เขาจูบจนฉันเข่าอ่อนกระทั่งเขาปล่อยฉันในที่สุด เจ้านายกำลังยิ้มเยาะเย้ยฉันที่ยอมเขาง่าย ๆ โดยไม่คัดค้านในขณะที่ตัวฉันเองก็รู้สึกเกลียดตัวเองจริง ๆ ที่ทำตัวราวกับน้ำมันที่พอถูกไฟกระทบเข้านิดหน่อยก็พร้อมจะลุกลามมอดไหม้ใหญ่โต ทั้งยังรู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ได้เสียใจเรื่องที่ฉันเสียตัวให้เขาแม้แต่น้อย
ตรงกันข้ามฉันกลับพอใจมากด้วยซ้ำ เพราะว่าความจริงได้รับรู้แล้วว่าเขาที่อยู่ในฝันกับความเป็นจริงมันดียิ่งกว่าเสียอีก
"ฉันบอกแล้วว่าเธอต้องการฉัน อย่าเถียงอีกเลย"
เขาเยาะเย้ยฉัน แต่ฉันไม่ยอมหรอก
"เจ้านายคงเข้าใจผิดค่ะ ไม่ใช่ว่าต้องการเจ้านาย แต่เป็นเพราะว่ามันคือเรื่องธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นใครถ้าฉันโอเคก็ได้ทั้งนั้น"
เขาทำหน้ายุ่งเล็กน้อย คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันยังจ้องฉันเหมือนไม่พอใจ
"เลขาเอพริลหมายถึงใครก็ได้แบบนั้นเหรอ คุณนี่ไวไฟยิ่งกว่าภาพลักษณ์ที่แสดงออก เหมือนพวกเก็บกดเลยนะ"
ฉันแสร้งหัวเราะ ทั้งๆ ที่เขาทำเอาฉันเปียกแฉะจนพร้อมรับขนาดนั้น ฉันก็พยายามไม่ใส่ใจ
"เจ้านายเข้าใจถูกต้องค่ะ ฉันซื่อสัตย์กับคำพูดและความคิดของตัวเองอยู่แล้ว"
"ผมพอมองออกว่าคุณต้องการผมแค่ไหน"
เขาหรี่ตาคมมองฉัน ยังฟาดฉันลงมาด้วยสายตาร้อนแรงปนกระหาย
สายตาของเขาจ้องมองริมฝีปาดของฉัน แล้วเขาก็ก้มลงมา มือใหญ่กำคอฉันหลวมๆ
ฝ่ามือร้อนแรงนั่นทำให้ฉันแทบคลั่งอยากจะโถมตัวเข้าไปจูบเขาอีกครั้งจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่
แต่ฉันกลับปัดมือของเขาออกแล้วมองหน้าเขาพร้อมกับส่งยิ้มเย็นชาให้
"คนที่เหมือนจะต้องการฉันว่าคือเจ้านายมากกว่านะคะ"
ได้ผล คนยโสเช่นเขาปล่อยมือออกจากลำคอของฉันทันใด
"คุณก็แค่เลขาคนหนึ่ง ผมไม่คิดจะเลื่อนตำแหน่งให้คุณมาเป็นคู่ขาหรอกนะ ถ้าคุณไม่คุกเข่าอ้อนวอน"
ฉันกำมือแน่น และเอ่ยคำพูดที่ชัดถ้อยชัดคำออกไป
"ก็รอดูว่าใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายคุกเข่าอ้อนวอน"
เขาหัวเราะเหมือนชอบใจนักหนา แต่ฉันเดาไม่ออกว่าเขาชอบใจเรื่องอะไร
"คิดจะเล่นกับไฟก็ระวังตัวเอาไว้ให้ดีแล้วกัน"
"ก็ไม่รู้สิคะ ฉันมันคนขี้สงสัยและค่อนข้างชอบอะไรที่ท้าทายด้วย"
ฉันยักไหล่อย่างไม่สนใจ เขายังคงจ้องฉันจนหัวใจของฉันแทบจะหลุดออกมา
และแล้วเขาก็เหมือนจะถอยห่าง และหยุดเถียงกับฉันเอาดื้อๆ
นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่การสนทนาของเรายืดยาวได้ขนาดนี้
ปกติฉันไม่ค่อยจะได้พูดคุยกับเขาเรื่องอื่นอยู่แล้วนอกจากเรื่องงาน ทั้ง ๆ ที่อาศัยอยู่บ้านของเขามาตั้งแต่เกิด คนที่ตั้งชื่อให้ฉันก็คือแม่ของเขา
เพราะฉันเกิดในเดือนเมษายนที่ร้อนแรงและมีใบหน้าน่ารักคล้ายเด็กลูกครึ่ง จมูกโด่งผิวขาวละเอียดเหมือนตุ๊กตาและน่าสงสารเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ คุณท่านเลยตั้งชื่อฉันว่าเอพริลและยังเลี้ยงดูฉันเหมือนลูกสาวคนหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันเหิมเกริม ภายใต้ความเอ็นดูนี้คุณท่านก็ทำให้ฉันรู้สถานะของตัวเองเป็นอย่างดี
ฉันก้มหน้ากินข้าวไม่พูดกับเขาอีก เพราะยิ่งพูดด้วยก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกแปลก ๆ หลังจากร่วมเตียงกันในคืนที่ผ่านมา สถานะของฉันกับเขายังคงเป็นเพียงแค่เจ้านายกับเลขากันธรรมดา ๆ หรือเปล่า
ฉันรู้สึกว่ามันเปลี่ยนเพราะเขาอนุญาตให้ฉันร่วมโต๊ะทานข้าวกับเขาทั้ง ๆ ที่ผ่านมาไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะออกปาก เจ้านายเป็นคนถือตัวระหว่างฉันที่เป็นเพียงเด็กในบ้านเขาไม่เคยชายตาแล
กระทั่งฉันก้าวมาเป็นเลขาของเขาเพราะคุณท่าน ในวันแรกเขาก็ยังไม่เชื่อถึงความสามารถของฉัน ธันวาเป็นคนค่อนข้างพิถีพิถัน
เขาเป็นคนเก่งมากแต่ยังมีเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับบรรดาคนสวยทั้งหลายที่เข้ามาข้องแวะกับเขา ทำให้เลขาหลายคนไม่ก็ลาออกเพราะเขาเคร่งครัดจุกจิกจนเกินไป ก็ลาออกเพราะอดทนถูกสาว ๆ พวกนั้นกดดัน ยิ่งถ้าเลขาหน้าตาสวยก็ยิ่งเป็นภัยต่อตัวเอง
แต่หลังจากที่ฉันเข้ารับตำแหน่ง จะด้วยมีแบ็คใหญ่คือคุณนายบุหงาหรือความสามารถของฉันทำให้ฉันอยู่กับเขาได้ ฉันเป็นคนเก็บอารมณ์เก่งและมุ่งมั่นทำงานเรียบร้อยจึงถูกใจเขามาก
ในขณะที่ผู้หญิงของเขาก็ไม่เคยมองฉันในสายตา การถูกกลั่นแกล้งจึงไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวฉัน และฉันจึงได้รอดพ้นผู้หญิงพวกนั้นมาได้จนถึงทุกวันนี้
ฉันกินโจ๊กจนหมดชาม แน่นอนว่าเพราะฉันเป็นลูกคนใช้ ข้าวทุกเม็ดฉันถูกสอนมาให้เห็นคุณค่าในขณะที่เจ้านายของฉันไม่ได้ถูกสอนมาเช่นฉัน แต่โดยนิสัยของเขาที่ผ่านโรงเรียนประจำชายล้วนมาด้วยกฎและการสอนอันเคร่งครัดทำให้เจ้านายของฉันกลายเป็นพวกระเบียบจัดและเห็นคุณค่าของทุกอย่าง
เขากับฉันความจริงเข้าใจกันได้เป็นอย่างดี การทำงานของพวกเรานับว่าเข้าขากันมาก แต่แน่นอนว่านั่นเป็นผลจากความอดทนของฉัน
ฉันชำเลืองมองเขาเมื่อเขาดื่มน้ำเสร็จฉันรีบรินน้ำให้เขาทันที
เจ้านายมักจะดื่มน้ำสองแก้วหลังทานข้าวเสมอและต้องเป็นน้ำแร่ยี่ห้อดังเพียงไม่กี่ยี่ห้อ โชคดีที่โรงแรมนี้มีไว้บริการไม่เช่นนั้นฉันคงเดือดร้อน
เรื่องนี้นอกจากฉันแล้วไม่มีใครรู้ รสนิยมทุกอย่างของเขา มีเพียงฉันเท่านั้นที่รู้ดี
เขาเช็ดปากแล้วลุกขึ้น ส่วนฉันก็เสร็จเรียบร้อยพอดี เราสองคนไม่พูดอะไรต่อ ก็เป็นแบบนี้มาตลอด ฉันและเขาเวลาอยู่ด้วยกันหากไม่ใช่เรื่องงานแล้วแทบจะไม่มีอะไรให้คุยกันเลย
ไม่เคยหยอกล้อกันสักครั้ง เขาวางตัวห่างจากฉันเสมอแต่ไม่ได้ห่างมากจนเกินไปจนหลุดสายตา
เขาหันมามองฉันอีกครั้ง เสื้อสูทของเขายังคลุมอยู่ที่ไหล่ของฉัน เพียงแค่สายตานั้นฉันก็รู้แล้วว่าเขาต้องการให้ฉันใส่มันให้ดี ฉันจึงยิ้มหวานให้เขาไปครั้งหนึ่งแล้วสอดแขนเข้าไปในเสื้อสูทตัวใหญ่ทันที
ปกติฉันมักจะสวมเสื้อผ้าชุดใหญ่ให้ดูหลวมเพื่อปกปิดหน้าอกหน้าใจอันใหญ่มหึมาของตัวเองที่ดึงดูดสายตาคนอื่น แต่พอได้ใส่เสื้อของเจ้านายแล้วฉันกลับรู้สึกว่ามันใหญ่เกินจนดูเหมือนเสื้อโคทเลยก็ว่าได้ คลุมร่างกายของฉันได้มิดพอดิบพอดีซึ่งสำหรับฉันแล้วเป็นเรื่องดี
ฉันหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อคิดว่า ตัวของเจ้านายของฉันคนนี้ใหญ่ไปทุกส่วนจริง ๆ กระทั่งส่วนนั้นของเขายังทำเอาฉันแทบตายเหมือนกัน
กลิ่นที่ติดเสื้อเป็นกลิ่นตัวของเขา มันหอมสะอาดแบบผู้ชายสุขภาพดี จนเผลอที่จะก้มลงไปดมอย่างมีความสุขไม่ได้
เมื่อเราเดินมาถึงหน้าลิฟต์ฉันก็เหมือนจะยืนทรงตัวไม่ได้ เพราะรองเท้าส้นเข็มที่เป็นครั้งแรกที่ฉันสวมนั่นเอง เมื่อคืนฉันไม่รู้ว่าใช้มันเดินมาได้ยังไง แต่ตอนนี้ฉันเหมือนจะล้มไปหลายครั้งแล้ว
"เจ้านายคะ ฉันขอจับแขนเจ้านายได้หรือเปล่าคะ"
เมื่อเขามองฉันด้วยท่าทางเบื่อหน่าย ฉันจึงอดไม่ได้ที่จะร้องขอเขา ฉันไม่ใช่คนที่จะอดทนต่อความอับอายได้ หากฉันล้มต่อหน้าผู้คนฉันจะทำยังไง อย่างน้อยเอ่ยปากขอร้องเขาก็เป็นเรื่องที่ฉันทำบ่อยครั้งจนชินเสียแล้ว
เขาถอนหายใจออกมา แล้วยื่นแขนให้ฉันจับ
"ขอบคุณค่ะ"
ฉันโน้มตัวเข้าหาเขาจนกระทั่งเนื้อนุ่ม ๆ ช่วงอกโดนแขนของเขา ฉันรับรู้ได้ว่าเจ้านายหดแขนกลับทันใด แต่เขาไม่สมหวังหรอกเมื่อฉันจับมือของเขาแน่น
เขามองฉันอย่างดุดันแล้วหันหน้าหนี ถึงฉันจะใส่ส้นสูงแต่ฉันก็เป็นผู้หญิงที่สูงแค่หนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร จึงไม่เห็นหน้าเจ้านายที่สูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรคนนั้น
แน่ล่ะ เขาเหมาะสมที่จะเป็นคนชั้นสูงจริง ๆ
ลิฟต์เลื่อนลงมาจนถึงชั้น 18 เพราะในลิฟต์มีเพียงฉันและเขาเท่านั้นความเงียบจึงปกคลุมเราทั้งคู่ตั้งแต่ก้าวเข้ามา ประตูลิฟต์เปิดออก เสียงดังโหวกเหวกเพราะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่กำลังเบียดเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
คนพวกนั้นไม่รู้มีกี่คน แต่พวกเขาเหมือนจะไม่รู้ว่ามีคนอยู่ในลิฟต์ก่อนหน้าเขา พวกเขาดันฉันจนเกือบจะล้มถ้าไม่ได้จับแขนเจ้านายเอาไว้
เจ้านายมองฉันเมื่อนมของฉันเบียดกับแขนของเขาอีก สุดท้ายเราทั้งคู่ถูกอัดอยู่ในลิฟต์โดยแขนของเขาโอบร่างของฉันเอาไว้อย่างปกป้อง
"เสื้อสูทตัวนี้ราคาเท่าไหร่"
ฉันเงยหน้ามองเขาเมื่อจู่ ๆ เขาก็ถามฉันขึ้นมา แน่นอนว่าฉันเป็นคนสั่งซื้อให้เขาเองย่อมรู้ราคาเป็นอย่างดี
"ประมาณแสนกว่าบาทค่ะ"
เขาก้มหน้าหล่อ ๆ ลงมาจนทำฉันใจสั่น ใบหน้านั้นแนบชิดจนแทบจะแตะจมูกของฉัน
"จำได้นี่ อย่าให้เด็กที่อยู่หลังเธอทำไอศกรีมเปื้อนเสื้อเด็ดขาด"
เขาบอกฉันแบบนั้น ฉันจึงเข้าใจแจ่มแจ้งที่จริงเขาไม่ได้คิดจะปกป้องฉัน แต่คิดจะปกป้องสูทราคาแพงของเขาต่างหาก
“ค่ะ”
ฉันพยายามจะหันหลังไปบอกเด็กคนนั้นให้ระวัง แต่ยิ่งขยับก็ยิ่งเบียดเข้าไปในวงแขนของเขา นมของฉันตอนนี้อัดอยู่ที่ช่วงหน้าอกของเขาจนบี้แบนออกด้านข้าง
ฉันได้แต่ร้องในใจว่าตายห่า
เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นเจ้านายทำหน้าเคร่งเครียด เขาคงเข้าใจว่าฉันเริ่มอ่อยเขาอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์มันบังคับ
"ฉันไม่ได้คิดจะอ่อยเจ้านายนะคะ"
เขามองฉัน เพราะฉันพูดเสียงเบาเขาไม่ได้ดิน คนเข้ามาจนแน่นและลิฟต์ก็ดังขึ้นเพราะน้ำหนักมากเกินกำหนด แต่คนจีนพวกนี้เอาแต่พูดโหวกเหวกไม่ยอมมีใครออกจากลิฟต์ จนไกด์ท่องเที่ยวที่ดูแลพวกเขาต้องมาขอร้องให้ใครสักคนออกมา
เขามองฉัน เหมือนจะถามว่าเมื่อกี้ฉันพูดอะไร ฉันจึงเขย่งเท้าอีกครั้งทั้ง ๆ ที่ยืนบนส้นสูงก็ยังดูเตี้ย เจ้านายก้มลงมาพอดี พอฉันเงยหน้าขึ้นทั้งเขย่งเท้าแบบนี้ ปากของเราทั้งสองก็สัมผัสกันทันใด
ฉันกำลังจะอ้าปากบอกเขาว่า ฉันไม่ได้คิดจะอ่อยเขา แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าฉันเป็นฝ่ายจูบเขาเต็ม ๆ และฉันรู้ว่าเขากำลังยกมุมปากยิ้มเยาะ และมองฉันด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ
เอาละ เรื่องซวยมาถึงอีกจนได้ เขาเข้าใจผิดอีกรอบ
ฉันขยับตัวหันหน้าหนีเขา ในลิฟต์ไม่มีใครสนใจเรานอกจากเด็กคนนั้นที่ถือไอศกรีมอ้าปากค้าง เด็กคงตกใจ เมื่อเด็กคนนั้นพูดภาษาจีนรัว
ฉันพูดจีนได้บ้างแต่ไม่เก่งนัก ก็พอฟังออกว่าเด็กพูดว่าอะไร
"แม่ครับ พี่คนนี้กำลังกินปากผู้ชายคนนั้น"
เจ้านายของฉันถึงกับหลุดขำออกมา เขาพูดจีนเก่งกว่าฉันเขาต้องเข้าใจชัดเจนอยู่แล้วว่าเด็กพูดอะไร เขาส่ายหน้าแล้วพูดหน้าตาเฉย
"พี่ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่มด เมื่อคืนยังพยายามกินพี่ทั้งตัวอีกด้วย"
เขาพูดกับเด็กคนนั้นด้วยภาษาจีนกลับ แม่ของเด็กหน้าแดง ฉันหูแดงเพราะอายและเผลอหยิกเจ้านายไปครั้งหนึ่ง ในขณะที่เจ้านายทำหน้าเรียบเฉย
เขายังกระซิบบอกฉัน
“ก็จริง เธอกินฉันจนฉันรู้สึกว่าเนื้อของฉันคงจะหลุดคาปากเธอไปแล้ว ยิ่งตรงส่วนนี้ของฉันเธออมเอาไว้ในปากแทบไม่คาย อืม สงสัยคงอร่อยมาก”
ฉันแน่นิ่งไปทันที หูแดงหน้าแดงไปหมดเมื่อนึกภาพตัวเองที่ทำแบบนั้นจริง ๆ
น้ำของเจ้านายอร่อยมากมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เพราะเขาเป็นคนรักสุขภาพ ฉันยอมรับว่ารักตรงส่วนนั้นที่ทำให้ฉันมีความสุข แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาแฉกันแบบนี้
“เป็นอะไร ไม่ต่อปากต่อคำแล้วเหรอ แต่ก่อนฉันมองเธอผิดไป คิดว่าเป็นคนไม่ค่อยพูด ที่ไหนได้เมื่อคืนครางทั้งคืนเลย”
“ตลกตายล่ะ”
ฉันเงยหน้าจ้องตาเขาไม่ลดละ เจ้านายยิ้มหล่อร้ายกาจ เขาเป็นคนปากร้ายนิด ๆ ฉันรู้ดี ยิ่งตอนจิกกัดพวกคณะกรรมการยิ่งน่ากลัว
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจิกกัดฉันในเชิงชู้สาวแบบนี้ ฉันไม่ชินเอาเสียเลย
แล้วยังมีมุกฝืด ๆ แบบนี้อีก
ฉันรู้ดีว่ามุกตลกของเขานอกจากจะไม่ขำแล้วยังฝืดมาก ๆ อีกด้วย ที่ผ่านมาฉันแค่แกล้งหัวเราะให้เขาพอใจ แต่ตอนนี้ฉันไม่สามารถแกล้งขำได้อีกแล้ว
ในใจได้แต่ภาวนาว่าเมื่อไหร่จะถึงชั้น G จะได้หลุดไปจากที่นี่สักที เพราะตอนนี้นอกจากเจ้านายจะกอดฉันแล้ว
สองมือของเขายังกำลังคลึงสะโพกของดินระเบิดของฉันอยู่ทั้งยังกกกอดและแลบลิ้นออกมาเลียใบหูของฉันจนฉันร้อนแฉะไปทั้งตัว