“มาหาผมถึงที่นี่มีธุระอะไร”
ภูดิสถามเสียงราบเรียบ ขณะที่สายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างบางระหงของนางเอกสาวดาวรุ่งที่มาขอพบเขาเป็นการส่วนตัวถึงในห้องทำงาน
“ลินดาจะมาแสดงความยินดีกับพี่ภูที่มารับตำแหน่งท่านประธานวันแรกค่ะ และก็อยากชวนพี่ออกไปทานมื้อกลางวันด้วยกันข้างนอก เพื่อเป็นการเลี้ยงฉลองด้วยค่ะ”
หญิงสาวตอบเสียงใส พร้อมกับพาร่างเพรียวบางของตัวเองมานั่งลงบนที่วางแขนของเก้าอี้ตัวใหญ่ ที่ชายหนุ่มกำลังนั่งอยู่อย่างถือวิสาสะ
“ไม่กลัวเป็นข่าวเหรอ เกิดมีนักข่าวเห็นเราไปไหนมาไหนด้วยกันจะเป็นข่าวเอานะ”
“ทำไมลินดาต้องกลัวด้วยละคะ ดีเสียอีก เพราะถ้าเป็นข่าวลินดาก็จะแถลงออกสื่อไปเลยว่าเราเป็นคู่หมั้นกัน”
“คู่หมั้นวัยเด็กที่ผู้ใหญ่เป็นคนเลือกให้ มันน่าภูมิใจตรงไหน”
ภูดิสสวนขึ้นมาทันทีที่หญิงสาวพูดถึงการหมั้นหมายวัยเด็ก เขาไม่ค่อยพอใจนักที่เธอแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเพียงเพราะเธอถือว่าตัวเองเป็นคู่หมั้นหมาย
“แต่ยังไงเราก็ต้องแต่งงานกันนะคะพี่ภู เพราะผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายทำสัญญากันแล้วว่าถ้าเราโตขึ้นจะต้องแต่งงานกัน”
“หน้าตาคุณก็สวยนะลินดา แต่ทำไมถึงไม่คิดจะมองหาคนที่คู่ควรกับคุณ และแต่งงานกับคนที่คุณรักล่ะ”
“ผู้ชายคนเดียวที่ลินดารัก และคู่ควรด้วยก็คือพี่ภูคนเดียวเท่านั้นแหละค่ะ”
หญิงสาวว่าพลางระบายยิ้มกว้างก้มมองคนบนเก้าอี้ตัวเดียวกับที่เธอนั่ง ทว่าชายหนุ่มกลับเลิกคิ้วสูงถามอย่างท้าทายอีกฝ่าย
“งั้นเหรอ?”
“ค่ะ ถึงตอนนี้พี่จะปฏิเสธลินดากี่พันครั้ง แต่สักวันลินดาเชื่อว่าจะสามารถทำให้พี่ภูรักได้”
ไม่พูดเปล่า แต่หญิงสาวยังวางฝ่ามือเล็กลงบนแผงอกกว้างแข็งแรงแล้วลูบไปมาด้วยท่าทางที่เย้ายวน
“ทำยังไง? จะใช้เรือนร่างยั่วยวนผม หรือใช้มารยาหญิงปั่นหัวผมกันล่ะ?”
“ลินดาไม่ใช่ผู้หญิงร้ายขนาดนั้นสักหน่อย”
ได้ยินที่เธอพูดแล้ว ภูดิสถึงกับต้องก้มมองมือของเธอที่ทำตัวเป็นหนวดปลาหมึกไม่อยู่นิ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบตอบกลับไป
“อย่าคิดว่าผมมองคนไม่ออก บทนางเอกไร้เดียงสาและน่าสงสารในจอมันดูห่างไกลกับชีวิตจริงของคุณมากนะลินดา”
“พี่ภู!”
“วันนี้ผมงานยุ่ง คงออกไปทานมื้อกลางวันกับคุณไม่ได้หรอก”
ภูดิสพูดพร้อมกับจับมือเล็กดึงออกจากอกของเขา จากนั้นก็ผลักเจ้าหล่อนออกไปจากเก้าอี้อย่างไม่ใยดี ทำให้นางเอกสาวถึงกับหน้ายุ่ง แต่แล้วก็สามารถปรับกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ไว้ตอนเย็นก็ได้ค่ะ ลินดาจะไปทานข้าวที่บ้านพี่ภู กับคุณพ่อคุณแม่ของพี่ แล้วเราจะคุยเรื่องแต่งงานกันค่ะ”
“ลินดา!”
ภูดิสคำรามชื่อเธอเสียงต่ำอย่างไม่พอใจ ทว่านางเอกสาวกลับยกยิ้มที่มุมปากร้ายๆอย่างผู้ชนะ
“แล้วเจอกันตอนเย็นนะคะ บาย”
“ยายตัวแสบ!”
