ตอนที่ 9

1511 Words
ก๊อก ก๊อก ก๊อก คนที่กำลังเช็ดผมที่ได้สระจนสะอาดสดชื่นชะงักมือเพราะเสียงเคาะห้องหนักๆ ชุดนอนผ้าเนื้อบางคงดูล่อแหลมเกินไปหญิงสาวรีบคว้าเสื้อคลุมมาสวมก่อนจะเปิดประตูให้เขา “มีอะไรหรือเปล่าคะ” พยายามถามเสียงดีๆ แม้จะเป็นใบหน้าบึ้งแบบไม่สบอารมณ์ยามที่เห็นหน้าเธอ “ฉันไม่รู้ว่าพ่อรู้ได้อย่างไร แต่พ่อโทรหาฉันเรื่องเรานอนแยกห้องกัน” “นายคงไม่ได้คิดว่าบัวฟ้องหรอกนะคะ” “เรื่องนั้นฉันไม่รู้หรอก ไม่ได้อยากรู้ด้วย รู้แต่ว่าพรุ่งนี้พ่อจะมาพักที่นี่” จากที่เขาพูดมาก็ไม่เห็นว่าสำคัญจนต้องร้อนใจมาบอกตรงไหนเลย “พักที่นี่ แต่ว่าบ้านนี้มีแค่สามห้องนอน” ได้ยินป้าหวีบอกว่าจริงๆ แล้วเขามีบ้านใหญ่อีกหลังที่อยู่อาศัยกับลุงอินทร์แต่ว่าเลือกมาอยู่ที่นี่หลังแต่งงานเพราะอยากมีความเป็นส่วนตัว แต่เธอคิดว่าอยุทธ์กำลังหาทางกำจัดเธอได้ง่ายๆ และพ้นสายตาลุงอินทร์มากกว่า “ฉันเป็นคนบอกให้มาพักเอง เพราะว่าท่านโทรมาพร้อมกับ ข้อแม้ว่าจะย่นระยะเวลาการแต่งงานของเราจากสามปีมาเป็นปีเดียวถ้าเธอกับฉันไปนอนห้องเดียวกันตลอดทั้งปี เริ่มจากวันพรุ่งนี้” “แต่บัวคิดว่ามันน่าอึดอัดนะคะ เราสองคนแต่งงานกันแค่ในนาม แค่ต่างคนต่างอยู่สามปีโดยเป็นอิสระก็น่าจะดีกว่าฝืนทำอะไรยากๆ อยู่เป็นปีนะคะ” “ฉันไม่ได้มาขอความคิดเห็นจากเธอ แค่มาบอกว่าพรุ่งนี้ให้ย้ายของไปที่ห้องฉันแต่เช้า ป้าหวีจะได้เข้ามาทำห้องก่อนที่พ่อจะมา...” “...” บุษกรพูดอะไรไม่ออก ได้แต่กะพริบตาปริบๆ “ฉันคิดว่าสามปีมันเสียเวลากว่าหนึ่งปีอยู่มากนะ แต่ต่อให้รู้สึกแย่ขนาดไหนก็คงไม่แย่ไปกว่าการอยู่ดีๆ ก็ได้แต่งงานหรอก ดังนั้นเรามาจบมันให้เร็วขึ้นกันเถอะบุษกร” ชายหนุ่มบอกแล้วก็จดจ้องมาที่ดวงหน้าเธอเหมือนจะบอกว่าเขาไม่เปลี่ยนใจแน่ๆ เธอยังเงียบคำอยู่ แล้วเขาก็เดินหันหลังให้ ก้าวยาวๆ ไปยังห้องตัวเองแล้วปิดประตูห้องโดยไม่มองหันหลังมาแม้แต่น้อย บุษกรยังนิ่งอยู่เป็นนานกว่าจะปิดประตูลง เพราะเกิดมาเป็นเธอเลยต้องทำใจสินะ ถอนหายใจยาวๆ บอกกับตัวเองว่าอะไรมันจะเกิดก็คงต้องเกิด เขาเกลียดเธอจะตาย ในใจก็คงมีคนอื่น เพราะเขาไม่ได้ดูปรารถนาในตัวเธอแม้แต่น้อย การอยู่ร่วมห้องเพียงเท่านั้นคงไม่ได้ทำให้อะไรมันแย่ไปกว่านี้ เสียงเรียกเข้าจากมือถือทำให้บุษกรสาวเท้าเข้าไปดูเครื่องมือสื่อสารรุ่นทันสมัยที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง หากแต่พอเห็นว่าเป็นหมายเลขของอดีตเพื่อนร่วมงาน