ตอนที่2. เขิน

1219 Words
“ก็...” กวินยิ้มเขิน             “กวินอยากได้อะไรหรือจ๊ะ” สาริศาถามพร้อมรอยยิ้ม  เธอรู้ว่ากวินเป็นเด็กดีไม่มีทางที่จะเอาเงินไปทำเรื่องไม่ดีแน่ๆ             “ผมตั้งใจว่าจะเก็บเงินแล้วเดินทางท่องเที่ยวครับ”             “จริงเหรอ จะไปเที่ยวที่ไหนล่ะ” พิชชาถามอย่างตื่นเต้น             “ผมอยากไปประเทศเทซาเนียครับ” กวินพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ผมดูสารคดีท่องเที่ยว ที่นี่เป็นประเทศเปิดใหม่ มีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากเรามาก ผมรู้สึกอยากลองไปเที่ยวต่างประเทศสักครั้งในชีวิตครับ”             น้ำเสียงร่าเริงของกวินทำให้สาริศาฝืนยิ้มออกมา มีแต่พิชชาเท่านั้นที่เข้าใจความรู้สึกของเพื่อนสาว เธอจึงพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย    แต่ก็ดูเหมือนจะสายไปแล้วเพราะแววตาของสาริศาหม่นร้าวเหลือเกิน ถึงเธอจะเป็นเพื่อนรักที่สุดของสาริศา แต่ก็เหมือนว่าสาริศาจะมีบางอย่างปิดบังเธออยู่ เพราะตั้งแต่ที่สาริศาไปท่องเที่ยวที่เทซาเนียเมื่อหลายปีก่อน สาริศาก็ทำเหมือนว่าไม่ต้องการพูดถึงชื่อประเทศนี้อีก             “เอ่อ...อีกสองสามวันพี่ต้องไปทำงานที่ญี่ปุ่น กวินกับแม่อยากได้อะไรไหมคะ”             “แม่ไม่เอาอะไรหรอกลูก แค่ได้เห็นหน้าลูกแม่ก็มีความสุขแล้ว”             “ผมก็ไม่เอาอะไรครับ รองเท้าที่พี่ริต้าซื้อมาให้ก็ยังสภาพดีอยู่เลย”             สาริศาหันมาทางพิชชา “เธอคงเหมือนเดิมใช่ไหมล่ะ”             พิชชาหัวเราะคิกคัก “ถ้าเจอหนังสือภาพสวยๆ ซื้อมาเลยนะ”             “หนังสือจะทับตายอยู่แล้ว ยังอยากได้หนังสืออีก”             “ก็อย่าถามซิว่าฉันอยากได้อะไร”             “ฉันถามแม่กับน้องชายต่างหาก             “ยัยริต้า!”             คุณพรพิมลอดหัวเราะไม่ได้ นอกจากพิชชาแล้วก็ไม่เห็นลูกสาวของตัวเองจะสนิทสนมกับใครเลย หลังจากทานอาหารและยาแล้วนางก็เริ่มจะง่วงนอน สาริศาประคองแม่กลับไปที่ห้องนอน แต่เมื่อเดินออกมากลับเจอหน้าพ่อเลี้ยงที่นั่งที่โต๊ะอาหารอย่างไม่ได้รับเชิญ             “มีของกินดีๆ ไม่คิดจะเรียกกันเลยนะ” คุณอานนท์แสยะยิ้มที่มุมปาก             “ของเหลือบนโต๊ะ ถ้าจะกินก็เชิญตามสบายเลย”             “นังนี่! พูดจาให้มันดีๆ หน่อย ยังไงฉันก็เป็นพ่อเลี้ยงของแกนะ!!”             สาริศากัดฟันกรอดๆ ถ้าไม่เกรงใจแม่ละก็...เธอไม่ยอมให้ใครพูดจาแบบนี้แน่ๆ แต่เธอก็ไม่อยากให้แม่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงเอกับพ่อเลี้ยงทะเลาะกัน สาริศาจึงหันไปหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นคล้องไหล่แล้วหันไปพยักหน้ากับพิชชาที่เตรียมตัวจะกลับตั้งแต่เห็นหน้าคุณอานนท์เข้ามาในบ้านแล้ว             “เฮ้ๆ จะไปก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่เอาเงินไว้ให้ใช้บ้างซิ” คุณอานนท์ตะโกนไล่หลัง “ฉันดูแลแม่แกอยู่นะ”             สาริศาหันขวับไปมองด้วยแววตาวาวโรจน์เล่นเอาอีกฝ่ายไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไร หญิงสาวเดินออกมาด้วยความหงุดหงิดผิดกับตอนเข้าบ้านลิบลับ             อานนท์มองลูกเลี้ยงสาวเดินจากไปพ้นรั้วบ้านแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก เดี๋ยวนี้สาริศาดูแข็งกร้าวกว่าแต่ก่อนมาก ไม่ใช่เด็กหญิงที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตายอมทนให้เขาดุด่าทุบตียังไงก็ได้อีกแล้ว