ตอนที่ 15/1 ‘เพื่อนใหม่ที่ไม่ใช่เพื่อน’

2658 Words
เสียงนกร้องนอกหน้าต่างทำให้นิมมานรู้สึกตัวตื่น ก่อนจะตบมือลงบนฟูกนอนข้างตัวควานหาอะไรสักอย่างบนเตียงซึ่งตอนนี้หายตัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ความเย็นที่สัมผัสได้ทำให้เด็กหนุ่มย่นหัวคิ้วเข้าหากัน เปลือกตาขยับไปมาเล็กน้อยก็ยอมตัดใจลืมตาขึ้น แววตามีร่องรอยของความเกียจคร้านเจือปนอยู่ ร่างเพรียวบางยันตัวลุกขึ้นนั่งหัวฟูพลางกวาดสายตามองหาสิ่งมีชีวิตอีกคนหนึ่งในห้องแต่กลับว่างเปล่าไม่มีใครอื่นอยู่เลย ไตรวิชญ์ไม่ได้อยู่ในห้อง เพราะห้องน้ำเงียบกริบไม่มีเสียงการเคลื่อนไหว นิมมานขบเม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิด จากนั้นก็ม้วนตัวกลิ้งไปยังสุดขอบเตียงเหวี่ยงขาลงมาเหยียบพื้นพร้อมลุกขึ้นยืน สองเท้าเปลือยย่ำไปย่ำมาอยู่กับที่ครู่หนึ่งก็ตัดใจเดินเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวไปเรียน คนคนนั้นรีบออกไปข้างนอกแต่เช้าสงสัยมีธุระด่วนเข้ามาล่ะมั้ง วันนี้เขามีเรียนตอนเก้าโมงต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จภายในยี่สิบนาที ไม่อย่างนั้นเข้าเรียนไม่ทันแน่ เมื่อวานก็โดดเรียนไปแล้ว ถ้าวันนี้ยังโดดอีกได้โดนอาจารย์แต่ละคนหมายหัว และอาจถูกนักศึกษาชั้นปีเดียวกันเขม่นเอาด้วย หรืออาจจะทุกชั้นปีเลยก็ว่าได้ สิบนาทีต่อมานิมมานก็ก้าวออกจากห้องน้ำ เพราะก่อนเข้าไปรีบร้อนเกินถึงลืมหยิบผ้าขนหนูติดมือมา ตอนนี้จึงเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่าไร้สิ่งใดปกปิดไว้ ประตูถูกแง้มเปิดออกเล็กน้อย ลูกตาดำสวยเหมือนกวางส่องผ่านช่องประตูมองหาคนพี่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา พอมั่นใจว่าอีกฝ่ายยังไม่กลับมาประตูก็เปิดกว้างขึ้น เรียวขาเสลายื่นออกมาข้างหนึ่งแล้วตามด้วยอีกข้าง พริบตาเดียวนิมมานก็วิ่งฉิวไปหลบอยู่แถวตู้เสื้อผ้า ร่างเพรียวบางขาวจั๊วะเนียนนุ่มอิ่มน้ำ สัดส่วนโค้งเว้าแทบไม่แตกต่างจากผู้หญิง ใบหน้าเรียวรูปไข่เล็กเท่าฝ่ามือ ดวงตาหยาดเยิ้มสวยหวานเย้ายวนโดยไม่รู้ตัว ไม่รับรู้เลยว่ารูปลักษณ์ภายนอกมีเสน่ห์ดึงดูดใจให้หลงใหลได้แม้แต่เพศเดียวกัน ให้เกิดความชมชอบอยากคว้าตัวมากอดรัดพันธนาการไว้ในอ้อมแขนแล้วบดขยี้กลืนกินเข้าไปทั้งตัว ไตรวิชญ์ไม่ได้ส่งเสียงร้องทักให้คนน้องรู้ตัวว่าเขากลับมาถึงห้องแล้ว สายตาคมพร่าคุกรุ่นมองก้อนกลมขาวอวบสองลูกขยับกระเพื่อมไหวขึ้นลงตามจังหวะก้าว เลือดในกายพลันร้อนรุ่มพลุ่งพล่าน ร่างสูงกำยำอยู่ในชุดสูทสีเทาคลุมทับเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมลงสองเม็ดเห็นกล้ามอกแน่นหนั่นรำไรพอเซ็กซี่ ชายหนุ่มนั่งไขว่ห้างพลางวางมือไว้บนที่พักแขนเคาะนิ้วเบา ๆ ยิ่งเห็นคนน้องรีบร้อนแต่งตัวยัดนู่นยัดนี่จนใส่ผิดใส่ถูกก็ผุดยิ้มเอ็นดู นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงทอแววอ่อนโยนอย่างที่นานครั้งจะได้เห็น บรรยากาศเข้มแข็งกดดันพลันมลายหายไปเหลือเพียงความอบอุ่นที่แผ่กระจายออกมารอบตัว กลิ่นแสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องบนทุ่งหญ้าเขียวขจีในป่าใหญ่ทำให้นิมมานรู้สึกตัวได้ทันทีว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องด้วยนอกจากเขา และคงจะเป็นใครไปไม่ได้หากไม่ใช่เจ้าของห้องนี้ ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความอับอาย จะหันกลับไปก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไง แค่คิดว่าต้องปะทะกับสายตาร้อนแรงที่ส่งมาล้อเลียนหยอกเย้า ตัวเขาก็ร้อนวูบวาบแดงเถือกเป็นกุ้งเผาแล้ว! “เขินอะไร ทำเหมือนกูไม่เคยเห็นมึงโป๊ไปได้ นอนเอากันอยู่ทุกวันมีตรงส่วนไหนบ้างที่กูไม่เคยเห็น จะนม จะตูด หรือนิมหนอนน้อยก็เคยเห็นมาหมดแล้ว ถ้าอายมากนักให้กูแก้ผ้าต่อหน้ามึงตอนนี้เลยไหม กูเฉย ๆ มาก มีแต่มึงที่ไม่ยอมชินสักที” “ใครจะไปหน้าหนาเหมือนฉาบปูนไว้อย่างเฮียกันเล่า! นิมไม่ชอบโป๊ต่อหน้าคนอื่น เฮียรีบหันหน้าไปเร็ว ๆ สิ นิมจะแต่งตัวแล้ว จ้องอย่างกับจะจับกินลงท้อง นิมไม่ใช่อาหารนะ!” “ตอนนี้มึงก็ไม่ได้โป๊อยู่ แล้วกูอยู่มาตั้งนานมึงยังแต่งตัวได้เลย ตอนนี้ทำไมถึงอยากให้หันไป แกล้งทำเป็นไม่รับรู้ว่ากูอยู่ตรงนี้เหมือนอย่างตอนแรกซะก็สิ้นเรื่อง กูไม่ว่าอะไรหรอกถ้ามึงจะโชว์ของสวย ๆ งาม ๆ ให้กูเห็น” น้ำเสียงทุ้มเข้มเจือรอยขบขัน ทำเอานิมมานเขินจัดหน้าแดงแปร๊ดร้อนผ่าวไปทั้งหน้า หากเด็กหนุ่มจะหันกลับมามองสักนิด ก็จะได้เห็นอัลฟ่าที่ตัวเองมักค่อนขอดในใจอยู่เสมอว่าหน้าโหดกำลังมีรอยยิ้มอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ ทอประกายสวยงามอย่างที่นาน ๆ ครั้งจะปรากฏให้เห็นสักที “คนคนนี้…ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยจริง ๆ” เสียงห้าวหวานโอดครวญด้วยสีหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ ฉับพลันขนหลังคอก็ลุกตั้งตัวแข็งทื่อ เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคุ้นเคยที่เข้าประชิดตัว ไอร้อนจากร่างสูงใหญ่ด้านหลังถ่ายทอดมายังร่างขาวนวลเกลี้ยงเกลาไร้ตำหนิ ใบหน้าเนียนใสอ่อนวัยยิ่งแดงก่ำเหมือนมะเขือเทศเนื้อฉ่ำ นิมมานกัดปากข่มกลั้นความเขินอายสุดขีด ทั้งที่หัวใจทั้งดวงกระดอนกระโดดหนีออกนอกหน้าต่างไปแล้ว “ถ้ามึงแต่งตัวเองไม่ได้ เดี๋ยวกูช่วย” “มะ ไม่ต้อง! นิมแต่งตัวเองได้ เฮียกลับไปนั่งรอที่เดิมเถอะ” “แต่กูอยากช่วย” “นิมไม่อยากให้ช่วยไง! น่าอายจะตาย” “หึ” เสียงหัวเราะในลำคอของคนข้างหลังทำให้นิมมานรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกาน้ำร้อนที่ถูกปิดฝาไว้แล้วน้ำกำลังเดือดปุดๆ ส่งเสียงฟู่ ๆ ๆ มือบางยกขึ้นจับหูที่ร้อนจี๋เหมือนคนเป็นไข้ จนถึงตอนนี้เขารู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกแกล้งอยู่ ใบหน้าเรียวเล็กย่นยู่บูดบึ้งตวัดสายตาขุ่นมัวมองคนพี่ที่หาเรื่องแกล้งให้อับอายแต่เช้า