ก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วยืนมองโดยไม่ได้หยิบขึ้นมารับสายแต่อย่างใด ณพล calling... เจ้าของชื่อที่บันทึกไว้นั้นกำลังโทรหาเธอ เขาเข้ามาฝึกงานและบรรจุเป็นพนักงานรุ่นเดียวกับเธอ ทุกคนแม้แต่ตัวเธอเองรู้ดีว่าเขามีความรู้สึกพิเศษให้เธอ เขาดูดี อ่อนโยน และเป็นคนที่เธอเคยคิดว่าจะลองศึกษาดูใจเขาห่างๆ หากแต่เวลานี้ เธอไม่อยู่ในฐานะที่จะมองเขาเป็นตัวเลือกในชีวิตได้อีกต่อไปแล้ว เธอจึงเลือกที่จะไม่รับสายและปล่อยให้เขาลืมเลือนเธอไปตามกาลเวลา... หนึ่งปีจากนี้ไปเธอจะใช้เวลาตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ ชีวิตส่วนตัวหรือว่าเรื่องความรู้สึกอะไรต่างๆ เธอจะวางไว้ข้างหลัง เพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น เธอก็จะได้ทุกอย่างที่เธอวางทิ้งไว้คืนมา... หัวใจไม่เคยพลาดหวังคิดอย่างมุ่งมั่นก่อนจะปิดไฟเพื่อนอนพักผ่อนให้ร่างกายที่เหนื่อยล้าตรากตรำมาทั้งวันได้พักได้ผ่อนเสียที... หลังจากอาหารมื้อเช้าแล้วอยุทธ์สั่งให้ฉวีและบุษกรขนย้ายของเข้าห้องเขากันสองคนส่วนเขาไปทำงานที่ไร่ก่อนโดยกำชับไว้เป็นอย่างดีว่าหลังจากย้ายของเสร็จแล้วให้เธอรีบตามไปทำงานที่แปลงผักทันที ห้องนอนใหญ่ของเขามีห้องทำงานห้องเล็กเท่ากับห้องนอนเธออยู่ในนั้นอีกที ซึ่งห้องเต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์ที่ยังเปิดรันโปรแกรมต่างๆ อยู่ ห้องเรียบๆ สะอาดโล่งตา หน้าต่างมองเห็นวิวไร่ที่อยู่ที่ลุ่มกว่ากว้างไกล ถ้าเพียงแต่อยู่คนเดียวมันก็คงรื่นรมย์กว่านี้ แต่นี่ต้องอยู่ร่วมกับเขา แต่บุษกรรู้ตัวว่าไม่มีทางเลือก ยังดีที่ในห้องมีโซฟาเดย์เบดตัวโตและในห้องคอมพิวเตอร์ของเขาก็มีโซฟาอีกหนึ่งตัว เธอคงอาศัยนอนได้ ย้ายของที่ไม่ได้มีมากมายเท่าไหร่มาจัดเรียงเรียบร้อยแล้วก่อนออกไปทำงานก็ไม่ลืมขอให้ฉวีนำผ้านวมมาเพิ่มอีกหนึ่งผืนสำหรับคืนนี้... “นายให้ทรัพย์เอาจักรยานมาจอดให้หน้าบ้าน คุณบัวปั่นไปทำงานนะคะจะได้ทุ่นแรง ขากลับตอนขึ้นเนินอาจจะต้องจูงหน่อย” “บัวขี่จักรยานไม่เป็นหรอกจ้ะ วันนี้จะเดินไปก่อน ไว้หัดให้เก่งๆ ค่อยลองขี่ไปทำงาน” คนเกิดและโตในกรุงเทพฯ เอ่ยเขินๆ เพราะใช้รถโดยสารสาธารณะมาตลอดชีวิตและไม่ได้หัดขี่จักรยานอย่างจริงจังทำให้เธอปั่นไม่เป็น “อุ้ย จะเดินไปจริงหรือคะ แดดมันเปรี้ยงมากเลยนะคะ ให้ตามนาย หรือตามเจ้าทรัพย์ออกมารับดีไหม” “อย่าเลยดีกว่าค่ะป้าหวี... เดินนิดเดียวเอง” รีบบอกก่อนจะคว้ากระเป๋าผ้าใบโตเดินออกไป