ตอนที่ 2
ยูซาร็อบ บิน มุสตาฟา เป็นทั้งเพื่อนและบอร์ดี้การ์ดส่วนตัวที่ร่วมเรียนร่วมทำกิจกรรมอะไรมาด้วยกัน แต่ตอนนี้ชายหนุ่มกลับไม่ค่อยพร้อมที่จะเดินทางไปไหนมาไหนกับเขาเพราะสาวน้อยจานียาผู้เป็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากและลูกสาวตัวน้อยวัยสามขวบอย่างเจสมีนา รวมถึงหนุ่มน้อยวัยห้าขวบอย่างโยฮาร์ ที่เฝ้ารอการกลับบ้านของสามีและบิดาด้วยใจจดใจจ่ออยู่ทุกคืนวัน
สิ้นเสียงถามของฮัมดีนเพียงแค่ไม่ถึงห้านาที ชายหนุ่มร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำสองคนก็พาเอากระเป๋าเสื้อสีดำใบใหญ่ของปัณฑารีย์ออกมา
“พร้อมแล้วครับนาย”
“ดี เสร็จแล้วนายก็ไปจัดการเรื่องเอกสารให้เรียบร้อยนะยูซาร็อบ”
ฮัมดีนสั่งความพลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบเอาผ้าเช็ดหน้ามาอุดปากอิ่ม จากนั้นก็ยื่นมือไปรับเชือกเส้นเล็กนำมามัดข้อเท้าและข้อมือของปัณฑารีย์
ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็วโดยที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัวหรือถอยหนี เขาช้อนร่างเล็กบางขึ้นบ่าและเดินออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็วเหมือนกับตอนที่มา
“อื้อ...อื้อ...” ปัณฑารีย์พยายามที่จะเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แต่นอกจากคิดอะไรไม่ออกแล้ว เธอก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย คงได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม กายเล็กสั่นและเย็นเฉียบด้วยความกลัว
ไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้ทำอะไรอยู่กันแน่ จับเธอไปเรียกค่าไถ่...ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเธอไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลย จะพาไปขาย ก็ไม่น่าจะได้เงิน เพราะเธอไม่ใช่คนสวย
ปัณฑารีย์ผงกศีรษะขึ้น เมื่อคนที่เอาเธอพาดบ่าอยู่หยุดเดิน ทันได้เห็นรถตู้สีดำคันใหญ่ที่จอดอยู่โดยที่เครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่ ใกล้ๆ กันยังมีชายร่างสูงใหญ่ ใบหน้ารกครึ้มด้วยหนวดและเคราอีกสองคนยืนสงบนิ่งอยู่ ทำราวกับเป็นเพียงแค่หุ่นยนต์ตัวหนึ่งหาใช่คนมีชีวิตจิตใจ
ฮัมดีนวางปัณฑารีย์ลงพื้น แล้วดันหญิงสาวให้ขึ้นไปบนรถ เขาจะตามขึ้นไปพร้อมกับลูกน้อง
เพียงรถปิดประตูลง...ใจปัณฑารีย์ก็หล่นหายพร้อมกับสติ
จนถึงตอนนี้ปัณฑารีย์ก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ สามวันแล้วหลังจากถูกจับตัวมาจากบ้าน มาวันนี้เธอก็มาอยู่ในโรงแรมชื่อดังในประเทศอิหร่าน พรุ่งนี้ต้องเดินทางไปยังแคว้นซาคูอัลเจียตั้งแต่เช้ามืด แคว้นที่เธอเคยอ่านพบในสมุดบันทึกของแม่ว่าเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของพ่อ
ปัณฑารีย์จำได้ว่า ตอนอ่านสมุดบันทึกของแม่ เธอดีใจมากเมื่อรู้ว่าพ่อยังมีชีวิตอยู่
พ่อเธอชื่ออิมรอน ซุนนะ อิบรอมาน เป็นพระญาติสนิทของผู้ครองแคว้นซาคูอัลเจีย เป็นผู้ชายที่สามารถมีภรรยาได้ถึงสี่คน แต่ละคนก็มีฐานะเท่าเทียมกัน
แม่ได้รับการต้อนรับในฐานะภรรยาคนที่สองของพ่อ ตอนแรกก็มีความสุขกันดี ทว่าทุกอย่างก็เป็นอันจบลง เมื่อพ่อได้เจอกับสาวสวยคนใหม่ ที่พร้อมจะเอาใจใส่ดูแลพ่อด้วยชั้นเชิงอันเหนือกว่า ถึงแม่จะน้อยใจ แต่ก็เข้าใจถึงประเพณีของที่นั่นและทำใจให้ยอมรับ แต่ความอดทนของแม่ก็ขาดลงเมื่อพ่อขาดความเอาใจใส่ นานวันยิ่งห่างเหิน แล้วเมื่อพ่อบอกว่าจะมีเมียอีกคน...