นิมมานไม่อยากสนใจไตรวิชญ์อีกเลยเดินหนีไปอีกทางพร้อมกับคว้ากางเกงที่ยังไม่ได้ใส่ติดมือมาด้วย ก่อนหน้านี้เขารีบร้อนใส่เสื้อเลยติดกระดุมผิดรู มือเล็กไล่ปลดกระดุมออกแล้วติดใหม่ด้วยหัวใจสั่นไหวเต้นแรงไม่เป็นส่ำจนกลัวว่าอัลฟ่าเถื่อนข้างหลังจะได้ยิน “เสร็จแล้ว! “ เสียงหวานโพล่งบอกทันทีที่แต่งตัวเสร็จ นิมมานถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากยัดเสื้อกับกางเกงลงบนตัวได้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว รอดพ้นจากขันอาสาของคนพี่อย่างหวุดหวิด แต่พอหันหน้าไปมองก็เห็นใบหน้าคมเข้มดิบเถื่อนมีรอยยิ้มเยาะคล้ายกับสะใจที่ได้เห็นอาการทำตัวไม่ถูกของเขา “นิสัยไม่ดี ชอบแกล้งคนอื่น! “ “กูแกล้งอะไรมึง คนที่ตื่นตูมคิดเพ้อเจ้อฟุ้งซ่านไปเองก็คือมึง กูอยู่ของกูเฉย ๆ เห็นมึงแต่งตัวไม่เสร็จสักที มันรำคาญสายตา กูเลยหวังดีอยากช่วย” “ใครจะเชื่อว่าเฮียจะแค่ช่วยเฉย ๆ ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝง อย่าคิดว่าคนอื่นจะดูไม่ออกนะว่าเฮียคิดอะไรอยู่” “แค่มองหน้ากูก็รู้แล้ว ทำไม บนหน้ากูมีแผ่นกระดาษแปะอยู่ตัวเบ้อเร่อว่าอยากปล้ำมึง?” “เฮียคิดจะทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ!” “แค่ยกตัวอย่างเว้ย!” “แปลว่าไม่ได้คิดจริง?” “คิด แต่ไม่ทำอะไรมึงตอนนี้หรอก อยากไปเรียนก็รีบเข้า ใกล้จะสายแล้ว” ไตรวิชญ์แกล้งตีหน้าดุ ขมวดคิ้วเข้มๆ ใส่คนตัวเล็กกว่าที่ย่นหัวคิ้วมองหน้าเขาอยู่ “ไปสิไป แต่เฮียไปส่งนิมหน่อยได้ไหม นิมไม่รู้ว่าตึกเรียนอยู่ตรงไหน” ดวงตากลมวาวสดใสเจือแววออดอ้อน ใครเห็นเข้าจะทำใจแข็งปฏิเสธลงได้ยังไง “กูก็ไม่คิดให้มึงไปเรียนคนเดียวอยู่แล้ว ยิ่งซื่อบื้ออ่อนต่อโลกอยู่ด้วย” “นิมไม่ได้ซื่อบื้อสักหน่อย! อ่อนต่อโลกอะไรกัน ในสายตาเฮียนิมมีอะไรดีบ้าง ไปเรียนแล้ว เฮียรีบนำทางไปสักทีสิ” นิมมานพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง แล้วรีบเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์ที่ไตรวิชญ์ซื้อไว้ให้ใช้งาน มายัดใส่กระเป๋ากางเกง ร่างเพรียวบางสวมใส่ชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนสุภาพเรียบร้อยคลุมทับด้วยสูทสีเทาใหญ่กว่าตัวเล็กน้อยและกางเกงขายาวสีเดียวกัน เด็กหนุ่มก้าวออกจากห้องนอนเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายหลังสีขาวเบาหวิวมาคล้องไหล่ ในนั้นมีหนังสือไม่กี่เล่ม ปากกา ดินสอ ยางลบ สมุดจด และมีลูกอมเอาไว้อมเล่นเพลิน ๆ แล้วเดินตามหลังร่างสูงใหญ่เจ้าของแผ่นหลังกว้างให้ความรู้สึกเหมือนผู้ใหญ่ดูอบอุ่นอยู่ด้วยแล้วสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เพียงแต่ไอ้หน้าตาดุ ๆ เสียงเข้ม ๆ อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่เอานอนไม่ได้ของไตรวิชญ์ ทำเอาทุกคนไม่กล้าเข้าใกล้ แล้วยังมีบางครั้งที่เผลอปล่อยกลิ่นอันตรายเล่นงานคนอื่น