วันนี้แดดจัดอย่างที่ป้าหวีบอกจริงๆ แต่เธอก็สวมชุดที่คลุมร่างกายมิดชิดดีพอสมควร... มีคนงานหลายคนอยู่ในแปลงผักวันนี้มีคนงานผู้ชายร่วมด้วยเพราะมีการเก็บผักสลัด คะน้า ผักบุ้ง และ ต้นหอมเพื่อส่งไปขายที่ตลาด บุษกรไม่ได้มีโอกาสคุยกับใครเพราะต่างคนต่างทำงานยุ่ง พวกพนักงานรุ่นพี่สอนงานเธอให้ใช้ใบตองห่อผักที่ชั่งกิโลแล้วและสอนให้ใช้ ไม้ไผ่ที่ตัดออกมาเป็นเส้นๆ มัด เพราะความไม่ถนัดเลยถอดถุงมือทำมือเรียวของเธอจึงได้แผลไปหลายแผล แต่บุษกรก็ไม่ปริปากบ่นอะไร น้ำที่ล้างผักเปื้อนแขนเสื้อคาร์ดิแกนเธอก็ถอดออกในตอนที่ทำงาน จนช่วงเที่ยงก็หิวแทบหน้ามืด เหล่าคนงานพักกินข้าวกันที่โรงครัวบุษกรก็เดินตามไปไม่เกี่ยงงอนเพราะตอนนี้หิวจนจะเป็นลมอยู่แล้ว “บัว... แกโดนแดดเผาจนแขนแดงไปหมดแล้ว เกิดมาเคยตากแดดตากลมกับเขาบ้างไหมเนี่ย” กานดาเพื่อนคนงานในแปลงผักเดินมาพินิจแขนบุษกรใกล้ๆ แล้วเอ่ยถาม คนอื่นๆ ก็เริ่มมองมาที่เธอเหมือนกันบุษกรเลยเอาเสื้อนั้นมาสวมใส่... “กรุงเทพฯ ร้อนแต่ไม่ค่อยเจอแดดหรอก ตึกสูงบังแดดให้หมดน่ะ แต่แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็คงหาย” เธอบอกกานดา หญิงสาวไม่เคยทำงานกลางแจ้ง อาหารที่โรงอาหารรวมของคนงานค่อนข้างมีรสชาติเผ็ด แกงส้มหมูสามชั้นกับผักรวม และมีไข่เจียวกับแตงกวาฝานเป็นเครื่องเคียง หญิงสาวเริ่มกินเผ็ดได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่กล้ากินเยอะเพราะกลัวปวดท้อง ในขณะที่กำลังกินไปได้สองสามคำทรัพย์ก็วิ่งถลาเข้ามายืนตรงหน้าเธอ “คุณบัว นายให้มาตามไปที่บ้านครับ” “ฉันกินข้าวก่อน อีกเดี๋ยวค่อยจะไปจ้ะ” เธอบอกทรัพย์ตักแกงส้มรสจัดจ้านเข้าปากอีกคำ “รีบไปตอนนี้เถอะครับ เชื่อผม” ทรัพย์ทำสีหน้าลำบากใจ มือที่กำลังจะตัดไข่เจียวชะงัก มองหน้าทรัพย์ “ผมรู้ว่าคุณบัวหิว แต่ว่าไปกินที่บ้านต่อก็ได้ครับ ไปพร้อมผมเถอะ” ทรัพย์ไม่กล้าสั่งเธอเหมือนนายของเขา หากแต่เขากลับขอร้องและให้เกียรติเธอ หญิงสาววางช้อนลงและเอาอาหารไปเทที่ถังเตรียมทำปุ๋ยอินทรีย์ด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อยที่กินเหลือ ความหิวของเธอยังไม่ได้รับการปลดปล่อย ก้าวตามทรัพย์ไปนึกถึงอยุทธ์ไป ถ้าไม่มีเหตุผลที่ดีพอ เป็นอยุทธ์ก็เถอะเธอจะต่อว่าให้ดู ............. เฮียคิดว่าจะทำไรน้องได้ น้องบัวถึกกว่าที่คิดนะจ๊ะ 55
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD