บทที่ 3
1 เดือนผ่านไป....
ความแออัดของกรุงเทพฯ ทำให้บทมากรต้องถอนหายใจออกมาแรง ๆ ผู้คนที่ยัดเยียดแย่งชิงกันเข้ามาอาศัยในเมืองหลวงอันแสนศิวิไล แต่หารู้ไหมว่า สิ่งสวยงามที่เห็นอยู่มันก็แค่เปลือกนอกเท่านั้น ความเลวร้าย เห็นแก่ตัวของคนเมืองนั้น เป็นภัยมืดที่มองด้วยตาเปล่าไม่มีทางเห็น นอกจากจะสัมผัสมันด้วยตัวเอง เช่นหล่อนตอนนี้ กำลังถูกทดสอบจากความโหดร้ายเหล่านี้อย่างฉกาจฉกรรจ์
มือบางที่เริ่มเปื่อยแล้ว อันเนื่องมาจากการแช่อยู่ในน้ำนานเกินไป หญิงสาวเหลือบตามองถ้วยจานที่วางกองไว้สูงท่วมหัวอย่างอ่อนใจ หล่อนทำงานทั้งวัน ล้างจานทั้งวัน แต่ค่าแรงของหล่อนยังเทียบไม่ได้กับเศษเสี้ยวของราคาอาหารแต่ละจานที่คนร่ำรวยพวกนี้เข้ามากินกันเลย คิดแล้วมันก็น่าหัวเราะนัก คนพวกนั้นแค่เดินไปเดินมาก็มีเงินเข้ากระเป๋าจนมันแทบจะฉีก ผิดกับคนยากจนแสนเข็ญอย่างหล่อน ที่ทำงานแทบตายแต่เงินที่ได้นั้นมันช่างน้อยนิดเท่ากระหยิบมือ ไม่พอแม้แต่จะยาไส้ไปวัน ๆ
ภาระหนักอึ้งที่ถาโถมเข้ามาราวกับระลอกคลื่นมันก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนหล่อนแทบจะรับมือไม่ไหวอยู่แล้ว แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น หล่อนจะทิ้งมารดาไปได้ยังไง แม่หล่อนกำลังนอนรอเงินจากหล่อนไปต่อชีวิต บุญคุณที่มีนั้นท่วมหัว ฉะนั้นหล่อนไม่มีสิทธิ์ที่จะปริปากบ่นอะไรทั้งนั้น อะไรที่ทำแล้วได้เงิน หล่อนก็จะทำ ถึงแม้มันจะเลวร้ายแค่ไหนก็ต้องทำ เพราะลมหายใจของมารดาก็คือลมหายใจของหล่อนเช่นกัน หากแม้หากใครไป อีกคนก็คนแดดิ้นไปตามกัน...
“นี่ไอ้กอบัวจะนั่งใจลอยไปอีกนานไหม จานจะกองทับหัวตายอยู่แล้ว ชอบอู้จริง ๆ เลย”
เสียงเจ้าของร้านดังอยู่ข้างหลัง น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่พอใจชัดเจน บทมากรค่อย ๆ หันกลับไปยิ้มจ๋อย ๆ ให้ ก่อนจะรีบลงมือล้างจานกองเท่าภูเขาตรงหน้าต่ออย่างเร่งด่วน เพราะถ้าขืนยังโอ้เอ้อยู่คงโดนหักเงินอย่างแน่นอน
“พอ ๆ ไม่ต้องล้างแล้ว ข้ามีงานใหม่ให้เอ็งทำ ไป ๆ ลุกขึ้น เร็วเข้า”
สีหน้าที่แสดงความงงงวยเป็นไก่ตาแตกของบทมากรทำให้ผู้ชายร่างอ้วนท้วมที่มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าของร้านทำสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะแจ้งจุดประสงค์ให้ทราบ
“ข้าจะให้เอ็งไปช่วยกันเสิร์ฟอาหารหน่อย คนเสิร์ฟไม่มาคนหนึ่ง แล้ววันนี้ลูกค้าไฮโชทั้งหลายก็พร้อมใจกันมากินร้านข้าเสียเหลือเกิน ใกล้จะปิดร้านอยู่แล้วยังมาไม่ขาดสาย” เสียงเฮียเม้งเจ้าของร้านบ่นพึมพำ
ถ้าจะให้พูดถึงเฮียเม้งแล้ว หล่อนรู้จักมาตั้งแต่เด็ก เพราะเมื่อก่อนแม่ของหล่อนก็เป็นลูกจ้างของเฮียแก แต่ตอนนี้แม่หล่อนป่วยกระเซาะกระแซะ หล่อนจึงต้องทำแทน และต้องทำทุกอย่างแทนไปหมด กระทั่งต้องออกจากโรงเรียนแค่ ม.6 เพื่อมาทำงานแทนมารดา
“แล้วใครจะล้างจานแทนฉันล่ะเฮีย คงไม่ใช่ฉันต้องกลับมาล้างอีกนะ”
บทมากรโบ้ยหน้าไปทางกองจานกองมหึมา หล่อนเห็นเฮียเม้งยิ้มหวาน พร้อมทั้งชี้มือตรงมาที่ตัวหล่อน แค่นั้นแหละบทมากรลมแทบจับ
“ไม่เอานะเฮีย ฉันทำต่อไม่ได้หรอก ฉันต้องไปรับแม่ออกจากโรงพยาบาล เฮียก็รู้”
บทมากรปฏิเสธเสียงแข็ง พร้อมทั้งสั่นศีรษะเพื่อยืนยันว่าหล่อนไม่เอาแน่
“แต่ได้เงินเพิ่มอีก 500 บาท เอ็งก็ไม่เอางั้นหรือ ไม่เป็นไรให้คนอื่นทำก็ได้”
เฮียเม้งทำท่าจะเดินจากไป แต่บทมากรร้องขึ้นมาซะก่อน
“เอา...!”
บทมากรตอบแทบไม่คิด คำว่าได้เงินมากขึ้นทำให้หล่อนยอมทำทุกอย่าง ก็หล่อนต้องการมันนี่ มันสำคัญกับหล่อนมาก แถมยังหายากเลือดตาแทบกระเด็น เฮียเม้งยิ้มเมื่อรู้ว่ายังไงไม้นี้ก็ใช้กับบทมากรสำเร็จทุกครั้ง
“นึกว่าไม่เอา เอาล่ะไปทำงานได้แล้ว”
บทมากรรีบวิ่งแจ้นออกไปแล้ว เฮียเม้งก็ยังไม่วายตะโกนไล่หลังหล่อนไป ทำให้บทมากรหันกลับมาค้อนขวับอย่างขุ่นเคือง
“เปลี่ยนชุดซะหน่อยก็ดีนะ ชุดนี้มันเน่ามากเลยว่ะ ไอ้กอบัว”
ชายชราร่างอ้วนท้วมยืนมองร่างบอบบางที่กำลังวิ่งออกไปด้วยสายตาเวทนา ถ้าแม่ของหล่อนไม่เอาแต่กินเหล้าจนป่วยเรื้อรังอย่างนี้ อนาคตของเด็กคนนี้คงไปได้อีกไกล แต่ใครละจะฝืนโชคชะตาได้ ในเมื่อชีวิตเราอยู่ภายใต้ดวงชะตา ถึงแม้ว่าจะพยายามฝืนแค่ไหนก็คงทำไม่ได้ทั้งหมด ตัวอย่างที่เห็นกันอยู่ก็คือ อุทุมพรแม่ของบทมากรยังไงล่ะ ถึงแม้จะรักกันแค่ไหนสุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็ทิ้งหล่อนไปอยู่ดี เพราะยังไงเสียพ่อแม่ก็คือคนที่เราขัดคำสั่งไม่ได้ เฮียเม้งถอนหายใจออกมาหายระเหี่ยใจ เขาล่ะสงสารกอบัวจริง ๆ