แม่คงจะไม่เจ็บปวดมากนัก ถ้าเมียคนสุดท้ายของพ่อจะไม่ใช่เด็กสาวอายุเพียงแค่สิบห้าสิบหก แต่ต้องกลายมาเป็นภรรยาชายวัยคราวพ่อ
น้ำตาปัณฑารีย์ไหลอาบแก้ม อดน้อยใจแทนแม่ไม่ได้ ยิ่งเมื่อแม่พาเธอจากมา พ่อไม่ติดตามหา ปล่อยเวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้เธอสามารถอยู่ได้โดยที่ไม่โหยหาอ้อมกอดของพ่อ อยู่ได้ด้วยตัวเองมาเกือบจะสองปีนับตั้งแต่ที่แม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ตอนนี้พ่อกลับต้องการเธอ...
อยากจะหัวเราะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือน้ำตา
ปัณฑารีย์ก็ไม่เข้าใจว่าพ่อต้องการอะไรจากลูกสาวผู้ห่างไกลอย่างเธอ ถึงได้ให้ผู้ชายพวกนั้นมาจับพาตัวไป ถ้าจะคิดในอีกมุมหนึ่ง คนพวกนี้อาจไม่ใช่คนที่พ่อส่งมาเอาตัวเธอไปก็ได้ เพราะถ้าเป็นคนของพ่อ คงจะไม่ใช่กำลังบังคับข่มขู่แบบนี้ แค่บอกกล่าวกันก็พร้อมที่จะเข้าใจ
พอคิดแบบนั้น ปัณฑารีย์ก็เริ่มหวาดกลัวจนตัวสั่น เธอรีบถอยหนีเดินเข้าห้องก็พอดีกับที่ระเบียงซึ่งเธอยืนอยู่ สามารถมองเห็นและได้ยินชายหนุ่มสองคนจากห้องใกล้ๆ คุยกันชัดเจนเต็มสองหู
“นายแจ้งท่านอิมรอนเรื่องที่เราจะพาลูกสาวของท่าน ไปส่งให้ท่านพ่อของเราที่แคว้นซาไบนาซัสเรียบร้อยแล้วใช่ไหมยูซาร็อบ”
“ครับนาย”
“ท่านอิบรอนว่ายังไงบ้าง”
“ไม่นะครับ ไม่เห็นจะพูดอะไร นอกจากชมว่าดีเพียงอย่างเดียว”
“ก็จะไม่ให้ชมได้ไงละยูซาร็อบ” ฮัมดีนตวัดสายตาไปยังอีกมุมหนึ่งของห้องพักที่อยู่ติดกัน แล้วยิ้มที่ตรงมุมปากตามความเคยชิน ดวงตาพราวระยับด้วยความชอบใจ
“ก็ยายนั่นเป็นของบรรณาการของพ่อฉันนี่น่า ไม่รู้จะอะไรหนักหนา ผู้หญิงเพียงคนเดียว กลับต้องให้ฉันเดินทางมาพาตัวไป” ฮัมดีนตวัดสายตาไปทางที่หญิงสาวร่างเล็กบางที่ยืนแอบอยู่ไม่ไกล แล้วก็ซ่อนยิ้มในใบหน้า เขาเก็บกดกับเรื่องนี้มาตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้ข่าวว่าพ่อจะมีผู้หญิงอีกคนมาร่วมบ้านแล้ว
“ท่านอิบรอนคงจะคิดว่าถ้าให้ลูกสาวเป็นเมียพ่อฉัน ตัวเองจะได้มีอำนาจเหนือสองแคว้น ต้องการสิ่งใดก็จะได้ทุกอย่าง เลยยอมขายลูกสาวของตัวเองให้กับผู้ชายแก่คราวพ่อ”
