ตอนที่ 14/1 ‘คมเขี้ยวของคนน้อง’

3200 Words
หลังจากเดินหนีออกมาไกลพอสมควรแล้ว นิมมานก็หยุดฝีเท้าลงเบิกตากว้างมองทิวทัศน์เบื้องหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจทันทีที่ได้เห็นทะเลสาบกว้างใหญ่ ซึ่งอยู่ด้านหลังตึกของโรงอาหารราวสองร้อยเมตร บรรยากาศร่มรื่นเงียบสงบ สายลมเย็น ๆ พัดเส้นผมของเด็กหนุ่มให้คลอเคลียใบหน้างดงามผสานความอ่อนหวานละมุน บางครั้งก็ดูน่ารักจิ้มลิ้มเหมือนเด็กน้อยต้องคอยเอาใจใส่ บางคราวก็ยั่วยวนใจกระตุ้นให้เกิดกิเลสตัณหาได้ง่าย ๆ เพียงเพราะไม่ระวังตัว ดวงตาเรียวสวยวาวใสราวกับคริสตัลส่องประกายแข่งกับแสงระยิบระยับบนผิวน้ำยามต้องแสงจันทร์ นิมมานขบเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะผุดยิ้มเศร้ารู้สึกเวทนาตัวเอง เขาต้องมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ถึงภาพตรงหน้าจะสวยงามน่าตกตะลึงพรึงเพริดแค่ไหน ก็ไม่ใช่ที่ที่เขาควรอยู่ แค่เดินลงมากินข้าวในโรงอาหารก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของชาติตระกูล ฐานะ และสังคม คนพวกนั้นเกิดมาร่ำรวยมีเงินทองกินใช้ไม่มีวันหมด ไม่เหมือนอย่างเขาที่เป็นเพียงคนธรรมดาฐานะปานกลาง ต้องดิ้นรนหาเงินกินจ่ายเพื่อมีชีวิตรอดไปวัน ๆ ให้เอาเงินไปทิ้งขว้างซื้อเสื้อผ้าข้าวของแพง ๆ ใส่ หรือไปนั่งกินอาหารในภัตตาคารหรูคงไม่ไหว คนในมหา’ลัยนี้ทำเหมือนกับว่าทุกอย่างซื้อได้ด้วยเงิน ขอแค่มีเงินก็ได้ทุกสิ่งมาไว้ในกำมือ ซึ่งเขาไม่ปฏิเสธว่ามันคือความจริง เงินคือปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต ดลบันดาลให้เราได้ทุกสิ่งที่ต้องการ รวมถึงอำนาจและอภิสิทธิ์ต่าง ๆ ที่เหนือกว่าคนในชนชั้นเดียวกัน ใบหน้าเรียวเล็กแหงนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาวมากมายพากันเปล่งแสงสุกสกาวงดงามราวกับภาพวาด นิมมานสูดหายใจเข้าลึกพยายามปรับอารมณ์ให้กลับเข้าที่เข้าทาง คนอย่างเขาอมทุกข์หรือซึมเศร้านานๆ ไม่ได้หรอก ในแต่ละวันยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ เขาจะต้องเข้มแข็งเข้าไว้ “มัวเหม่ออะไรอยู่” เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนเสียงฝีเท้าจะมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นใคร “นิมเห็นทะเลสาบที่นี่สวยดีก็เลยมองเพลินมากไปหน่อย” แววตาของนิมมานสั่นไหวคล้ายกับผิวน้ำของทะเลสาบที่ถูกก้อนหินในมือไตรวิชญ์โยนลงไปจนเกิดเป็นวงคลื่นกระทบต่อ ๆ กัน โอเมก้าหน้าสวยหันมองคนข้างกาย เพราะว่าคนพี่เงียบไปนานเลยสงสัยว่าเป็นว่าอะไร แต่เพียงแค่ได้สบตากันก็ราวกับทุกสิ่งรอบตัวได้หยุดเคลื่อนไหว ดวงตาคมปลาบวาวโรจน์เจิดจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์จับจ้องมาด้วยความรู้สึกที่ชวนให้หวั่นไหวใจกระตุกสั่น เป็นความชื่นชอบผสมผสานกับความพอใจ มีความเสน่หาลุ่มหลงและความปรารถนาลึกล้ำที่ยากจะบรรยาย คนถูกจ้องได้แต่ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างหวั่น ๆ บรรยากาศแบบนี้ดูเหมือนจะเป็นใจให้พวกเขาสองคนได้เปิดใจยอมรับอีกฝ่ายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจริง ๆ สักที ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พวกเขาขยับเข้ามาใกล้กันขนาดนี้ รู้ตัวอีกทีกำแพงที่ขวางกันไว้ก็บางลง เพียงใช้มือสัมผัสก็แทบจะพังทลายลงมา ทว่า…นิมมานกลับไม่ยอมแตะต้องมัน อีกเสี้ยวหนึ่งของจิตใต้สำนึกบอกว่าเขายังไม่พร้อมจะเชื่อใจคนคนนี้ทั้งหมด เรื่องเดียวที่ทำให้เขาอ่อนไหวได้ก็คือลูก เพราะโอเมก้านั้นอ่อนแอถูกกำหนดให้ต้องเป็นทาสรองรับอารมณ์พวกอัลฟ่า เขาถึงไม่กล้าคาดหวังว่าจะได้รับความรักความเมตตาจากอีกฝ่ายมากนัก แค่ไม่ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกส่งไปเป็นของบรรณาการของขวัญให้ใครก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว จะกล้าหวังในสิ่งที่แทบไม่มีทางเป็นไปได้ได้อย่างไร หลายปากหลายเสียงจากคนรอบข้างทำให้เขารู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา คอยระวังไม่ให้เผลอเข้าใกล้คนพวกนั้นเพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่รอดปลอดภัยไปนาน ๆ หากไม่เพราะพบคู่แห่งโชคชะตา เขาคนนี้ก็คงจะเป็นเพียงโอเมก้าธรรมดาใช้ชีวิตอย่างติดดินต่อไป ไตรวิชญ์จับกระแสอารมณ์ความรู้สึกของคนน้องได้จึงก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้นอีกหนึ่ง แต่แค่ก้าวเดียวก็ขยับมาประชิดตัวคว้าเอวบางของ โอเมก้าหน้าเด็กให้บดเบียดแนบชิดกันจนไม่เหลือช่องว่าง ดวงตาเรียวรีเบิกกว้างมองอย่างตกใจ ริมฝีปากบางเผยอค้างทำอะไรไม่ถูก นิมมานลมหายใจสะดุดไปตั้งแต่ที่ถูกรั้งตัวให้เข้าหาคนพี่ อ้อมแขนอบอุ่นจนเกือบร้อนจัดราวกับจะแผดเผาเขาให้มอดไหม้ ขณะเดียวกันก็หวานซ่านอิ่มเอมในหัวใจ ความใกล้ชิดนี้เหมือนเป็นสัญญาณว่าระยะห่างของพวกเขาร่นลงอีกนิด รู้สึกถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่เพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย เปลือกตาบางหลุบลงมองระดับอกของคนตัวสูงกว่า เรียวปากแดงระเรื่อเม้มเข้าหากันข่มกลั้นอาการขัดเขิน หายใจไม่ทั่วท้อง จะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรกับคนคนนี้เลยก็ดูเป็นการโกหกหลอกลวงตัวเอง ที่ผ่านมามีแค่แม่เท่านั้นที่คอยปกป้องเขา ก่อนที่ไตรวิชญ์จะก้าวเข้ามาในโลกของเขาและกระชากพาเขาไปยังโลกของตัวเอง เขาผูกพันทางจิตวิญญาณ เมื่อได้อยู่กับคู่แห่งโชคชะตาหัวใจเขากลับเปรมปรีดิ์จนสามารถฝากทั้งชีวิตไว้ใน ฝ่ามือคู่นี้ได้ ความคิดนั้นทำให้เขาตกใจไปชั่วขณะ พลันเกิดความกลัวขึ้นมาดื้อ ๆ เขาจะมอบทุกอย่างไว้ในมือของผู้ชายคนนี้ได้จริงหรือ? อัลฟ่าที่เพียบพร้อมไปหมดทุกอย่างอย่างไตรวิชญ์ เกิดมาก็รูปร่างหน้าตาดีมีชาติตระกูลสูงส่งอยู่เหนืออัลฟ่าด้วยกัน จะให้คุณค่าและความสำคัญกับโอเมก้าที่ไม่มีอะไรเลยอย่างเขาเหรอ ตอนนี้คนตรงหน้าเขากำลังรู้สึกอย่างไร “ในหัวมึงคิดเป็นแต่เรื่องไร้สาระหรือไง เลิกคิดฟุ้งซ่านกลัวนั่นกลัวนี่ไปเรื่อยเปื่อยสักที มึงคิดว่าคนอย่างกูจะมานั่งปั้นหน้า แสร้งทำตัวเป็นคนดีเพื่อหลอกกินแค่โอเมก้าหน้าโง่คนหนึ่งเหรอ ในสายตากูนอกจากมึงแล้วก็มองไม่เห็นใครอีก แค่มึงที่ทำให้กูรู้สึกว่าอยากมองเห็นอยู่สายตาตลอดเวลา” “มันคือความรู้สึกพิเศษที่เกิดขึ้นเฉพาะกับนิมแค่คนเดียวหรือเปล่า” ถึงจะกลัวกับการคาดหวังแล้วอาจต้องผิดหวัง ก็ยังอยากรู้คำตอบจากปากคนพี่ด้วยหัวใจอันสั่นเทา “อือ แค่มึงที่กูรู้สึกแบบนี้ด้วย” ไตรวิชญ์ยกมือขึ้นมายีผมนุ่ม ๆ ของไอ้เด็กมะลิจอมคิดมากจนหัวฟู ก่อนจะโน้มหน้าลงไปใกล้ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายของอีกฝ่าย แล้วประกบริมฝีปากหยักลงทาบทับบนกลีบปากบางแผ่วเบา ค่อย ๆ ตวัดปลายลิ้นเลียชิมความหวานล้ำอย่างละเมียดละไม ดูดดื่มความหอมหวานจากด้านนอกไปยังภายใน ชอนไชกวาดต้อนไปทั่วดื่มด่ำกับความหวานล้ำที่แผ่ซ่านชวนละลายในอุ้งปาก โดยมีลูกแกะใสซื่อคอยผลักดันปลายลิ้นโต้ตอบเขาอย่างน่ารักน่าใคร่ เสียงหัวใจของนิมมานเต้นไม่เป็นส่ำ รสจูบแสนหวานระคนเร่าร้อนนี้แทบทำให้เขาเสียการทรงตัวต้องขยุ้มเสื้อตรงอกของคนพี่เพื่อใช้เป็นหลักยึดไว้ พยายามจูบตอบกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ไป ๆ มา ๆ เหมือนจะเป็นเขาที่ถูกมอมเมาให้เคลิบเคลิ้ม รู้ตัวอีกทีก็ถูกหิ้วตัวมายังศาลาริมน้ำที่ไม่มีใครอื่นอีกนอกจากพวกเขา ร่างเพรียวบางในชุดสีพาสเทลเรียบง่ายนั่งหันข้างอยู่บนตักของอัลฟ่าหน้าโหด ซึ่งในเวลานี้เหมือนกับจะตัดขาดจากคนภายนอก รับรู้เพียงรสจูบที่โหยหาปรารถนาจะกลืนกินจากเจ้าของกลิ่นหอมเย็นซาบซ่าน ซึ่งคอยปั่นป่วนหัวใจเขาให้คันยุบยิบทุกครั้งเมื่อได้สัมผัสหรือแตะต้องด้วยปากและมือ “นิมปากเปื่อยแล้วนะ พอเถอะ อื้อ!” “เลิกคิดมากซะ นี่คือคำสั่ง” ไตรวิชญ์กัดปากจิ้มลิ้มน่ากินของนิมมานเร็ว ๆ แล้วกดหัวคนน้องให้ซบอกไว้ ไม่อยากให้เห็นสีแดงที่เข้มขึ้นบนหน้าตัวเอง ซึ่งไม่ได้เกิดจากความเขินแต่เป็นอารมณ์อย่างอื่นที่ต่อให้ตักตวงไปมากเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อ มีแต่จะอยากได้อยากช่วงชิงมากขึ้นอีก “ไม่คิดแล้ว เดี๋ยวถูกเฮียเอาเปรียบอีก” “ได้ผลประโยชน์ร่วมกันจะบอกว่ากูเอาเปรียบได้ยังไง แล้วตอนกูจูบมึงก็เคลิ้มเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เกือบเผลอทำรักกันตรงนี้ถ้ากูไม่หยุดตัวเองไว้ก่อน มึงก็คงปล่อยใจให้กูรังแกได้ง่าย ๆ” “ไม่จริง! นิมไม่ได้…!” “ป่านนี้รูหลังคงชื้นแฉะแล้วสินะ” ไตรวิชญ์กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ นัยน์ตาเป็นประกายอย่างรู้ทันเจือขบขันเมื่อเห็นคนถูกจับได้สะดุ้งสุดตัว หน้าแดงก่ำเหมือนลูกตำลึงสุกอยู่บนตักเขาไม่กล้าขยับตัว “ให้กูช่วยปลดปล่อยให้เอาไหม?” “บ้า! นิมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย!” “ปฏิเสธปากคอสั่นคิดว่ากูจะเชื่อมึงหรือไง ถ้าอยากสบายตัวก็รีบกลับขึ้นห้อง คราวนี้กูจะไม่ใส่เข้าไป แต่จะช่วยให้มึงหายทรมานด้วยอย่างอื่นแทน” มุมปากของอัลฟ่าหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลอมแดงเข้มขึ้นราวกับสีเลือดสะท้อนความคลุ้มคลั่งปั่นป่วนเหมือนกระทิงตัวใหญ่เตรียมพร้อมออกลุย แค่คิดภาพว่าตัวเองจะถูกไล่ขวิดเอาเป็นเอาตายเหมือนกับที่ที่แล้วมา เจ้าของใบหน้าเนียนใสอ่อนเยาว์ก็ถึงกับเหงื่อตกรีบส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไม่เสียเวลาหยุดคิดสักวินาที “มึงหยุดคิดสักนิดก็ได้” “คิดทำไมในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเฮียตั้งใจจะเอาเปรียบกัน ใครจะโง่ส่งอ้อยเข้าปากช้างกันเล่า!” “มึงรู้ไหมว่ากำลังเสือกฉลาดผิดเวลา” น้ำเสียงเย็นๆ มาพร้อมกับใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงไม่สบอารมณ์ เพราะถูกคนน้องกวนประสาทไม่ยอมไหลตามน้ำให้เขาได้รังแกต่อ “อยู่กับเฮียนิมก็ต้องฉลาดหน่อยสิ ไม่อยากโดนใครแถวนี้ด่าว่าโง่วันละหลาย ๆ รอบ นิมกลัวจะมีเขาอยู่บนหัวเข้าสักวัน” “รู้ดี” ไตรวิชญ์แสยะยิ้มร้ายแล้วบีบก้นนุ่มนิ่มของโอเมก้าหน้าสวยบนตักทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ ทำเอาร่างบางสะดุ้งโหยงตาโต ก่อนจะขบริมฝีปากล่างยกมือขึ้นทุบอกกำยำเต็มแรง แต่แทนที่คนพี่จะโกรธเคืองกลับหัวเราะเสียงดังลั่นพร้อมทั้งกระชับวงแขนแน่นขึ้นก้มลงปล้ำจูบลูกแกะตัวขาวอวบน่าฟัดน่ากัดกิน “หยุดนะเฮีย โอ๊ย! งับแก้มนิมทำไมไม่ใช่ขนมนะ ถอยออกไปสิ อื้อ! หะ…หายใจไม่ออกแล้ว” สองมือเรียวออกแรงผลักดันใบหน้าคมสันติดดิบเถื่อนของอัลฟ่าจอมหื่นให้เลิกฟัดแก้มจูบปาก กระทั่งอีกฝ่ายสมใจอยากแล้วถึงยอมผละหน้าออกมา “หวานดี” ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาร้อนแรงชวนหลอมละลายหลุบมองใบหน้าแดงก่ำร้อนฉ่า ดวงตาดำขลับแวววาวสั่นไหว และริมฝีปากจิ้มลิ้มบวมเจ่อเย้ายวน สภาพของไอ้เด็กมะลินี่น่าดูชมไม่น้อยเลย ถ้าไปเดินหลงทางอยู่ในที่เปลี่ยวแล้วมีอัลฟ่าผ่านทางมา มันต้องตรงมาฉุดกระชากลากตัวนิมมานไปปล้ำข้างทางแน่ แค่คิดว่าเด็กซื่อบื้อนี่อาจเผลอไปแสดงสีหน้ายั่วยวนน่ารักใคร่อย่างนี้ให้ใครเห็น เลือดในกายเขาก็พลันเดือดพล่านหงุดหงิดงุ่นง่านใจอย่างบอกไม่ถูก จู่ ๆ ใบหน้าของอัลฟ่าเถื่อนก็ตึงเครียดดุดัน แววตาเผยความอำมหิตเลือดเย็นวูบหนึ่งแล้วกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ทว่าช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงกลับนำพาความหวาดกลัวตื่นตระหนกมาสู่โอเมก้าในอ้อมแขน นิมมานตัวสั่นออกดิ้นสุดกำลังเพื่อหนีจากกลิ่นอายคุกคามร้ายกาจที่แผ่มาจากตัวไตรวิชญ์ เสียงหัวใจเขาเต้นดังจนหูอื้อ รู้สึกเวียนหัวหายใจไม่ออก ปากสั่นระริกซีดเซียวลงทุกที เขาใกล้จะทนกระแสอารมณ์โกรธเกรี้ยวของคนคนนี้ไม่ไหวแล้ว “มึงร้องไห้ทำไม” เหมือนไตรวิชญ์เพิ่งจะได้สติกลับมาถึงเก็บแรงกดดันเจือโทสะกลับคืนจนหมด และพอสบสายตากับคนน้องก็เผลอตกใจไปชั่วขณะ น้ำตาใสไหลพราก ๆ เหมือนทำนบแตก เนื้อตัวสั่นเทาพยายามหนีจากอ้อมอกเขาด้วยความกลัว “เฮียโกรธอะไร…ฮึก นิมกลัวนะ” “กูไม่ได้โกรธมึง แค่เผลอคิดเรื่องน่าโมโหนิดหน่อย มึงก็อย่าขี้แยให้มาก หน้าตาเลอะเทอะเปรอะเปื้อนหมดแล้ว” มือหนาช่วยเช็ดน้ำตาออกให้พลางขมวดคิ้วแน่นแทบผูกเป็นปม ร้องไห้หน้าตาขี้เหร่แบบนี้ก็ยังกระตุ้นให้เขาเกิดอารมณ์ได้ “เฮียคิดเรื่องอะไรถึงดูเดือดจัดเหมือนกับจะฆ่าคน” “เรื่องมึง” “มะ…หมายความว่ายังไง ทำไมถึงเกี่ยวกับนิมล่ะ เมื่อกี้ยังบอกว่าคิดเรื่องอื่นอยู่เลย” ดวงตาแดงระเรื่อเปียกชุ่มหยาดน้ำตามองคนพี่อย่างสงสัย เผลอตัวโกรธทีไรเป็นต้องปล่อยกลิ่นอันตรายมาคุกคามคนอื่นทุกที คนคนนี้รู้จักระงับอารมณ์ตัวเองบ้างหรือเปล่า เขาไม่ได้มีจิตใจเข้มแข็งพร้อมรับการโจมตีไร้รูปแบบของไตรวิชญ์ตลอดเวลาหรอกนะ เจอเข้าแบบไม่ทันตั้งตัวบ่อย ๆ อาจช็อกตายเข้าสักวัน “กูแค่คิดว่าถ้ามึงทำหน้าตายั่วยวนเหมือนเมื่อกี้ให้ใครเห็น คงมีพวกหื่น ๆ ลากตัวไปขย้ำ” “พวกหื่น ๆ นี่นับรวมเฮียเข้าไปด้วยไหม” “...” ไตรวิชญ์ไม่โต้ตอบกลับแต่เลือกจะใช้สองนิ้วคีบจมูกเล็กน่ารักแล้วออกแรงดึง “อื้อ! เจ็บ!” “กูยังน่ากลัวน้อยกว่าพวกมัน อย่างน้อยกูก็ไม่ทำเหมือนมึงเป็นแค่สัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่มีไว้ระบายอารมณ์ใคร่เพียงอย่างเดียว สัตว์เดรัจฉานอย่างพวกมันไม่มีจิตใต้สำนึกของความเป็นคน ไม่ปรานีเหยื่อ ไม่เห็นชีวิตโอเมก้าอย่างมึงมีค่าพอจะเก็บรักษาไว้ด้วยซ้ำ สิ่งที่คนรอบข้างกรอกใส่หัวมึงยังไม่เท่ากับความจริงที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน กฎหมายช่วยให้มึงอยู่รอดปลอดภัยไม่ได้ แต่กูสามารถทำได้” “...” น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังของไตรวิชญ์ทำให้คนฟังนิ่งชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอาคางมาเกยกล้ามอกแน่น ๆ ของคนพี่พลางทำหน้าตาใสซื่อถามคำถามทีเล่นทีจริง คำถามที่นิมมานรู้สึกค้างคาใจมานาน และวันนี้เขาก็อยากรู้คำตอบนั้นแล้วว่าควรไปต่อหรือหยุดพักใจไว้แค่นี้ “แล้วถ้าคนที่ทำร้ายนิมเป็นเฮียล่ะ ใครจะคอยปกป้อง” เมื่อคำถามนั้นหลุดออกมา ฝ่ายที่ต้องตอบก็ถึงกับเงียบกริบ ไตรวิชญ์ก้มมองดวงหน้าเรียวรูปไข่ขาวกระจ่างใสเหมือนผิวเด็ก พวงแก้มนุ่มนิ่มแดงระเรื่อดึงดูดให้ชายหนุ่มยื่นมือไปบีบเล่นทั้งสองข้างพลางกระตุกยิ้มมุมปาก สีหน้าดูผ่อนคลายกว่าตอนแรกมาก “กูไม่ทำร้ายมึงหรอก เลี้ยงไว้ดูเล่นนานๆ ดีกว่า” “เลี้ยงไว้ดูเล่น? เจอกันครั้งแรกเฮียก็เล่นงานนิมซะอ่วมแล้ว ถ้าอยู่กับเฮียนานกว่านี้นิมตายแน่ ช้ำหมดทั้งตัว ขอคำตอบที่มันจริงใจกว่านี้หน่อยสิเฮีย นิมจริงจังนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงนิมไม่มีทางสู้เฮียได้เลย” “มึงต้องการคำตอบแบบไหนล่ะ กำลังคาดหวังอะไรจากกูอยู่” “นิมถามก่อนนะ เฮียจะมาถามกลับได้ไง” นิมมานทำหน้ามุ่ยบุ้ยปากจนคนพี่อดรนทนไม่ไหวต้องยื่นมาไปดึงปากคนน้องเหมือนปากเป็ด “ไม่แน่จริงว่ะ ถามก่อนถามหลังแล้วเกี่ยวกันตรงไหน ถึงกูพูดไปมึงก็ไม่เชื่ออยู่ดี มึงแค่จำใส่หัวไว้ว่ากูไม่ทำร้ายใครอย่างไร้เหตุผล ถ้ามึงไม่ทำผิดก็ไม่มีเรื่องให้สั่งสอนตักเตือน กูจะตีก็ตอนที่มึงไม่เชื่อฟัง แต่ถ้าถึงขั้นฆ่าทิ้งศพหมกป่า…สู้เก็บมึงไว้คอยกวนใจกูยังจะมีประโยชน์ซะกว่าโยนทิ้งไปหลังใช้งานเสร็จ” “ฮึ่ย! ผู้ชายปากร้ายไม่น่ารักเลยนะ ถึงเฮียโกรธมากแค่ไหนก็จะไม่ทำร้ายร่างกายกัน นิมเข้าใจถูกใช่ไหม จะไม่ทุบตี ไม่ใช่กำลังรังแกนิม?” เด็กหนุ่มเอียงคอถามด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย คำขอนี้อาจมากเกินไปสักหน่อย เพราะโอเมก้าส่วนใหญ่ไม่เพียงแต่ถูกข่มเหงรังแก บางส่วนยังถูกจับไปขายตามซ่องหรือส่งเป็นของขวัญให้คนใหญ่คนโตได้สนองตัณหา บางคนครอบครัวก็เอานำลูกไปขายเพื่อเอาเงินก้อน ความเป็นอยู่หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของชะตากรรมว่าจะให้อยู่หรือตาย เขาโชคดีที่ตลอดเวลามีคนคอยช่วยเหลือ เขารับรู้เรื่องราวเลวร้ายแสนอาภัพของกลุ่มคนชนชั้นเดียวกัน โอเมก้าคนไหนอ่อนแอมีจิตใจไม่มั่นคงไม่คิดต่อสู้อีกก็แค่รอวันถูกทึ้งร่างฉีกกระชากเป็นชิ้น ๆ ก่อนโยนให้แร้งกากินต่อ “กูไม่ทำร้ายมึง ถ้ากูทำจริงก็วิ่งแจ้นไปฟ้องแม่กูได้เลย เดี๋ยวนี้ถามหาแต่มึงตลอด บ่นว่าอยากเจอหน้าบ้าง อยากกอดบ้าง อยากรับมาเป็นลูกบ้าง จนลืมลูกตัวจริงอย่างกูไปแล้วมั้ง พูดจาขัดใจเข้าหน่อยก็เดินหนี มึงเป็นลูกรักแม่กูไปแล้ว” “เฮียจะไม่ทำร้ายนิมจริง ๆ ใช่ไหม” “ตัวเท่าเมี่ยงแกล้งไปก็ไม่สนุกว่ะ มึงอย่าคิดฟุ้งซ่านให้มาก เรื่องที่จะจับมึงหักกระดูกหั่นแล่เนื้อกูไม่ทำหรอก ถ้าจะลงโทษมึงมีตั้งหลายวิธีให้ทำ” “เฮียจะไม่ตบตีนิมใช่ไหม” นิมมานยังคงกลัวตามสัญชาตญาณของโอเมก้าที่เปรียบเสมือนสัตว์ตัวเล็ก ๆ ในฝูงหมาป่าดุร้ายชอบล่าเหยื่อ กลิ่นความกลัวที่แผ่มาจากร่างเล็กบางในอ้อมแขนทำให้ไตรวิชญ์กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นพลางก้มลงจูบกลางกระหม่อมสูดกลิ่นหอมของเส้นผมนุ่ม นิมมานถูหน้าไปมากับอกแกร่งแล้วซุกอยู่นิ่ง ๆ ที่ตรงนี้เป็นของเขา เป็นแหล่งพักพิงกายใจใช้หลบซ่อนตัวจากอันตรายทุกอย่างที่พุ่งเข้ามา อ้อมกอดนี้ช่างอบอุ่นเหลือเกิน…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD