“ถ้าเกลียดฉันนัก คุณก็ฆ่าฉันเสียเลยสิ” เธอท้าทาย เพราะจนปัญญาแล้วตอนนี้
“โฮ่ โฮ่ โฮ่” กัมปนาทหัวเราะออกมาแบบน่าเกลียด เขามองเหยียดหญิงสาวดวงตาเต็มไปด้วยความเดียดฉันท์และอาฆาต
“ถ้าฉันคิดจะฆ่าเธอน่ะรึ เธอคงไม่ได้ลอยนวลต่อปากต่อคำกับฉันมาถึงตอนนี้หรอก ถ้าเธอตายง่าย ๆ มันก็ไม่สนุกน่ะสิคุณทนาย ฉันน่ะนะอยากจะให้เธอได้รับรู้รสชาติของความขมขื่นจริง ๆ มันเป็นยังไงต่างหาก เจ็บปวดให้มากกว่านี้อีก นี่มันแค่เริ่มต้น คุณกุหลาบแก้ว จักราวุธ” เขาเรียกเธอเสียเต็มยศ
หญิงสาวได้แต่ขบริมฝีปากเอาไว้แน่น หลุบตาลง ไม่อยากจะจ้องสบสายตาน่ากลัว ๆ ของเขาเลย
“มะ... อย่าทำตัวพิรี้พิไร ตอนนี้ฉันหิว”
เขาลากแขนเธอแรง ๆ หญิงสาวแทบหน้าคะมำ แต่เขาก็คว้าเอาไว้ได้ กัมปนาทจึงรั้งรวบเอวคอดของเธอเอาไว้ แล้วยกตัวเธอลอยไปยังขันข้าวที่เขาตั้งรออยู่ก่อนแล้ว
“กินซะ จะได้มีแรง เธอต้องรับมือกับฉันอีกเยอะนะ ฉันบอกเธอให้เอาบุญ”
เขากระแทกจานข้าวลงไปตรงหน้าเธอ มันมีไข่ต้มแค่ใบเดียว เขาหยิบขวดน้ำปลาขวดเล็ก ๆ เหยาะใส่ให้
“กินซะ” เขาย้ำ ก่อนจะยกจานของตัวเองขึ้นกินมันอย่างอร่อย
เขายังตักผัดผักบุ้งในจานของเขาให้เธออีกสองช้อน
“กิน” เขาออกคำสั่ง
เธอจึงใช้มือข้างถนัดจับปลายช้อน พยายามจะตักข้าวใส่ปากแต่มันก็ลำบาก ไข่ในจานกลิ้งไปกลิ้งมา ใช้ช้อนจิ้มตัดอย่างไรก็ไม่ขาด มันไถลไปทั่วจาน
“เอามานี่” เขาดึงจานข้าวของเธอไป ก่อนจะใช้ช้อนของตัวเองสับไข่ให้จนเละ
กุหลาบแก้วมองตามมือของเขาน้ำตาคลอ เขาทิ้งจานลงตรงหน้าเธอเหมือนให้ข้าวหมา
ท้องของเธอร้องจ๊อก ๆ มันหิว ใช่ มันหิว
กินสินิ้ง จะได้มีแรง
เธอบอกกับตัวเอง แต่แล้วคำแรกที่เธอป้อนเข้าปากอย่างทุลักทุเล มันก็หกเรี่ยราด เพราะคันช้อนที่จับมันสั้นไป ไม่ถนัดมือเอาเสียเลย
“เอามานี่” เขากระชากเอาจานข้าวของเธอไปอีกครั้ง ก่อนจะตักข้าวคำโต ๆ ยัดเข้าไปในปากของหญิงสาว เธออ้าปากงับมันแทบไม่ทัน เขากระแทกช้อนลงไปในจานแรง ๆ มองหน้าแบบไม่พอใจ
กุหลาบแก้วกินข้าวเคล้าน้ำตาเป็นมื้อแรกในชีวิต ทำไมชีวิตของเธอมันบัดซบอย่างนี้
ที่บ้านของคุณแจ่มจันทร์
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
อิสรีย์กำลังเดินนวยนาดเข้ามา สีหน้าที่คลี่ยิ้มเมื่อกี้หุบลงไป หญิงสาวนั่งลงข้าง ๆ คุณแม่แจ่มจันทร์
“หนูแอมลมอะไรหอบมาจ๊ะ อย่าบอกนะว่ามากับต๊ะ” นางวางผ้าที่กำลังปักลง รับไหว้หญิงสาวใบหน้าแฉล้มที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรู้ใจของลูกชาย
“ที่แอมมาก็จะมาถามคุณแม่เรื่องของพี่ต๊ะแหละค่ะ หายหน้าหายตาไปเลย ไม่ไปหาแอมที่บ้าน ที่ร้านของแอมก็ไม่ไป เป็นแบบนี้มาหลายเดือนแล้วค่ะ แอมเจอพี่ต๊ะครั้งสุดท้ายก็ที่งานศพของคุณพ่อ”
