ใช่ค่ะ......ทุกคนคิดไม่ผิดหรอก ฉันแอบรักเพื่อนตัวเอง มันเกิดขึ้นมานานแล้ว มันเริ่มก่อตัวตั้งแต่เรียนปีหนึ่งและอาการฉันชัดเจนในปีสอง ฉันเริ่มอยากอยู่ใกล้ ๆ เพื่อนคนนั้น พออยู่ด้วยกันสองต่อสองใจฉันมันก็สั่น ความจริงเพื่อนฉันมันไม่รู้ตัวหรอก และมันคงไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ ฉันไม่กล้าบอกมันหรือบอกใคร มีแต่น้ำหวานที่เพื่อนผู้หญิงด้วยกันในกลุ่มที่รู้เรื่องของฉันดี ฉันพยายามทำตัวให้ปกติที่สุด กลัวว่าถ้าบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปแล้วถ้าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน มันอาจทำให้เราอึดอัดทั้งคู่ และอาจถึงขั้นเสียเพื่อนได้ ฉันจึงเก็บความรู้สึกของตัวเองใส่กระเป๋าไว้ไม่ให้ใครรู้
“มึงเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมเหม่อ ๆ”
ขุนพลมันคงเห็นฉันนั่งเงียบไปมันเลยถามขึ้นมา มันพยักหน้าและสายตามันมองมาที่ฉันแบบรอคำตอบ มันเป็นคนเดียวที่นั่งใกล้ฉันสุดตอนนี้และคงเห็นว่าตั้งแต่มานั่งกันที่โต๊ะฉันไม่พูดอะไรเลยมันจึงถามขึ้นมา
“เปล่า... กูมีเรื่องที่บ้านให้คิดนิดหน่อย”
ฉันเลยตอบมันไปแบบเอาเรื่องที่บ้านมาอ้าง ฉันไม่ได้โกหกมันนะเพราะทางบ้านฉันก็มีปัญหาอยู่จริง
“มึงมีอะไรเล่าให้กูฟังได้นะโว้ยยย มึงอย่าเก็บไว้คนเดียว เครียดคนเดียวดิวะ มึงยังมีเพื่อน ๆ และกูนะเว้ย” ขุนพลพูดขึ้นและเพื่อน ๆ ที่เหลือก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับมัน
เพื่อนฉันมันก็เป็นแบบนี้ประจำแหละ มันรู้เรื่องและปัญหาของฉันกับบ้านใหญ่ดี และพวกมันก็คอยช่วยเหลือฉันทุกอย่าง รวมถึงอีกคนที่ไม่อยู่ในตอนนี้ก็ด้วย ฉันโชคดีที่มีเพื่อนที่ดี แต่ฉันจะบอกมันได้ยังไงว่าเรื่องที่ทำให้ฉันนั่งเหม่ออยู่เมื่อกี้ไม่เกี่ยวกับที่บ้านเลย แต่มันคือความรู้สึกของฉันเองที่มันไปรู้สึกเกินเพื่อนกับใครบางคนต่างหาก แต่ฉันจะบอกมันออกไปก็คงไม่ได้ ฉันจึงได้แต่หันไปยิ้มให้มันแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
“รู้แล้วน่า มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหม่อะไร ปัญหาเดิม ๆ แหละ อย่าพูดเลยกูเบื่อ ๆ คืนนี้พวกมึงไปกินเหล้ากันไหม”
ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที ไม่อยากรู้สึกกับมันไปมากกว่านี้ มันอุตส่าห์เป็นห่วงคิดว่าฉันเครียดเรื่องทางบ้าน แต่ฉันกลับเครียดเรื่องผู้ชาย ถ้ามันรู้มันคงด่าฉันยับเลยรีบ ๆ เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า
“มีเหรอพวกมันจะพลาด ทำไมมึงจะไปด้วย” ขุนพลตอบและถามกลับอย่างแปลกใจเพราะปกติฉันไม่ค่อยไปกินเหล้ากับพวกมัน
“อือ ฮิ ว่าจะชวนน้ำหวานไป” ฉันพยักหน้ารับและบอกมันออกไป
“จะไปกี่โมงก็บอกเดี๋ยวไปรับ” ขุนพลรับอาสาอย่างง่าย ๆ ตามเคย
“อือ เดี๋ยวกูไลน์ไปบอก”
สักพักน้ำหวานก็เดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับชานนท์ ที่มันคงขี้เกียจทะเลาะกันแล้ว ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยกันกลับมาด้วย
“กูกลับละ เจอกันคืนนี้” ชานนท์เอ่ยขึ้นแล้วเดินกลับไปที่รถ
“เออ กูก็ว่าจะกลับเลยเหมือนกัน โต๊ะเดิมนะ เดี๋ยวกูให้เด็กจองโต๊ะให้” ออสตินหยิบหนังสือไปถือไว้และบอกเพื่อนๆ
“ไอ้ตินรอกูด้วย วันนี้กูไม่ได้เอารถมา กูไปกับมึงด้วยเลยดีกว่าจะได้มีเวลาทำอะไรเยอะ” มาโครลุกขึ้นแล้วยักคิ้วบอกกับเพื่อน
“ไอ้เหี้ย คิดได้แต่เรื่องเดียว” ออสตินหันไปด่าเพื่อน
“ว่ากู!! มึงไม่คิดเรื่องอย่างงั้น” มาโครเลิกคิ้วถามเพื่อนยิ้มๆ
“กูไม่คิดเว้ยย อย่างกูทำอย่างเดียว5555” ออสตินหัวเราะชอบใจในคำตอบของตัวเอง
“ไอ้เหี้ย แล้วมาทำเป็นว่ากู” มาโครด่าเพื่อนกลับไปก่อนที่สองคนนั้นก็เดินออกไปด้วยกัน เหลือแค่ฉัน น้ำหวาน และขุนพล ที่ยังนั่งอยู่ด้วยกัน
“มึงกลับเลยไหม น้ำหวาน” ฉันหันไปถามน้ำหวานที่ตอนนี้นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่
“เออ…กลับเลยดีกว่า จะได้มีเวลาไปแต่งตัว” น้ำหวานเก็บโทรศัพท์
“จร้าาาา แม่เซเล็บจะออกไปไหนทีแต่งตัวเป็นชั่วโมง”
“อ๊ะ!ไม่ได้สิ กูต้องสวยไว้ตลอดเวลา เผื่อกูเจอผู้งานดีจะได้ดีลกันติด5555”
น้ำหวานตอบกลับทันทีแบบเชิดๆ ไม่ใส่ใจเลยที่ฉันเอ่ยออกไปแบบประชดประชัน ฉันจึงพยักหน้าให้กับความมั่นหน้ามั่นโหนกของเพื่อน
“เอาที่แกสบายใจแล้วกัน”
“ปะ มึง กลับ” ฉันหันไปเรียกขุนพลที่กำลังก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ มันพยักหน้าเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปขึ้นรถด้วยกัน
ฉันกลับกับน้ำหวานแต่ไม่ได้กลับเลยหรอก นางพาไปบ้านนางก่อน นางบอกไปเอาเสื้อผ้าของนางก่อน นางบอกเสื้อผ้าของฉันไม่มีแบบแซ่บๆ