บทนำ
หลังจากหลบลี้หนีหน้าไปกว่าสามเดือน วันนี้ปานระพีก็ได้กลับมาเหยียบบ้านที่เธอใช้ซุกหัวนอนมาหลายปี ในสภาพที่ยังคงมองไม่เห็น แต่มาถึงที่นี่ได้เพราะได้รับการช่วยเหลือจากปิยฉัตรและสามีของอีกฝ่าย ที่มาวันนี้ไม่ใช่ว่าจะกลับมาอยู่ หากแต่เธอกลับมาสะสางบางเรื่องแบบไม่ให้ใครรู้ เพื่อที่จะจากไปอย่างเงียบๆ
คล้อยหลังปิยฉัตรที่ประคองเธอขึ้นมายังห้องหนังสือบนชั้นสองของเรือนไม้หลังเล็ก ร่างที่เคยอวบอัดแต่มาบัดนี้กลับผ่ายผอมก็ค่อยๆ คลำทางไปตามชั้นวางหนังสือที่ทำจากไม้ขัดเงาซึ่งมีระดับสูงท่วมหัว ขณะนับในใจว่าไปถึงช่องไหนแล้ว ก่อนจะหยุดลงตรงช่องที่เก้า ยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ถอนหายใจหนักๆ แล้วเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มหนา ที่ต้องควานหาขนาดนั้นเพราะเธอซุกซ่อนบางอย่างเอาไว้ข้างในหนังสือเล่มนั้น
แอ๊ด!!!
เสียงแง้มประตูทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์สะดุ้งเล็กน้อย คุณหมอสาวที่มิอาจรักษาใครได้อีกกะพริบตา อย่างเรียกสติ ก่อนจะเปล่งน้ำเสียงแผ่วเบาออกมา
“มาแล้วเหรอคะคุณยุทธนา”
ครั้นเอ่ยออกไปแล้วอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ว่ากระไรคิ้วเรียวเหนือนัยน์ตาโศกก็ขมวดเล็กน้อย เงี่ยหูฟังจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ก้าวมาหยุดลงตรงหน้า ท่ามกลางชั้นหนังสือสองข้างขนาบกัน
“เอ่อ…หมอปี่คงบอกแล้วใช่ไหมคะ ว่าฉันอยากขอให้คุณช่วยส่งใบหย่าไปให้สามีฉัน”
พอเอ่ยออกไปอีกหนึ่งคำรบแล้วอีกฝ่ายก็ยังนิ่งเงียบ ทำให้คนที่มองไม่เห็นนึกกระวนกระวายใจ ทันใดนั้นเธอก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วเขาก็ผวาตามมาคว้าข้อมือเรียว เพราะกลัวว่าเธอจะเสียหลักจนได้รับบาดเจ็บ
“ตาของคุณบอดเหรอ!?”
น้ำเสียงติดจะสะท้านทำให้ปานระพีทำหน้าฉงน ขณะบิดข้อมือของตัวเองออกจากอุ้งมืออุ่นอย่างละมุนละม่อม เสียงของคนที่ยังไม่เคยได้เจอหน้าค่าตา ไม่รู้จัก และเพิ่งได้พบปะเป็นครั้งแรก ช่างคุ้นหูอย่างน่าประหลาด แต่เธอคงหูฝาด หรือไม่ก็ฟังผิดเพี้ยน ซึ่งเป็นผลพวงมาจากหูชั้นกลางอักเสบ อันเนื่องมาจากการเป็นไข้หวัดและติดเชื้อเมื่อสองอาทิตย์ก่อน อาการลุกลามจนเกือบจะเป็นหูน้ำหนวก ดีหน่อยที่ไปหาหมอได้ทันท่วงที แต่ก็ทำให้เธอมีปัญหาในเรื่องการได้ยิน คือหูอื้อเหมือนคนเป็นหวัดตลอดเวลา ถึงแม้จะไปรักษากับหมอเฉพาะทาง แต่ก็ยังไม่หายเป็นปกติ การได้ยินของเธอยังคงบกพร่อง ฟังขาดๆ หายๆ และผิดเพี้ยนจนน่าหงุดหงิด คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ
คิดได้ดังนั้นปานระพีก็ฝืนยิ้ม แล้วเอ่ยตอบเสียงผาดแผ่วชวนเวทนา
“ค่ะ ตาของฉันบอดสนิททั้งสองข้าง ฉันทำเรื่องขอรับบริจาคดวงตาจากสภากาชาดไทยไว้แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไหร่ เพราะมีคนบริจาคดวงตาน้อยมาก บางรายต้องรอคิวสามถึงสี่ปี”
ท้ายประโยคเธอเอ่ยอย่างเศร้าๆ แล้วยื่นกระดาษในมือส่งให้อีกฝ่าย ทว่าเขากลับไม่รับมันไป แล้วเธอก็เดาเอาแบบส่งๆ ว่าอีกฝ่ายคงอึ้งเพราะอาจเห็นข้อความตรงหัวกระดาษเข้า
“คุณคงสงสัยใช่ไหมคะ ว่าคนตาบอดเซ็นใบหย่าได้ยังไง” เธอเปรยเรียบเรื่อย แล้วเอ่ยต่อ “ที่จริงฉันเซ็นมันไว้นานแล้วค่ะ เซ็นตามคำสั่งของสามี แต่ใจไม่กล้าพอที่จะไปจากเขา ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขารังเกียจ เขาไม่ต้องการเมียที่ได้มาเพราะการคลุมถุงชนของผู้ใหญ่ แต่ในที่สุดฉันก็กล้าแล้วค่ะ”