อารมณ์หงุดหงิดจากที่เสียเงินจากบ่อนการพนันทำให้เขาอยากจะโวยวายให้บ้านพัง แต่ไอ้บ้านเท่ารูหนูก็ไม่รู้จะหันไปทำอะไรที่ไหนได้ หันไปเจอเจ้ากวินก็เอาแต่ทำหน้านิ่งเหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา             “เฮ้ย! คนบ้านนี้มันเป็นอะไรกันไปหมดวะ”             อานนท์บ่นแล้วเดินเข้าไปห้องภรรยา แต่เมื่อเห็นนางหลับอยู่เขาก็กระตุกยิ้มที่มุมปากออกมา “ขอกันดีๆ ไม่ให้ก็ต้องค้นกันเสียหน่อย  ดูซิว่าซ่อนเงินไว้ที่ไหนบ้าง”             ชายวัยกลางคนที่กลิ่นตัวคละคลุ้งไปด้วยแอลกอฮอร์เริ่มค้นตามตู้เสื้อผ้า ลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะข้างเตียงนอน และอีกหลายๆ ที่ที่คิดว่าภรรยาจะซุกซ่อนเงินไว้ แต่เขาก็ไม่พบอะไรเลย  นานหลายนาทีต่อมาจนเขานั่งหอบหายใจแรงเพราะความเหนื่อยอ่อน             “โอ๊ยอะไรกันเนี้ย! บ้านนี้มันไม่มีอะไรเลยหรือไงวะ”          อานนท์สบถหยาบคายอีกหลายคำแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนอาบน้ำ พลันสายตาของเขาก็บังเอิญไปเห็นกล่องเล็กๆ ถูกซุกอยู่ระหว่างผ้าคลุมไหล่ของภรรยาของเขา มือหนาหยิบกล่องกำมะหยี่ออกมาเปิดดูแล้วดวงตาของเขาก็วาวโรจน์ด้วยความยินดีกับสิ่งที่เห็น             “คิดเรอะว่าจะซ่อนฉันได้!!”             การจราจรในกรุงเทพฯ แน่นขนัดจนคล้ายเป็นความเคยชินของคนที่ใช้ชีวิตในเมืองหลวงแห่งนี้ รวมทั้งสาริศาและพิชชาด้วย             “ฉันไม่เข้าใจแม่ของเธอเลยจริงๆนะริต้า” พิชชาถอนหายใจ             “ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” สาริศาถอนหายใจหนักๆ แล้วขับรถออกมาจากบ้านของแม่ “แม่ก็คงมีเหตุผลของแม่นั้นแหละ” “เห็นแบบนี้ฉันขออยู่เป็นโสดไปจนตายดีกว่า” พิชชาขยับแว่นสายตาชิดใบหน้าแล้วเหลือบมองเพื่อนสาว “เธอก็เหมือนกัน พักผ่อนบ้างล่ะ อย่าเอาแต่ทำงานเดี๋ยวไม่สบายเอา” “ฉันรู้ตัวเองดี...ไม่มีใครจะดูแลฉันได้ดีเท่าตัวฉันเองหรอกจ๊ะ”  สาริศาฝืนยิ้มออกมา เธอมองถนนที่เต็มไปด้วยรถรามากมาย แต่หัวใจเธอยังคิดถึงถนนเส้นเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมแปลกตาของชาวทะเลทราย บางสิ่งบางอย่างก็เป็นไม่สามารถจะหาเหตุผลมาอธิบายได้เสมอไป. องครักษ์หนุ่มเดินเข้ามาในห้องบรรทมขององค์รัชทายาทแห่งเทซาเนีย ‘เดวิท แอนเดอร์สัน’ ยกข้อมือที่คาดนาฬิกาเรือนเก่าขึ้นดูเวลาที่บอกบ่ายโมงเศษแล้ว             “สายแล้ว เอ่อ...ไม่ใช่ซิ นี่มันบ่ายโมงแล้วนะพะย่ะค่ะ”             “แล้วยังไงล่ะ” ชายหนุ่มวัยสามสิบสองเงยหน้าจากเครื่องไอแพดตรงหน้า แล้วมือใหญ่ก็เลื่อนไปรวบเอกสารที่วางเกลื่อนโต๊ะให้เข้าที่ แต่องครักษ์หนุ่มช่วยเก็บให้ก่อน             “ทรงลืมหรือว่าวันนี้มีราชกิจ” เดวิทเอ่ยแล้วโคลงศีรษะไปมา เขาเป็นชาวอังกฤษที่มีหัวใจภักดีกับเทซาเนียยิ่งกว่าคนเทซาเนียบางคนเสียอีก “อีกอย่าง...ผมไม่คิดว่านี่จะอยู่ในแผนการของพระองค์ด้วย”             ชีควาคิม อับดุลเราะฮ์มาน ทรงอดหัวเราะออกมาไม่ได้   มือใหญ่ยกขึ้นเสยเส้นผมที่ยาวลงปรกหน้า ใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มวัยสามสิบสองปรากฏพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หลายปีที่ต้องใช้ชีวิตเหมือนคนร่อนเร่อยู่ต่างแดน แต่แม้จะจากไปนานสักเท่าไหร่ ความรู้สึกที่ได้อยู่ในแผ่นดินเกิดมันเต็มตื้นในหัวใจและเพราะการเมืองภายในประเทศที่มี ‘คลื่นใต้น้ำ’ ทำให้ต้องทรงปิดบังลักษณะนิสัยตัวเองด้วยการแสร้งทำตัวเป็น ‘เพลย์บอย’ อย่างไม่ตั้งใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD