คนดีที่เจ็บ (100%)

1852 Words
มีครั้งหนึ่งที่รถของเธอเสียกลางทางท่ามกลางสายฝนยังเป็นเขาเลยที่โผล่มาช่วย และพาไปส่งที่บ้าน ตบท้ายด้วยการบังคับให้เธอทำอาหารค่ำให้ทานเป็นการตอบแทน มิหนำซ้ำไล่ยังไงก็ไม่กลับ บอกว่าของีบเอาแรงสักพักแล้วจะไป ที่ไหนได้สุดท้ายเขาก็นอนที่เรือนหลังเล็กของเธอยันเช้า   หลังจากนั้นมหรรณพก็ไปหาคณิสราที่โรงพยาบาลบ่อยขึ้น แต่ทุกครั้งเขาจะแวะไปหาเธอก่อน เหมือนลำดับความสำคัญในชีวิตผิดพลาดไปอย่างไรชอบกล การทำตัวแปลกๆ ของเขาทำเอาบุคลากรทั้งโรงพยาบาลต่างพากันเข้าใจผิด คิดว่าเธอจะไปแย่งแฟนของคุณหมอสาวผู้ใจบุญ กระทั่งคณิสรามาอาละวาด ด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย หากแต่ปานระพีก็ไม่เคยคิดที่จะโต้ตอบ เธอยังคงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และภาวนาให้การชดใช้ทุนจบสิ้นลงด้วยดี ทว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรามือง่ายๆ ยังพยายามจิกกัดเธออยู่บ่อยครั้ง แต่ปานระพีก็ไม่เคยถือสา เธอถือคติที่ว่าเอาความนิ่งเข้าสยบ และมันก็ได้ผล หลังๆ มาคณิสราเลิกระรานไปเองเพราะคับข้องใจที่ทำอะไรเธอไม่ได้  ย่างเข้าปีที่สี่ ในช่วงที่เธอกำลังเริ่มเรียนต่อเฉพาะทาง ลูกชายคนโตของคุณย่าอย่างคุณอานนท์ ก็พาภรรยากลับมาอยู่ที่บ้าน หลังจากผลาญสมบัติจนแทบล้มละลาย แล้วหนีไปซบอกญาติฝั่งพ่อที่เป็นมาเฟียขาใหญ่ พอคุณหญิงแม้นมาศเอ่ยตำหนิรุนแรงก็ถึงขั้นประกาศว่าจะไม่กลับมาเหยียบที่บ้านอีก พร้อมทั้งลั่นวาจาว่าจะย้ายไปอยู่อเมริกา และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสมบัติของตระกูลพงศ์วิริยะสกุล ที่เขาทำมันย่อยยับจนไม่เหลือชิ้นดี หากมหรรณพไม่เข้ามาช่วยพยุงเอาไว้ แต่สุดท้ายอานนท์ก็ต้องพับความฝันที่จะไปใช้ชีวิตหรูหราที่อเมริกา ไม่นานก็ซมซานกลับมา เพราะประจักษ์แก่ใจว่าญาติของพ่อไม่ได้ดีเหมือนพ่อบังเกิดเกล้า คนที่มีศักดิ์เป็นลุงเข้ามาขอขมาคุณย่า ซึ่งคนแก่ก็ทำเป็นหมางเมิน แทบไม่มองหน้าในช่วงแรกๆ แต่นานวันเข้าก็ชักใจอ่อน ที่สุดก็ยอมให้อภัยลูกชาย กระทั่งอานนท์หันมาเอาดีทางการเมือง ลงชิงตำแหน่งใหญ่ๆ และได้เป็นประหลัดกระทรวงยุติธรรมในที่สุด  ไม่นานเสียงหัวเราะก็กลับมาสู่บ้านพงศ์วิริยะสกุลอีกครั้ง นั่นก็เพราะว่าอานนท์และภรรยาได้รับอุปการะเด็กกำพร้าอย่างนลินนิภา ด้วยความที่ไม่เคยมีเด็กในบ้าน แถมยังเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก บ้านจึงดูสดใสและมีชีวิตชีวาขึ้น แม้กระทั่งมหรรณพที่นานๆ ครั้งจะแวะเวียนมาเยี่ยมคุณยายที่เริ่มป่วยออดๆ แอดๆ ด้วยโรคชรา หลังๆ ยังมาทานข้าวเย็นที่บ้านอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งปานระพีจะเลี่ยงทุกครั้งหากรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะมา แต่ก็ไม่อยากจะเชื่อว่าทั้งคู่จะได้เจอกันแทบทุกครั้ง เหมือนว่าอีกฝ่ายล่วงรู้ตารางชีวิตของเธออย่างไรชอบกล   หากแต่หลังจากนั้น ในช่วงที่เธอกำลังจะเรียนต่อ Fellow ก็ปรากฏว่าอานนท์ถูกปลดลงจากตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรมแบบสายฟ้าฟาด ด้วยถูกจับได้ว่าทุจริตมีความผิดมหันต์ เมื่อทนความอับอาย และไม่อาจเชิดหน้าอยู่ในสังคมได้ไหว อานนท์ก็คิดจะหอบลูกเมียหนีไปอยู่ฮ่องกง นัยว่าจะไปอยู่กับญาติฝั่งภรรยาซึ่งไปเปิดกิจการอยู่ที่โน่น ทั้งที่คุณย่าเคยเล่าให้ฟังว่าลูกชายของท่านหัวสูงอยากไปใช้ชีวิตหรูหราที่อเมริกา แต่ที่เบนหัวเรือไปแบบนั้นก็เพราะเงินถุงเงินถังของภรรยาหนา หากได้ญาติฝั่งนั้นเกื้อหนุนก็คงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปทั้งชาติ  ที่สุดอานนท์ก็ย้ายไปอยู่ฮ่องกง โดยที่ลูกสาวอย่างนลินนิภายืนกรานว่าจะอยู่เมืองไทย ฉะนั้นสาวน้อยจึงตกอยู่ในความดูแลของเธอและคุณย่า แต่ช่วงนั้นปานระพีกำลังยุ่งเรื่องการศึกษาต่อ ทำให้แทบไม่มีเวลาดูแลนลินนิภา ฉะนั้นหน้าที่ดูแลสาวน้อยที่กำลังย่างเข้าสู่วัยหัวเลี้ยวหัวต่อจึงตกเป็นของคุณย่า มีบ้างที่เธอจะโทรถามสารทุกข์สุกดิบหลานสาว หรือไม่ก็ชวนอีกฝ่ายออกไปทานข้าวในช่วงวันหยุด   ซึ่งระยะหลังๆ ปานระพีก็ต้องเลิกทำอย่างนั้น เนื่องจากว่าทุกครั้งที่ชวนนลินนิภาไปไหนมาไหน สาวน้อยตัวแสบก็มักจะมีมหรรณพพ่วงมาด้วยอย่างน่าแปลกใจ ทั้งที่เขารู้อยู่เต็มอกว่านลินนิภานัดกับเธอแท้ๆ แต่ก็ยังจะมา ทั้งที่เขาเคยประกาศว่าให้อยู่ห่างๆ เขาไว้ แต่เขากลับเหมือนค่อยๆ ขยับเข้าหาเธอเสียเอง แถมทุกครั้งยังมองเธอแปลกๆ แววตาเย็นชาทว่าคล้ายมีอะไรซ่อนอยู่คู่นั้นมันเหมือนกับนักล่าที่รอเวลาขย้ำเหยื่ออย่างไรชอบกล ยังจำได้ไม่เคยลืมว่ามหรรณพและเธอเจอกันครั้งล่าสุดยังไง และเขาพูดอะไรกับเธอบ้าง   ‘เมื่อไหร่จะเรียนจบสักที’  คำว่า ‘สักที’ ทำให้คนฟังรู้สึกสะดุดหู ถ้าตีความหมายไม่ผิด