ผู้หญิงคนนั้นร้ายกาจจนมารดาของเขากระเด็นออกมาจากบ้านไม่เป็นท่า
“ติ” สินธรตบไล่หลานชายคนเดียวหนักๆ
“คิดดูให้ดี โอกาสนี้เป็นโอกาสสุดท้าย ถึงไม่ได้เลี้ยงดู เขาก็คือพ่อ ลุงจะออกไปรอติข้างนอก ตัดสินใจยังไง บอกลุงมา ลุงไม่ได้บังคับให้ติ แต่ลุงอยากให้ติคิดเอง ติโตแล้ว โตพอที่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรควรทำ ไม่ควรทำ”
สินธรพูดจบแล้วเดินจากห้องทำงานของหลานชายออกมา เขารู้คำตอบในใจ แต่อยากให้รติภัทรเป็นคนบอกกล่าวออกมาเอง ไม่อยากบังคับให้อีกฝ่ายต้องทำตามที่เขาขอ เหมือนอย่างเช่นทุกครั้งที่ภคินติดต่อมาหาและขอพบกับลูกชาย เขาจำต้องมาพูดบอกกล่าวความต้องการของภคินให้รติภัทรรับรู้ มีหลายครั้งที่หลานชายปฏิเสธที่จะเจอ และมีหลายครั้งที่ไปเจอโดยง่าย ครั้งสุดท้ายเขาจำได้ดีว่ารติภัทรยอมตอบรับไปเจอกับบิดาโดยไม่มีความลังเล
อาจเป็นเพราะเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนนั้นสินะ สินธรขยับริมฝีปากเบาๆ คล้ายกับยิ้ม ดวงตาหรี่ลงรู้สึกเอ็นดูในตัวหลานชายไม่น้อย
“พิรวดีเป็นของผมครับลุง เธอเป็นของผมตั้งแต่ยี่สิบปีที่แล้ว”
ร่างสูงสง่าที่ปรากฏกายขึ้นในงานศพของภคิน สุรสิทธิ์ ทำให้อนงค์ถึงกับตกใจ ยี่สิบปีแล้วสินะที่นางไม่ได้เจอเด็กผู้ชายคนนั้น คนที่มองนางด้วยสายตาเคียดแค้นชิงชังก่อนที่จะระเห็จออกจากบ้านตามมารดาและแม่บ้านคนสนิทกลับไปอยู่เชียงใหม่
“มันมาได้ยังไง ลูกนังสุวดี มันมาได้ยังไง” อนงค์กัดฟันกรอด หันไปกระซิบเสียงเครียดกับสุรเดช
“ไอ้ธนา ทนายนั่นคงส่งข่าวไป แต่ช่างเถอะ มันอาจจะมาไหว้ศพพี่คินเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ ยังไงๆ รติภัทรก็เป็นลูกพี่คินเหมือนกัน” สุรเดชมองร่างของหลานชายตาวาว ไม่ต่างจากคนข้างๆ
“ว่าได้เหรอ ถึงมันจะเคยประกาศเอาไว้ว่าไม่รับอะไรจนคุณคินต้องยอมถอย แต่ถ้าหากมันอยากได้ขึ้นมาล่ะ”
“ผมไม่ยอมให้ใครได้อะไรของสุรสิทธิ์ไปหรอก คุณสบายใจได้”
สุรเดชบอกคนข้างๆ ก่อนตบหลังมือเบาๆ
“สมบัติตั้งหลายร้อยล้าน ฉันเองก็ไม่ยอมแบ่งให้ลูกนังสุวดีหรอก ทุกอย่างจะต้องเป็นของตาวินเพียงคนเดียวเท่านั้น” อนงค์กัดฟันพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“ดูมันไปก่อน ยังไง ตาวินของเราก็ได้ครอบครองอยู่แล้ว คุณอย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปหน่อยเลย” สุรเดชส่งสายตาปรามเอาไว้ “ตอนนี้เข้าไปทักทายสองคนนั่นก่อน”
“สวัสดีครับคุณรติภัทร คุณสินธร”
ธนาซึ่งเป็นทนายประจำตระกูลเอ่ยทักทายด้วยความดีใจที่เห็นทั้งสองเดินทางมาถึง
“สวัสดีครับ” รติภัทรตอบรับเสียงขรึมไม่ได้ยินดียินร้ายแต่อย่างใด
“สวัสดีครับ” สินธรยิ้มรับ
“ผมต้องขอบคุณคุณมากๆ นะครับ”
ธนาหันไปกล่าวขอบคุณสินธร หากไม่เพราะสินธร รติภัทรคงไม่มางานนี้ รู้ดีว่าชายหนุ่มใจแข็งเพียงใด หลายครั้งที่ภคินเล่าให้ฟังว่าบุตรชายปฏิเสธที่จะมาเจอ จนต้องผิดหวังกลับมานั่งเศร้าใจเสียทุกครั้ง
“ติเขาอยากมาไหว้ศพพ่อเขาเป็นครั้งสุดท้าย” สินธรเอ่ยเสียงเรียบ มองหน้าหลานชายที่ใบหน้าเครียดขรึม
“ผมอยากให้คุณติอยู่จนถึงวันเผา” ธนาหันไปขอร้องกับรติภัทร
“ผมคงไม่สะดวก แค่มาเป็นเพื่อนคุณลุงอาบน้ำศพ”
รติภัทรตอบอย่างเย็นชา ธนาถอนใจหนักหน่วง แต่ก็ยังไม่ละความพยายามตามที่ภคินได้เคยสั่งเอาไว้ก่อนตาย
“ถือว่าลุงขอร้อง เห็นแก่คุณคินสักครั้ง”
ธนาขอร้องอีกครั้ง แทบจะลงไปไหว้ชายหนุ่มมาดนิ่งที่ใบหน้าเย็นชาไร้รอยยิ้ม เด็กผู้ชายวัยสิบขวบที่สดใสคนนั้นได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แสนกระด้างและเย็นชาเป็นนิจ ดวงตากร้าวเย็นเยียบ น้ำเสียงก็เช่นเดียวกัน
“ไม่...”
รติภัทรชะงักคำพูดที่จะปฏิเสธเมื่อสายตาคมสีกาแฟกล้าเหลือบไปเห็นหญิงสาวร่างโปร่งระหงสวมใส่ชุดสีดำเป็นกระโปรงยาว ใบหน้าหวานอ่อนใสตกแต่งเพียงเล็กน้อย แต่กลับงดงามหาที่ติไม่ได้ หญิงสาวรวบผมเกล้าเอาไว้อย่างเรียบร้อยทำให้มองเห็นลำคอผุดผ่อง เรือนร่างบอบบางน่าทะนุถนอม ยิ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจนั้นทำให้รติภัทรถึงกับนิ่งอึ้ง หัวใจที่ด้านชากลับเต้นแรงกระหน่ำถี่อีกครั้ง
เราเจอกันอีกแล้วนะพิรวดี
บิดาของเขาไม่อยู่เช่นนี้ ใครจะดูแลเธอเล่า รติภัทรบอกตัวเองอย่างปัจจุบันทันด่วน ละทิ้งทิฐิออกจากใจโดยสิ้นเชิง เพราะเขาจะฉุดรั้งให้เธอกลับไปอยู่กับเขาที่เชียงใหม่ มันคงเป็นการไม่สมควร อนงค์จะต้องขัดขวางเต็มที่ คงกำลังคิดยกหญิงสาวไปประเคนให้เสี่ยคนไหนอีกอย่างแน่นอน
“คุณติคงจำคุณวดีได้นะครับ นี่ก็ช่วยงานทุกอย่างจนเรียบร้อยแบบนี้”
ธนาเอ่ยชื่นชมหญิงสาว เมื่อเห็นสายตาของรติภัทรตรงหน้า ภคินเองก็ได้ฝากฝังเรื่องนี้กับเขาเอาไว้แล้ว หากภคินไม่อยู่แล้ว รติภัทรคงไม่ยอมไว้วางใจให้พิรวดีอยู่ท่ามกลางความเห็นแก่ตัวของคนรอบข้างได้
รติภัทรนิ่งเงียบรับคำ มิได้แสดงความคิดเห็นอันใด ก่อนที่ทนายประจำตระกูลจะถามเรื่องที่คุยค้างกันเอาไว้
“ตกลงคุณติจะ...” ธนาพูดยังไม่ทันจับ รติภัทรก็พูดแทรกขึ้น
“ผมจะอยู่จนถึงวันเผาศพ”
น้ำเสียงหนักแน่นที่ตอบทำให้ธนาลอบผ่อนลมหายใจหนักหน่วง ก่อนจะหันไปมองหน้าศพของภคิน อย่างน้อยพิรวดีเด็กสาวแสนดีคนนั้นอาจจะทำให้รติภัทรเปลี่ยนใจในหลายๆ อย่างก็เป็นได้ เพราะยังมีเรื่องที่เขายังหนักใจรออยู่อีกในวันหน้า