ปัณฑารีย์เข่าอ่อนยวบ กายบางทรุดลงกองกับพื้นด้วยหมดเรี่ยวแรงที่จะยืน น้ำตาไหลอาบสองแก้ม ในที่สุดเธอก็ได้รู้ ทำไมพ่อถึงให้คนพวกนี้มาเอาตัวเธอไป ไม่ใช่เพราะรัก ไม่ใช่เพราะคิดถึง ไม่ใช่เพราะห่วงใย แต่เป็นเพราะผลประโยชน์อันมหาศาลที่จะได้รับ
เสียงคุยจากห้องข้างๆ เงียบไปแล้ว แต่ปัณฑารีย์ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น จนแสงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนคล้อยลาลับทิวไม้ใหญ่ เธอถึงได้รู้สึกตัวว่าได้ปล่อยให้ความเศร้า เสียใจและเจ็บปวดในสิ่งที่ได้รู้เกาะกินหัวใจ
ปัณฑารีย์ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ยันตัวลุกจากพื้นที่นั่งอยู่ ในขณะที่สมองก็พยายามครุ่นคิดหาทางออกจากเรื่องที่ได้รับรู้มา แต่ความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจก็ดึงรั้งให้เธอไม่กล้าที่จะทำอะไร เพราะกลัวพายุอารมณ์ของผู้ชายที่ชื่อ...ฮัมดีน อิลลา ซยานีน
เพียงแค่คิดว่าจะต่อกรก็เริ่มมีก็ลดลงจนแทบไม่มีเหลือยิ่งถูกชายหนุ่มทำตาดุใส่ ใช้กำลังเล็กน้อย เธอก็หวาดผวาแล้ว แต่ที่ทำให้ตกใจจนตัวสั่นก็น้ำเสียงที่ทั้งดุและแข็งกร้าวที่พูดกรอกหูอยู่ทุกคืนก่อนนอน ว่าจะปล่อยเธอทิ้งไว้ในทะเลทรายเพียงลำพังนั่นแหละ
แต่สิ่งที่ได้ยินในวันนี้ ไม่ต้องให้เขาปล่อยเธออยู่กลางทะเลทรายหรอก เพราะตอนนี้ก็เท่ากับเธอยืนอยู่ปากเหวลึก ที่พร้อมจะตกลงไปทุกวินาที
“เป็นไงปั้นหยา ได้ยินแล้วรู้สึกยังไงบ้าง เจ็บไหม”
ปัณฑารีย์ผงะ ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะรู้ว่าเธอแอบฟังเรื่องที่เขาและลูกน้องพูดกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น...ฮัมดีนอาจจะไม่พูดความจริงก็ได้นะสิ เขาอาจจะแกล้งหาเรื่องเธอก็ได้นี่น่า แกล้งเหมือนกับที่แกล้งมาทุกวัน
ตอนเช้าปลุกเธอจากที่นอนพาตะเลงๆ ไปไหนมาไหนด้วย ตกเที่ยงก็บังคับให้ทานอะไรต่ออะไรก็ไม่รู้ที่เธอไม่คุ้นเคย กินไปก็เกือบจะอาเจียนไปก็หลายรอบ พอตกเย็นแทนที่จะได้พักผ่อน ยังบังคับให้เธอเรียนเต้นอะไรก็ไม่รู้ ส่ายเอวส่ายสะโพกกระยึกกระยือจนเอวเธอแทบจะหักออกเป็นสองท่อน