มันน่าจะสื่อไปในทางว่าคนถามกำลังเฝ้ารอให้ถึงวันนั้นอย่างใจจดใจจ่ออะไรประมาณนั้นไม่ใช่หรือ หากแต่ก่อนที่หัวใจจะแกว่งปานระพีก็คิดได้เสียก่อน ว่ามหรรณพไปอยู่เมืองนอกเมืองนานานคงไม่แตกฉานในภาษาไทย หรือไม่เธอก็คงตีความหมายผิดเพี้ยนไปเอง  ที่จริงเขาน่าจะหมายความว่าทนรอให้ครบกำหนดหย่าไม่ไหวมากกว่า  ‘ว่าไง? ถามทำไมไม่ตอบ’ วาจาชวนหาเรื่องทำให้เธอตัวเกร็ง  ‘เอ่อ…แพรนึกว่าคุณหวงถามนนนี่น่ะค่ะ ก็เลยไม่ได้ตอบ’ ปานระพีอ้อมแอ้มโกหก ขณะก้มหน้าก้มตาตักอาหารตรงหน้ายัดใส่ปากทั้งที่ลิ้นไม่รับรู้รสชาติอะไรเลย   ‘มัวแต่ก้มหน้า จนไม่รู้ว่ายัยตัวแสบนั่นไปถึงไหนแล้ว’   วาจาที่ได้รับฟังทำให้ปานระพีเงยหน้าขึ้น หันซ้ายแลขวามองหาหลานสาว ก่อนจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อเห็นนลินนิภาโบกมือไหวๆ เป็นเชิงลาอยู่ไกลๆ  ‘งั้นแพรกลับก่อนนะคะ’ ว่าพลางทำท่าจะลุกขึ้น หากแต่เขาเอ่ยห้ามเอาไว้เสียก่อน   ‘เดี๋ยวสิ! จะรีบไปไหน เพิ่งเจอกันแท้ๆ’   ก็แล้วทำไมเขาต้องมาทำเหมือนอยากจะอยู่กับเธอนานๆ ด้วยเล่า ถึงเขาจะรู้ว่าเธอรักไม่เคยเสื่อมคลาย แถมยังตัดใจไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ควรมาล้อเล่นกับหัวใจเธอแบบนี้ ไอ้คนนิสัยไม่ดี!  ‘แพรมีธุระค่ะ’  ปานระพีอ้อมแอ้มโกหก หากแต่เขากลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ แล้วเอ่ยออกมาอย่างหน้าตาเฉย   ‘กินยังไง ถึงเลอะเป็นเด็กๆ ไปได้’   เสียงห้าวทุ้มเอ่ยคล้ายตำหนิ ทว่ามุมปากกลับยกขึ้น แล้วก็ทำให้เธอแทบหยุดหายใจด้วยการยื่นปลายนิ้วมาเช็ดซอสที่ติดอยู่ตรงมุมปากอิ่มให้ ก่อนจะใช้ลิ้นตัวเองเลียนิ้วนั้นอย่างอ้อยอิ่ง ขณะที่นัยน์ตาคมปลาบก็จ้องหน้าแดงซ่านของเธอนิ่งๆ แล้วเอ่ยหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น   ‘อืม…หวานใช้ได้’ ซอสเนี่ยนะหวาน?   บ้าไปแล้ว!   จากนั้นมหรรณพก็ทำท่าจะยื่นปลายนิ้วโป้งมาเช็ดมุมปากอีกข้างให้ ทำเอาปานระพีผงะหน้าตื่น ลนลานยกมือขึ้นเช็ดปากตัวเองลวกๆ ขณะละล่ำละลักออกมา  ‘มะ…ไม่ต้องคะ แพรเช็ดเองได้’   ‘หวงจริง’  เขาเอ่ยอย่างยิ้มๆ แถมยังเป็นการยิ้มให้เธอครั้งแรก ถึงแม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะโคตรถือดีอยู่ในที แต่กลับทำเอาเธอตาพร่า ใจสั่น ใบหน้าแดงซ่าน   คนบ้า! เขาล้อเล่นกับหัวใจเธอมากไปแล้ว   ‘คุณหวงปล่อยแพรไปเถอะนะคะ แพรมีธุระจริงๆ’   