“อุ๊ย ตายละ”
คุณแจ่มจันทร์ยกมือขึ้นมาทาบอก ไม่คิดว่าลูกชายของนางจะปล่อยปละละเลยคนรักของเขาแบบนี้ คุณแม่มองหน้าหญิงสาวด้วยความเห็นใจ นางมองสบตากับอิสรีย์ แต่ในใจก็ครุ่นคิด จะว่าไป นางก็ไม่ค่อยได้เจอหน้าลูกชายเหมือนกัน เขาทำตัวผลุบ ๆ โผล่ ๆ มาบ้านก็วอบ ๆ แวบ ๆ ไม่ได้คุยกันเป็นกิจจะลักษณะมาเป็นเดือน ๆ แล้ว
“เอ่อ... แล้วหนูได้ติดต่อหรือคุยกับพี่ต๊ะเขาทางมือถือหรือเปล่าลูก”
หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้า สีหน้าของอิสรีย์เศร้าลงไปถนัดตา
“คุณแม่ก็รู้นี่คะ แถวนี้ไม่ค่อยมีสัญญาณโทรศัพท์ ถึงหนูโทร. ติด แต่พี่ต๊ะก็ไม่รับสาย เป็นแบบนี้หลายครั้งค่ะ แอมไม่สบายใจเลย พี่ต๊ะแปลกไปจากเดิมมาก”
“ก็คงยุ่งนะแหละลูก ไหนจะเรื่องความวุ่นวายของบ้านคุณพ่อของต๊ะ แล้วเรื่องของ เกตุวดีกับโต เรื่องคดี แล้วการจัดการทรัพย์สินของคุณพ่อเขา คงจะยุ่งจริง ๆ นั่นแหละ เวลาที่ต๊ะมาที่บ้าน แม่เห็นหัวคิ้วขมวดกันมาแบบนั้น แม่ก็ไม่กล้าถาม ถ้าเขาจะพูดจะเล่า เขาก็จะเล่ามาเอง หนูแอมอย่าคิดมากเลยนะ”
---------------
อิสรีย์มีสีหน้าหม่นลง เธอจะบอกจะพูดว่าอย่างไรดี คนรักกัน ไม่เจอกันเลย ไม่พูดคุยกันมาเป็นเดือน ๆ แบบนี้ มันไม่ใช่แล้ว
“คุณแม่เจอพี่ต๊ะครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่คะ”
“เกือบเดือนแล้วมั้ง เอาแบบนี้สิ ทำไมหนูไม่ไปหาพี่ต๊ะที่ไร่หรือที่รีสอร์ตล่ะ ไปไหม เดี๋ยวแม่ให้คนนำทางไป”
“แอมไปที่บ้านไร่มาแล้วค่ะ เจอแต่ป้าสมัยกับคุณเกตุวดี ท่าทางคุณเกตุวดีไม่ดีขึ้นเลยนะคะ ดูแย่ ๆ กว่าครั้งก่อนตอนที่หนูเจอในงานศพเสียอีก ถามป้าสมัยเกี่ยวกับพี่ต๊ะ แกก็ตอบอ้อมแอ้ม ไม่ได้ความอะไรเลยค่ะ แต่ที่แน่ ๆ พี่ต๊ะก็ไม่ได้อยู่บ้านหลังนั้นกับคุณเกตุวดีและน้องโต ป้าสมัยบอกแอมมาแบบนี้ค่ะ”
“อือ... เรื่องเกตุวดี ก็คงเป็นอีกเรื่องนั่นแหละที่ต๊ะหนักใจ เคยพาไปหาหมอไปพบกับ จิตแพทย์มาแล้วนะ เห็นได้แต่ยามากินและรักษาตามอาการ ครั้งล่าสุดก็มาปรึกษาแม่ กลัวว่าเกตุวดีจะฆ่าตัวตาย สาเหตุเพราะเป็นโรคซึมเศร้า เกตุวดีป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ไปเลย พูดคุยน้อยลง แล้วไหนจะเรื่องของโตอีก มันก็หลายเรื่องอะนะ”
“สงสารพี่ต๊ะจังเลยนะคะ ต้องมานั่งรับผิดชอบเรื่องแบบนี้ แต่ที่แอมขัดใจ เพราะพี่ต๊ะไม่เคยทำตัวห่างเหินกับแอมขนาดนี้ มันไม่ใช่ค่ะคุณแม่ พี่ต๊ะไม่เหมือนเดิม”
“หนูแอมอย่าเพิ่งคิดมากเลยนะลูก จะให้พี่ต๊ะทำยังไงได้ จะทำเป็นไม่ดูดำดูดีสองแม่ลูกนั่นก็ไม่ได้ แม่รู้จักนิสัยของลูกชายของแม่ดี เขาคงมีเรื่องให้คิดเยอะแยะ ว่าแต่หนูเถอะ ทิ้งร้านมาแบบนี้เลยหรือ ขับรถมาตั้งไกลคนเดียวนี่อะนะ คงจะเหนื่อยแย่สิ”