ภูดิสคำรามเสียงต่ำ มองตามร่างบางที่เดินออกจากห้องของเขาไปด้วยความคับแค้นใจ
…………………………………………..
“ฉันเห็นคุณลินดานางเอกชื่อดังที่กำลังมาแรงในบริษัทเมื่อเช้าด้วย ตัวจริงเธอสวยกว่าในจออีกนะ”
เสียงของขาเมาท์ทั้งหลายดังเข้าหูพนักงานทั้งสามที่กำลังเดินผ่านพอดี และประโยคของคนต่อมาก็ทำให้ทั้งสามคนต้องหยุดเดินอย่างอัตโนมัติเพื่อรอฟังต่อ
“ฉันได้ยินมาว่า เธอมาหาท่านประธาน”
“หรือว่าเธอจะมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับบริษัทเรา”
“แต่เธอมาคนเดียว ไม่มีผู้จัดการส่วนตัวมาด้วย ฉันว่าเธอน่าจะมาเรื่องอื่นมากกว่า”
“หรือว่าเธอกับท่านประธานจะรู้จักกัน”
“อาจจะไม่ใช่แค่รู้จักธรรมดานะ แต่เธออาจจะเป็นคนรัก หรือไม่ก็คนรู้ใจท่านก็ได้”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงพวกเราก็อกหักนะสิ”
“ใช่… เธอทั้งสวย ทั้งเซ็กซี่ขนาดนั้นใครจะไปสู้ได้กันล่ะ”
สาวๆต่างพูดเสียงเอื่อยด้วยความเสียดาย อกหักกันเป็นแถว รวมทั้งมาริกาที่ได้ยินได้ฟังด้วย
“ยังไม่ทันได้อะไรก็ต้องอกหักแล้วเหรอเนี่ย ยายน้ำผึ้ง”
มาริกาพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ ก่อนที่เสียงของอารยาจะตามมา
“นี่ท่านประธานมีแฟนแล้วเหรอ”
“สวยเซ็กซี่มาก”
เมธีเสริมให้อีกเสียง แต่แล้วก็ต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดปากเมื่อรู้ตัวว่ากำลังพูดในสิ่งที่อาจจะกระทบกระเทือนจิตใจสาวรุ่นพี่ได้ และก็เป็นอย่างที่คิดไว้ เพราะดูเหมือนมาริกาจะซึมหนักเลย
“เจ๊!”
“ว่าไง?”
“สรุปคืนนี้จะไปฉลองวันเกิดให้ฉันหรือเปล่า”
อารยาเปลี่ยนเรื่องคุย ซึ่งเป็นเรื่องที่คุยกันค้างไว้ก่อนหน้านี้ มาริกาจะสะบัดศีรษะแรงๆ ไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกเพื่อดึงสติกลับมาหาคู่สนทนา
“ไปสิ ตีมงานหน้ากากใช่ไหม เดี๋ยวเจอกันที่ร้านเดิม”
“ดีค่ะเจ๊ แล้วเจอกันนะ บาย”
ทั้งสามแยกย้ายกันกลับบ้านหลังเลิกงาน เพื่อจะมาเจอกันอีกทีให้ในคืนนี้
“แล้วทำไมเราต้องรู้สึกเจ็บหน่วงๆที่หัวใจด้วยก็ไม่รู้”
มาริกาบ่นพึมพำด้วยความไม่เข้าใจ ขณะที่ก้มหน้าก้มตาเดินออกจากบริษัทเพื่อไปเรียกแท็กซี่กลับไปยังคอนโด แต่เมื่อมาถึงแล้วพอเงยหน้าขึ้นหมายจะโบกแท็กซี่ มือเล็กก็ต้องชะงักไว้เพียงเท่านั้น เมื่อเห็นรถคันหรูที่เธอเพิ่งจะได้นั่งเมื่อคืนแล่นผ่านหน้าเธอไป
“ท่านประธาน!”
หญิงสาวอุทานเสียงแผ่ว ก่อนจะรีบวิ่งหลบเข้าไปข้างมุมตึกเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นตน แต่แล้วก็ต้องหัวเราะกับตัวเองเบาๆ เพราะดูเหมือนชายหนุ่มแค่ขับรถออกจากบริษัทไป ไม่ได้สนใจเธอเลยด้วยซ้ำ ดีไม่ดีเรื่องเมื่อคืนอาจจะไม่อยู่ในสมองของเขาเลยก็ได้
“แล้วเราทำบ้าอะไรเนี่ย ยายน้ำผึ้ง”
หญิงสาวบ่นตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากที่หลบซ่อน แล้วก็มาเรียกแท็กซี่ตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก ทิ้งความเสียใจความเศร้าสำหรับวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ เพราะตราบใดที่ยังมีลมหายใจชีวิตคนเราต้องเดินต่อไป
………………………………………..