พวกอัลฟ่าด้วยกันอาจรู้สึกยำเกรงหวาดหวั่นในพลังอำนาจที่เหนือกว่า แต่โอเมก้าอย่างเขาแค่ได้กลิ่นก็สั่นกลัวหัวหด ทั้งเวียนหัวและอึดอัดทรมานเหมือนถูกอะไรบางอย่างกดทับลงมาจนหายใจไม่ออก อยู่ใกล้แล้วจะหน้ามืดทุกที “ยืนเซ่อทำอะไรอยู่ตรงนั้น จะไปเรียนไหม หรือจะอยู่ในห้องต่อ” “ไปสิ ไม่ไปจะแต่งตัวหล่อเนี้ยบแบบนี้เหรอ” “หน้าอย่างมึงโคตรห่างไกลคำว่าหล่อ รีบ ๆ ตามมา เดี๋ยวกูเปลี่ยนใจจับขังมึงไว้ในห้องซะเลย” ไตรวิชญ์มองเจ้าของร่างบอบบางในชุดสูทสีเดียวกับเขา แต่เสื้อเชิ้ตด้านในเป็นสีฟ้าอ่อนทำให้ดูน่ารักสดใส ทั้งที่ตอนเจอกันครั้งแรกก็พูดจาหยาบคาย แต่ยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งค้นพบว่าเด็กนี่เป็นเด็กดีอยู่ในโอวาท ไม่ชอบทำผิดกฎระเบียบและมีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ เรื่องมารยาทก็น่าชื่นชม หากไม่ถึงคราวจวนตัวชีวิตตกอยู่ในอันตราย เด็กนี่คงไม่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองแน่ พอนิมมานเดินตีเสมอกับคนตัวโตกว่าก็ถูกท่อนแขนล่ำสันตวัดมารวบเอวบางรั้งให้เข้าหาตัว แวบแรกไอ้เด็กมะลิตกใจตาตั้งทำท่าจะขืนตัวหนี แต่ครู่เดียวก็ตั้งสติพรูลมหายใจยาว ร่างกายผ่อนคลายอาการเกร็งยอมอยู่ในอ้อมแขนเขาแต่โดยดี มีเอนหัวไหล่เขาด้วย ไอ้เด็กมะลินี่ก็รู้จักอ้อนเป็น หลังจากแวะซื้อขนมปังแฮมโปะหน้าด้วยไข่ดาวไม่สุกกิน ไตรวิชญ์ก็พานิมมานมาส่งยังหน้าห้องเรียนแล้วเดินจากไป ทันทีที่เห็นหน้าเขา เด็กหนุ่มไม่แปลกใจเลยที่หลาย ๆ คนในห้องจะหันมามองด้วยอารมณ์หลากหลาย สายตาพวกนั้นพุ่งตรงมาเหมือนจะเจาะทะลุร่างเขา มีทั้งสงสัย ทั้งตั้งคำถาม รวมถึงความอิจฉาริษยาของพวกผู้หญิง โดยเฉพาะกลุ่มหลังห้องที่มีแต่อัลฟ่าหญิงมากระจุกกองอยู่ด้วยกัน เขาเลื่อนสายตาไปมองอาจารย์ประจำวิชา เธอไม่ได้ตำหนิอะไรเขา เพราะคงพอรู้ประวัติความเป็นมาของเขาบ้างแล้ว “นายก็เรียนอยู่คณะนี้เหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะบังเอิญเจอกันอีก” “...” คนถูกทักเงยหน้ามองเขาแล้วก้มลงอ่านหนังสือต่อ นิมถอนกายใจเดินเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวตัวเดียวกับ โอเมก้าหน้านิ่งไร้อารมณ์ โดยทิ้งระยะห่างถึงสองช่วงตัวเพื่อไม่ให้อีกคนรำคาญใจหรือรู้สึกอึดอักที่ต้องคุยกับเขา “คราวก่อนนายเป็นไงบ้าง น้องสาวนายได้ทำร้ายหรือพูดจาแย่ ๆ ใส่อีกไหม” เขาถามต่ออย่างไม่ยอมแพ้ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกถูกชะตากับคนคนนี้ เพลินตาแกล้งเมินเฉยทำเป็นไม่ได้ยินเพราะไม่อยากสุงสิงกับใคร เนื่องจากปัญหาที่บ้านก็วุ่นวายมากพออยู่แล้ว เขาที่เป็นลูกนอกสมรสไม่ได้รับอนุญาตให้สนิทสนมกับใครทั้งนั้น แต่โอเมก้าคนนี้เคยช่วยเหลือเขาไว้ในตินที่ถูกน้องสาวและพรรคพวกรุมล้อมจะทำร้าย ถึงจะไม่ได้ร้องขอก็จำเป็นต้องขอบคุณ คิ้วเรียวคลายปมที่ขมวดติดกันออก นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มลดความแข็งกร้าวลง แม้จะยังถือตัวอยู่บ้างก็ดูเป็นมิตรมากกว่าตอนแรก “ขอบคุณที่เมื่อวานนายเข้ามาช่วยฉันไว้” “อื้อ ฉันก็แค่คนที่ผ่านทางมา เผลอตัวอีกทีก็ไปโผล่อยู่แถวนั้นแล้ว นายไม่ต้องขอบคุณหรอก” นิมมานไม่ได้ถือสาท่าทางไม่พอใจตอนที่เขาไปเล่นงานน้องสาวของอีกฝ่าย เขาเข้าใจว่าเรื่องภายในครอบครัวเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ซับซ้อนมากแค่ไหน และคนนอกอย่างเขาไม่มีทางเข้าใจ หากไม่ได้ลงไปสัมผัสคลุกคลีด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าที่เขาเข้าไปยุ่งเรื่องเมื่อวานจะสร้างความเดือดร้อนให้คนคนนี้ไหม จะโดนน้องสาวสุดที่รักเอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปฟ้องพ่อของเธอหรือเปล่า “แต่ทางที่ดีอย่าสนิทกับฉันเลย อยู่ให้ห่างเข้าไว้จะเป็นผลกับทั้งสองฝ่าย” “ฉันยังไม่ได้พูดอะไร นายก็รู้ความคิดในใจฉันซะแล้ว เจ๋งแฮะ ฉันอยากเป็นเพื่อนกับนาย” นิมมานบอกความต้องการของตัวเอง โดยที่คราวนี้ไม่ได้หันกลับไปมองสีหน้าของคนข้าง ๆ อีก เพราะอาจารย์เริ่มต้นสอนวิชาบังคับ ที่นี่ไม่มีกิจกรรมรับน้องเหมือนที่อื่นเพราะมีทั้งอัลฟ่าโอเมก้ารวมตัวอยู่กันเต็มไปหมด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหายุ่งยากที่จะตามมา นี่เป็นข้อดีอย่างหนึ่ง เพราะเขาสนใจแต่เรื่องเรียน อย่างอื่นเช่นออกไปสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนฝูงหรืออยู่รวมกันเยอะ ๆ ในที่แออัด ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย จนกว่าเขาจะมั่นใจว่าสามารถปกป้องตัวเองได้เต็มร้อยแบบไม่ต้องพึ่งพาใครก็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว รู้ว่าควรหลบอยู่ตรงไหนในที่ของตน “เป็นอยู่แบบนี้ก็ดีแล้ว เป็นแค่คนที่บังเอิญผ่านทางมาเจอกัน” “คนแปลกหน้าเหรอ แต่เราต้องเจอกันบ่อยเลยนะ ตราบใดที่ยังเรียนคณะเดียวกันก็ต้องเจอกันทุกวัน” น้ำเสียงกึ่งขบขันของนิมมานทำให้เพลินตาย่นคิ้วหน้าตึง นึกว่าอีกฝ่ายจะยอมเข้าใจอะไรง่าย ๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาอธิบายซะอีก “ฉันเป็นเพื่อนกับใครไม่ได้ ไม่ว่ากับนายหรือกับใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น” “ไม่ได้เลยสักคน! บ้านนายโหดหินกว่าที่ฉันคิดไว้ ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นเพื่อนก็ได้” เพลินตาใจหายวูบเมื่อได้ยินคำพูดยอมแพ้ของอีกฝ่าย เขาไม่เคยเจอใครที่ดูท่าทางเป็นกันเอง นิสัยง่าย ๆ สบาย ๆ เหมือนกับเข้าใจทุกอย่างดีโดยไม่ต้องพูดอะไรกัน หากไม่ติดปัญหาส่วนตัวเขาก็อยากทำความรู้จักกับโอเมก้าคนนี้ให้มากขึ้น เห็นสีหน้าซับซ้อนเหมือนกับมีหลายเรื่องที่แบกไว้จนไม่อาจทำอะไรตามใจตัวเองได้ นิมมานก็อยากคุยแบบเปิดอกรับฟังปัญหาของ อีกฝ่ายและคอยให้คำปรึกษา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD