้งนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นโต๊ะของกลุ่มสาวๆที่พรางหน้าด้วยหน้ากากก่อนจะเอ่ยขึ้น
“สาวโต๊ะนั้นน่าสนใจดีนะ”
ปราบยุทธบอกกับเพื่อนที่กำลังเอนหลังพิงโซฟาตัวใหญ่ในท่าสบายๆ ก่อนจะหันไปมองตามสายตาเพื่อน
“มาริกา”
เสียงทุ้มพึมพำเบาๆ มือใหญ่ที่กำลังควงแก้วในมือหยุดชะงักลงอย่างอัตโนมัติ เมื่อพบว่ากลุ่มสาวๆที่เพื่อนมองอยู่นั้นมีมาริกานั่งอยู่ด้วย ถึงแม้เจ้าหล่อนจะพรางใบหน้าด้วยหน้ากากแมวสุดเซ็กซี่ และนั่งในมุมสลัวแต่เขาก็จำเธอได้แม่นยำ
“นายรู้จักพวกเธอด้วยเหรอ”
“เป็นพนักงานในบริษัท”
“ไม่ยักจะรู้ท่านประธานบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างนาย ที่มีลูกน้องเป็นร้อยเป็นพัน จะจำหน้าและชื่อของพนักงงานในบริษัทได้”
“เธอไม่เหมือนคนอื่น”
“ยังไง?”
ปราบยุทธเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย ทว่าภูดิสกลับไม่ตอบคำถาม ก่อนจะเอ่ยขอตัว
“ฉันขอตัวก่อนนะ คืนนี้แยกกันตรงนี้แล้วกัน ฉันมีธุระต้องไปทำต่อ”
“เฮ้ย! เพิ่งจะมาถึง จะรีบไปไหนกันวะไอ้ภู”
ปราบยุทธร้องถามเพื่อนที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหมุนตัวก้าวยาวๆไปที่โต๊ะกลุ่มสาวๆโดยไม่หันมามองอีก
ร่างสูงสง่าในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินพับแขนกับกางเกงสแล็คพอดีตัว เดินผ่านหน้าทำให้มาริกาที่มานั่งดื่มย้อมใจอยู่นานเป็นชั่วโมงต้องสะบัดศีรษะพลางพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“สงสัยฉันจะเมาอีกแล้วนะ ถึงได้เห็นใครหน้าคลายเขาไปหมด”
ก็เพราะวันนี้รู้สึกเหมือนอกหักซ้ำสองจากท่านประธานหนุ่มหล่อ มาริกาเลยเลือกที่จะดื่ม เพื่อให้ลืมความเจ็บหน่วงๆในใจ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่ เพราะขนาดดื่มจนมึนแล้วยังมิวายตาฝาดเห็นคนอื่นเป็นเขาอยู่ดี
“ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ อารยา จะไปตามเมธีด้วยหายไปนานแล้วไม่เห็นกลับมาสักที”
“แล้วไปไหวหรือเปล่าเจ๊ ให้ฉันพาไปไหม”
“ไม่เป็นไร แค่นี้สบายมาก…”
มาริกาปฏิเสธ พร้อมกับลากเสียงยาวเพราะเธอคิดว่ายังครองสติได้อยู่ แต่พอลุกขึ้นก็มิวายเดินเซไปเซมาจนเกือบจะชนใครต่อใครไปหลายรอบ กระทั่งพยุงกายโซเซมาถึงหน้าห้องน้ำจนได้
“อ้าวเมธี มาอยู่ที่เอง ว่าแต่ทำไมแกถึงไปเปลี่ยนหน้ากากเป็นหน้าท่านประธานมาละเนี่ย!”
หญิงสาวว่าพลางตบไหล่คนที่เธอคิดว่าเป็นเพื่อนด้วยอาการมึนๆ ก่อนจะเซถอยหลังเหมือนจะล้ม เลยได้มือใหญ่คว้าเอวเล็กไว้ได้ทัน
“คืนนี้ฉันขับรถกลับไม่ไหว แกไปส่งฉันหน่อยนะเมธี”
พูดจบร่างอรชรก็หลับคอพับไป ทำให้ภูดิสต้องเขย่าร่างบางแรงๆเพื่อปลุกให้อีกฝ่ายตื่น แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เมื่อเธอยังคงแน่นิ่งไม่ไหวติงใดใด
“คงดื่มหนักละสิท่า กลิ่นเหล้าฉุนเชียว”
ภูดิสพึมพำเบาๆเมื่อได้กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนๆจากคนในอ้อมกอดแตะจมูก
“เป็นผู้หญิงมาเที่ยวสถานบันเทิง แต่ปล่อยตัวเองให้เมาหนักขนาดนี้ได้ยังไง มาริกา”
ชายหนุ่มคำรามเสียงต่ำ พลางจับร่างอรชนช้อนขึ้นบนแขนแข็งแรง แล้วพาออกจากไนต์คลับหรูไปทันที
ทางด้านเมธีที่มึนพอสมควร กลับมาถึงโต๊ะแล้วไม่เจอเพื่อนรุ่นพี่ก็เอ่ยถามเพื่อนสนิทด้วยความแปลกใจ
“เจ๊ล่ะ อารยา?”
“อ้าว…ไม่เจอกันเหรอ เมื่อกี้เจ๊บอกจะไปเข้าห้องน้ำแล้วไปตามแกด้วย”
“ไม่เห็นนะ ฉันก็เพิ่งเดินกลับออกมาจากห้องน้ำ”
“หรือว่าเจ๊จะกลับไปแล้ว”
อารยาตั้งสมมติฐานเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาริกาชอบกลับก่อนโดยที่ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า
“ลองโทรตามสิ”
อารยาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรตามอีกฝ่าย แต่ก็ไม่มีคนรับสาย กระทั่งสายตัดไปเอง
“ไม่มีใครรับสาย”
“เป็นแบบนี้ทุกทีเลย เวลาเมาชอบทิ้งเราให้กลับกันเองตลอด”
เมธีบ่นพึมพำด้วยความเอือมระอา กับนิสัยที่แก้ไม่ตกของสาวรุ่นพี่ แต่กระนั้นก็ไม่คิดอะไรมากเพราะมาริกานั้นอายุสามสิบปีแล้ว และเธอก็สามารถประคองสติกลับบ้านได้เองทุกครั้งไป