“สวัสดีค่ะคุณติ สวัสดีค่ะคุณสินธร” อนงค์กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
รติภัทรตวัดสายตามองมารดาเลี้ยงด้วยดวงตาลุกวาว อนงค์ถอนเท้าหนี ลอบกลืนน้ำลายลงคอ
“สวัสดีครับคุณสินธร ตาติ”
ประโยคของสุรเดชทำให้รติภัทรหันมอง ดวงตายังเฉยชาไม่ยินดียินร้ายที่ได้พบญาติอีกคนที่เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายใส่ร้ายมารดาเขาว่าอย่างไรบ้าง
“สวัสดีครับ” สินธรเป็นคนพูด แต่รติภัทรเงียบ ไม่ได้ทักทายผู้เป็นอา
“ไปไหว้ศพพี่คินก่อนเถอะ”
สุรเดชแก้สถานการณ์เมื่อเห็นรติภัทรยังตวัดสายตาดุดันกลับไปมองอนงค์ อนงค์ขนลุกเกรียวเมื่อสบตาของลูกเลี้ยงหนุ่ม ความกลัวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาแล่นขึ้นมาจับขั้วหัวใจ
สินธรและรติภัทรเข้าไปไหว้ศพของภคิน อนงค์ลอบผ่อนลมหายใจ มองตามแผ่นหลังของลูกเลี้ยงอย่างหายใจไม่ทั่วท้อง
“ทำไมสายตามันน่ากลัวแบบนี้” อนงค์เผลอเกาะแขนสุรเดชไว้แน่น
“ไม่ต้องกลัว ผมอยู่ทั้งคน”
สุรเดชเองก็ตกใจที่ได้เห็นสายตารติภัทร สายตานั้นแทบจะฆ่าคนได้ มันดุดันแข็งกร้าวเย็นชาน่ากลัว ใบหน้ากระด้างเยียบเย็นไร้ความรู้สึก ไม่มีใครอ่านความคิดของรติภัทรออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
“ไปเถอะ ฉันไม่อยากเข้าใกล้มัน มันทำท่าเหมือนกะจะฆ่าจะแกงฉัน” อนงค์รีบบอกและเลี่ยงไปอีกด้านเพื่อรับแขก
“น้ำค่ะ”
น้ำเสียงอ่อนหวานของพิรวดีทำให้แขกเหรื่อในงานอดจะอมยิ้มในมารยาทงดงามนั้นเสียไม่ได้ เธอไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองอยู่ทุกอากัปกิริยา
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ” พิรวดีร้องอุทานกล่าวขอโทษขอโพยที่เธอเผลอเดินชนจนทำน้ำหวานหกใส่ร่างสูงของชายหนุ่ม
รติภัทรมองหญิงสาวรวดเร็วตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้สังเกตเห็น ทำไมเขาช่างคิดถึงร่างน้อยหอมกรุ่นนี้แทบขาดใจ
ชายหนุ่มสบถในใจอย่างหัวเสียที่หักห้ามใจตัวเองไม่ได้แบบนี้!!!
พิรวดีนำผ้าเช็ดหน้าออกมาซับที่เสื้อให้อีกฝ่ายอย่างสำนึกผิด ใบหน้าที่ห่างอยู่ในระยะกระชั้นชิดทำให้รติภัทรได้เห็นความผุดผ่องอ่อนใสชัดเจน ผิวกายหอมกรุ่นนั้นก็ทำให้เขาเผลอสูดดมอย่างลืมตัว
“ตายแล้วยัยวดี ซุ่มซ่ามจริงๆ” อนงค์ปรี่เข้ามาตำหนิบุตรสาวด้วยน้ำเสียงไม่เบานัก
“ขอโทษค่ะคุณแม่ วดีไม่ทันมอง” พิรวดีก้มหน้างุดรีบชี้แจงให้มารดาฟัง ไม่ได้เงยหน้ามองใครแม้แต่คนเดียว