เอ่ยมาถึงจุดนี้ปานระพีก็น้ำตาไหลพราก เม้มปากสั่นระริกกลั้นก้อนสะอื้น ชั่วอึดใจถึงได้เอ่ยต่อ
“ตาที่บอดทำให้ฉันมีความกล้า เพราะชั่งใจแล้วว่าไม่มีผู้ชายคนไหนอยากได้เมียตาบอดไว้เป็นภาระ อีกอย่างก็ได้ยินข่าวด้วยแหละ ว่าเขากำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่เขารัก ฉะนั้นคนที่เขาเกลียดเข้าไส้อย่างฉันก็ควรจะไปตามทางของตัวเองเสียที หากไม่มีฉันแล้วชีวิตเขาคงมีความสุข”
“…”
“คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอคะ หรือว่านึกสงสารผู้หญิงอาภัพอย่างฉัน”
“…”
ครั้นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบเธอก็เอ่ยต่อ
“อย่าสงสาร เวทนา หรือรู้สึกอะไร กับสภาพตาบอดของฉันเลยค่ะ เพราะถึงแม้ว่ามันจะเป็นอุปสรรคกับการใช้ชีวิตอย่างใหญ่หลวง แม้ว่ามันจะยังไม่ชิน อึดอัด และหงุดหงิดที่มองอะไรไม่เห็นดังเดิม แต่ฉันก็เชื่อว่าสักวันตัวเองจะเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้อย่างไม่เป็นทุกข์ และก็อาจจะถึงสุขทั้งที่อยู่ในโลกมืด”
“คุณจะให้ผมไปส่งที่ไหน”
อยู่ๆ อีกฝ่ายก็เอ่ยตัดบทเสียดื้อๆ ซึ่งเธอก็เดาเอาว่าเขาคงเบื่อที่จะเสวนากับคนตาบอด ก็แหงล่ะ ตั้งแต่เจอหน้ากันเธอก็เหมือนคนบ้าเพราะพูดอยู่ฝ่ายเดียว นานๆ ทีเขาถึงจะตอบโต้คืนบ้าง
“สนามบินสุวรรณภูมิค่ะ”
“คุณกำลังจะไปต่างประเทศงั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ฉันบินไฟล์ทหนึ่งทุ่ม แต่คุณไปส่งฉันตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้ค่ะ เผื่อว่าคุณมีธุระต้องไปทำต่อ”
หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยท่าทีเกรงใจ ก่อนจะผวาเฮือก เมื่อมือของอีกฝ่ายแตะลงตรงหัวไหล่ แล้วโอบประคองพาเดินออกมาจากซอกของชั้นหนังสือสูงท่วมหัว
“คุณจะไปประเทศไหน”
ชายหนุ่มเอ่ยคล้ายชวนคุย ขณะพาเธอเดินออกมาจากห้องหนังสือ เสียงปิดประตูแผ่วเบาทำให้ปานระพีแน่ใจว่าตัวเองพ้นจากห้องหนังสือแล้วจริงๆ
“อเมริกาค่ะ ฉันทำเรื่องและส่งใบสมัครขอรับสุนัขนำทางไว้” ปานระพีเอ่ยตอบและบอกจุดประสงค์สั้นๆ แล้วก็ต้องหลุดอุทานออกมา เมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายก็ช้อนร่างของเธอขึ้นอุ้มเสียดื้อๆ
“เอ่อ…ปล่อยฉันลงเถอะค่ะ ฉันแค่อยากขอให้คุณช่วยเอาใบหย่าไปให้สามีฉัน แต่ไม่อยากจะเป็นภาระของคุณ เพราะแค่ข้อร้องให้หมอปี่ไหว้วานให้คุณช่วยเป็นธุระให้ก็เกรงใจจะแย่”
“ฮื่อ…อย่าเกรงใจไปเลยน่า ต่อไปนี้ผมจะคอยเป็นดวงตาให้คุณเอง”
“คุณจะเป็นดวงตาให้ฉัน?”
“ช่ายยยย…”
“คะ…คุณ ไม่ใช่คุณยุทธนา!”
คราวนี้คนที่ตกอยู่ในโลกมืดเอ่ยเสียงสะท้าน ตัวสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น และเสียงหัวเราะกลั้วลำคอที่ดังแว่วเข้าหูนั้นก็ทำให้เธอตัวแข็งทื่อ
“นั่นก็ใช่อีกแหละทูนหัว”
“แล้วคุณเป็นใคร?”
“ผม…มหรรณพ นิธิธาดา สามีของคุณยังไงล่ะ”
วาจาที่ได้สดับตรับฟังทำให้หญิงสาวเบิกตาค้าง แล้วดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการแกร่ง ทว่าการมองไม่เห็นอะไรกลับเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงจนน่าใจหาย เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายอุ้มเธอไปยังที่ใด กระทั่งแผ่นหลังบางแตะกับพื้นเตียงนุ่ม ร่างระหงถึงได้ทะลึ่งพรวดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสายไปเสียแล้ว