เธอเว้าวอนเสียงสะท้านเพราะหวาดหวั่น อีกทั้งทำตัวไม่ถูกกับท่าทีอ่อนโยน และการยั่วเย้าที่เขาแสดงออก ก่อนจะตัวแข็งทื่อเมื่ออยู่ๆ คนเย็นชาหน้าตายที่นั่งอยู่ในฝั่งตรงข้ามก็วางมือลงบนศีรษะน้อย และโยกเบาๆ  ‘ผัวแค่จะคุยด้วย ทำไมต้องทำท่าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้น’   วาจาที่หลุดออกมาจากปากหยักทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง  นี่เขาจะมาไม้ไหนกันแน่! แค่นี้เธอก็ตั้งรับแทบไม่ทันแล้ว  ‘คุณหวงอย่าพูดแบบนั้นอีกนะคะ’ ‘แบบนั้นน่ะ…มันแบบไหน’ คนหน้าตายเล่นลิ้นจนน่าหมั่นไส้   ‘ก็พูดคำว่า…’   ‘ผัว’  เขาชิงต่อให้อย่างหน้าตาเฉย  ‘เอ่อ…คำนั้นแหละค่ะ อย่าพูดอีกนะคะ ถ้าหมอควีนมาได้ยินเข้าคงไม่ดีแน่’   ‘ทำไม กลัวเขามาฉีกอกเธอ หรือกลัวใจตัวเอง’   ‘กลัวเขามาฉีกอกแพรค่ะ’ ‘จริงน่ะ’ ‘ค่ะ’ เธออุบอิบขณะก้มหน้างุด  ‘พูดกับผัวก็เงยหน้าหน่อยสิ’  คนที่ปานระพีเพิ่งปรามว่าไม่ให้พูดคำว่า ‘ผัว’ ยังมีหน้ามาเลิกคิ้วท้าทาย ในจังหวะที่เธอเผลอถลึงตาใส่ ‘คุณหวงมีอะไรก็รีบว่ามาเถอะค่ะ’ ‘อีกกี่ปีถึงจะเรียนจบ’ ‘อีกสองปีค่ะ’ ‘เรียนเท่านี้ไม่ได้เหรอ’ โอยยยย…ทำไมเขาต้องมาทำเหมือนอ้อนด้วยเล่า  เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่ตีความหมายการกระทำของเขาไปในทางที่ชวนให้ใจสั่น ‘แพรตั้งใจว่าจะเรียนจนจบหลักสูตรตามที่กำหนด แต่ถ้าคุณหวงทนไม่ไหวอยากจะหย่าก่อน เดี๋ยวแพรจะไปพูดกับคุณย่าให้ เราจะได้หย่ากันให้จบๆ เสียที’  ‘ฉันตกลงกับคุณยายว่าจะรอจนเธอเรียนจบก็ต้องรักษาคำพูด เดี๋ยวเธอจะหาว่าฉันไม่เป็นลูกผู้ชายอีก’  วาจาคล้ายสัพยอกทำให้ใบหน้างามร้อนวาบอย่างช่วยไม่ได้   ‘แพรไม่ว่าหรอกค่ะ เดี๋ยวแพรจะหาโอกาสเหมาะๆ คุยกับคุณย่าให้ คุณหวงรออีกหน่อยก็แล้วกันนะคะ รับรองว่าไม่นานหรอกค่ะ’ หญิงสาวเอ่ยอย่างซื่อๆ   ‘ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าพูดปานระพี! ไม่งั้นเธอได้เรียนไม่จบแน่!’ อยู่ๆ เขาก็โพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วนจัด อารมณ์เสียชนิดพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ นัยน์ตาคมกล้ามองเธอเหมือนคาดโทษอย่างน่าประหลาด แถมยังจ้องนิ่งนานชวนเสียวสันหลังวาบ จากนั้นก็ลากร่างอวบอิ่มออกจากร้านอาหารไปยัดใส่รถคันหรู แล้วบังคับไปส่งเธอที่คอนโด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD