ไตรวิชญ์ถึงกับขนลุกซู่หลังโดนปากนุ่ม ๆ ร้อนผ่าวแตะสัมผัสที่คอเข้า แต่พอมองดูไอ้เด็กมะลิที่ทิ้งรอยกัดไว้ก็ต้องขบกรามแน่นเพราะตัวสร้างเรื่องดันหนีหลับไปแล้ว ทิ้งเพียงเปลวไฟลุกโชนให้คุกรุ่นอยู่ในตัวเขา ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปปวดร้าวคับตึงเหมือนกับจะปริแตก ยิ่งมาได้กลิ่นหอมหวานกระตุ้นให้ไฟราคะโหมกระพือก็อยากจับฟาดแรง ๆ สักทีสองที ถ้าไม่ติดว่าท่าทางดูเพลียจัดจะปลุกให้ตื่นมารับผิดชอบการกระทำของตัวเองซะตอนนี้เลย
มือหนาบีบจมูกเล็กน่ารักของโอเมก้าหน้าเด็กด้วยสีหน้าทั้งฉุนเฉียวทั้งขบขัน ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองจะโกรธจัดยิ่งกว่านี้จนเผลอลงไม้ลงมือทุบตีเด็กนี่ให้ได้เลือดตกยางออกไปแล้ว แต่เมื่อเห็นสีหน้าหวาดกลัวร้องขอให้ช่วย ในใจกลับบรรเทาความโกรธลงมาก เหลือเพียงความโมโหที่นิมมานอวดดีคิดหนีมาแล้วดันเอาตัวไม่รอดเกือบทิ้งชีวิตไว้ในป่า พานให้คนอื่นเดือดเนื้อร้อนใจต้องรีบเร่งตามหาไม่ได้หยุดพัก
มันน่าโมโหตรงที่อยากหนีแต่ไม่มีปัญญาหนีไปให้พ้นจากป่านี้นี่แหละ
“ความผิดคราวนี้จะทบต้นทบดอกไว้คิดบัญชีวันหลัง”
ไตรวิชญ์ส่ายหน้าเอือมระอาพลางถอนหายใจ ลึก ๆ ลงไปแล้วนั้นกลับแฝงดีใจที่อีกคนปลอดภัย ไม่ได้เป็นอะไรหนักหนาอย่างที่นึกกลัว และยังไม่ได้หนีหายไปจากเขา
นิมมานกางแขนกางแขนนอนแผ่หลาบนฟูกนอนนุ่ม ๆ กลิ่นหอม ๆ ของดอกมะลิผสมผสานกับกลิ่นแดดอุ่นจัด ทำให้สติที่เลือนรางค่อย ๆ กลับคืนมา เหมือนมีแสงสว่างส่องลอดผ่านอุโมงค์มองเห็นหนทางข้างหน้าที่ต้องก้าวต่อไป มือเรียวยกขึ้นขยี้ตาทั้งสองข้างให้หายง่วงซึม แต่ถึงจะฝืนยกเปลือกตาไม่ขึ้นก็รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน
กลิ่นอัลฟ่าหน้าโหดนั่นคลุ้งซะทั่วห้องขนาดนี้ คงไม่รู้หรอกว่าห้องใคร
“เฮ้อ เป็นกลิ่นที่อบอุ่นหัวใจจริง ๆ แต่ตัวคนนี่ไม่น่าพิสมัยเอาซะเลย” บ่นอุบได้แค่ประโยคเดียวก็ต้องสะดุ้งตกใจลืมตาโพลง หันมองไปยังทิศทางที่สัมผัสได้ถึงกระแสคุกคามส่งตรงมาจากร่างสูงกำยำ เจ้าของกล้ามเนื้อแน่นๆ ภายใต้เสื้อยืดสีน้ำตาลรัดรูปอวดหุ่นล่ำ ๆ
นิมมานรีบดันตัวลุกขึ้นนั่งในสภาพผมชี้โด่ชี้เด่ไม่เป็นทรง ดวงตาเรียวดำขลับใสกระจ่างราวกับกระจกสะท้อนเงากวาดมองไปรอบห้อง ก่อนจะจ้องเขม็งไปยังอัลฟ่าเถื่อนที่ยืนเต๊ะท่าหน้าหล่ออยู่ติดผนังห้อง สายตาร้อนแรงหลุบต่ำมองลวนลามแถว ๆ หน้าอกเขา พอลองมองตามก็ต้องรีบคว้าผ้าห่มผืนหน้ามาปิดอกเปลือยขาวอวดหัวนมสีชมพูให้คนหื่นกามโรคจิตเห็น
แก๊ง!
เสียงเหมือนโลหะกระทบกันทำให้วงคิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างสงสัยปนประหลาดใจ แต่พอลองขยับตัวอีกครั้งก็รู้ที่มาของเสียงนั้นจึงตลบชายผ้าห่มออกดูก็เห็นโซ่เส้นไม่เล็กไม่ใหญ่แต่ดูแข็งแรงคล้องข้อเท้าเขาไว้ ส่วนปลายโซ่ก็คล้องเข้ากับขาเตียง ใบหน้าเล็กหวานซีดเผือดตกใจจนค้นหาเสียงตัวเองไม่เจอไปครู่หนึ่ง มองหน้าคนใจร้ายที่ล่ามโซ่เขาไว้เหมือน
สัตว์เลี้ยง
“ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้ คนนะไม่ใช่หมา แค่ห้ามไม่ให้กลับบ้านก็มากเกินทนแล้ว ยังต้องล่ามโซ่กันไว้อีกเหรอ”
นิมมานไม่ได้ใส่อารมณ์ตะโกนถามออกไปเสียงดังแต่อย่างใด เพียงมองนิ่งด้วยดวงตาแดงระเรื่อ สายตาทั้งตัดพ้อทั้งน้อยใจ ใช้ฟันกัดปากตัวเองไว้ไม่ให้หลุดร้องไห้ออกมาต่อหน้าคนใจดำ
เขาลองกระชากโซ่ที่ข้อเท้าดูก็รู้ว่ามันแน่นหนามาก ลำพังแค่ใช้แรงกระชากออกให้หลุดคงเป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากจะใช้ลูกกุญแจไขเอาแม่กุญแจออก ซึ่งก็คาดเดาได้ว่าคนคนนั้นคงพกติดไว้กับตัว ร้องขอก็คงไม่ยอมให้ง่าย ๆ
“เดี๋ยวมึงหนีไปอีก รอจนกูมั่นใจว่ามึงจะไม่ทำเรื่องโง่ ๆ กูถึงจะยอมเอาโซ่ที่ข้อเท้าออกให้ ตอนนี้ก็ทำตัวดี ๆ อยู่ในโอวาท ไม่หาเรื่องรำคาญใจมาให้กูอีก”
“แล้วมันเมื่อไหร่ล่ะถึงจะยอมเอาออกให้ อ๋อ นี่ตั้งใจจะเลี้ยงผมให้กลายเป็นสุนัขเชื่อง ๆ คอยทำตามคำสั่งเจ้าของโดยไม่ปริปากบ่นกันเลยสินะ พอขัดใจเข้าหน่อยจะทุบตีทำร้ายร่างกายด้วยเลยไหม ยังไงโอเมก้ามันก็อ่อนแอไร้กำลังจะสู้กับใครอยู่แล้วนี่ ตาย ๆ ไปซะคงจะสมใจเลยสิ”
อึก…
ทันทีที่พูดจบนิมมานก็ทรุดฮวบไปกุมลำคอตัวเองไว้เพราะหายใจไม่ออก กลิ่นอายรุนแรงฉุนกึกตีขึ้นจมูกจนอึดอัดทรมาน น้ำตาไหลพรากไม่หยุด ไตรวิชญ์เดินเข้าไปใกล้คนที่เพิ่งท้าทายพูดจาอวดดีใส่เขาไป แต่ตอนนี้กลับนอนตัวสั่นระริกร้องไห้ตาแดงก่ำอย่างน่าสงสาร เขาช้อนตัวเจ้าลูกแกะเนื้อหวานขึ้นมาพลางนั่งลงบนเตียงพร้อมกับวางร่างบอบบางไว้บนตัก
“อย่าดิ้น เดี๋ยวลูกกูตื่น อยากโดนพ่นพิษใส่แต่เช้ารึไง”
นิมมานเลิกดิ้นยอมอยู่นิ่ง ๆ บนตักคนที่อายุมากกว่าตัวเอง ความอึดอัดทรมานเริ่มเบาบางลงจนกลับมาหายใจหายคอได้คล่องขึ้น สีหน้าจึงดีกว่าเมื่อกี้นี้มาก เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“อยากเรียนหนังสือต่อรึเปล่า”
ฟรึบ
“จะ…จะให้ผมเรียนหนังสือต่อเหรอ”
ใบหน้าเรียวเล็กน่ารักเผยรอยยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับเจิดจ้ากระแทกตาคนมองจนแสบตาไปหมด ทำเอา
ไตรวิชญ์ต้องรีบยกมือปิดตาคนน้องไว้ก่อนที่จะทำตาเขาบอด
แค่พูดถึงเรื่องเรียนก็ทำท่าดีอกดีใจซะออกนอกหน้า เป็นโอเมก้าแท้ ๆ เรียนไปก็เสียเวลาเปล่า งานดี ๆ ที่อยากทำใช่ว่าเรียนจบสูงๆ มีใบปริญญารองรับแล้วจะได้ หากว่ามีตัวเลือกระหว่างเบต้ากับโอเมก้า ฝ่ายที่ได้งานจะเป็นเบต้าอย่างไม่ต้องสงสัย
เว้นเสียแต่ว่าโอเมก้าคนนั้นจะมีคนคอยหนุนหลังให้ และคนคนนั้นมีอำนาจพอตัวถึงจะช่วยให้หน้าที่การงานราบรื่นไม่ถูกคนในที่ทำงานรังแก
“แต่ต้องย้ายไปเรียนที่เดียวกับกู”
“ไม่เอา ผมได้ทุนเรียนมาแล้ว กว่าจะแย่งมาได้ต้องอดหลับอดนอนอ่านหนังสือไปตั้งกี่เล่ม เรื่องอะไรจะย้ายไปเรียนที่อื่น มันคือความภาคภูมิใจของผมเลยนะ ยังไงก็จะเรียนที่นั่น”
“งั้นก็ไม่ต้องไปเรียน เรื่องมากนักก็นั่งนอนรอกูอยู่ที่บ้าน”
นิมมานทำหน้าบึ้งเม้มปากแน่นพลางขมวดคิ้วยุ่งเหยิง หลังจากได้ยินน้ำเสียงเด็ดขาดไม่ยอมให้ปฏิเสธได้ของอีกฝ่าย ดวงตาดำขลับสุกใสเหล่มองหน้าคนโหด ทำไมเขาจะต้องย้ายไปเรียนที่เดียวกันกับคนคนนี้ด้วย มหาวิทยาลัยที่ว่าต้องมีแต่ลูกคนรวยไปเรียนแน่ แล้วเขาที่เป็นคนจนระดับรากหญ้าจะให้โผล่หน้าไปเหยียบที่นั่น คิดจะฆ่าแกงเขาทางอ้อมรึไง
อยู่ได้ไม่เกินวันต้องรีบเผ่นหนีออกมาแทบไม่ทันน่ะสิ
ต่อให้ที่นั่นจะมีโอเมก้าเรียนอยู่ด้วยก็ต้องเป็นลูกคุณหนูระดับรากแก้ว ตัวเขาที่เป็นเพียงก้อนกรวดดินทรายคงถูกเหยียบย่ำให้จมใต้เท้าคนพวกนั้น…
“กูอยู่ทั้งคนจะกลัวอะไร มหาวิทยาลัยแห่งนี้ถูกสร้างโดยตระกูลผู้นำทั้งสามในเขตกลางตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน ถูกพัฒนาดัดแปลงและแต่งเติมโครงสร้างใหม่จนผิดเพี้ยนไปจากอดีต แต่ก็ไม่เคยเปลี่ยนมือไปถึงตระกูลอื่น เรียนที่นี่ยังไงมึงก็ปลอดภัย ใครจะกล้าทำอะไรคนของกู”
“แล้วถ้ามีคนกล้าล่ะ” นัยน์ตากระจ่างใสดุจน้ำค้างช้อนมองอย่างกังวลใจ ความกลัวเป็นพื้นฐานของคนที่เกิดมาเป็นโอเมก้า เพราะไม่เคยถูกปฏิบัติตัวอย่างเท่าเทียมเหมือนคนทั่วไป
“ใครที่กล้าแตะต้องคนของกู ใช้มือข้างไหนแตะก็ตัดมือข้างนั้น ใช้ปากพูดจาว่าร้ายก็ตัดลิ้นทิ้ง”
“จำเป็นต้องไปเรียนที่นั่นเหรอ ไปเรียนที่ที่ได้ทุนไม่ได้เลย”
“ไม่ได้”
“แล้วโซ่นี่จะเอาออกมาเมื่อไหร่ มันบาดข้อเท้าเป็นรอยแดงหมดแล้ว เจ็บด้วย” มือเล็กจับโซ่เขย่า ๆ เต็มแรงด้วยใบหน้าหงุดหงิด ไม่ว่าจะกระชากยังไงมันก็ไม่ยอมหลุด มีแต่จะบาดข้อข้อเท้าหนักขึ้นจนเลือดซิบ
“มึงมันดื้อ บอกให้ใช้ชื่อเล่นเรียกแทนตัวเองก็ไม่ทำ แล้วยังจะมาเรียกร้องเอาอะไรจากกูอีก” ไตรวิชญ์ก้มมองคนขมวดคิ้วแน่นทำหน้าลังเลใจ แค่แทนตัวเองด้วยชื่อเล่นมันจะตายรึไง
“ใช้คำว่าผมไม่ดีตรงไหน”
“กูฟังแล้วขัดหู ไม่ชอบ” คิ้วเข้มผูกเข้าหากันแน่นแทบผูกเป็นปม อ้อมกอดกระชับแน่นรัดร่างบอบบางหอมกรุ่นจนลูกแกะตัวขาวอวบน่ากินเบ้หน้ายู่ปาก รู้สึกอึดอัดเมื่อถูกรัดซะกระดุกกระดิกตัวไปไหนไม่ได้
“เอ่อ…ถ้าเปลี่ยนไปใช้ชื่อเล่นเรียกแทนตัวเองแล้วจะยอมปลดโซ่ออกตอนนี้เลยไหม? “
“ก็ต้องดูว่ามึงทำให้กูพอใจได้มากแค่ไหน แต่ดูจากท่าทางยึกยักไม่อยากทำตาม โดนล่ามโซ่ไว้สักวันสองวันเพื่อดัดนิสัยก็ดี จะได้รู้ว่าต่อจากนี้ควรต้องทำตัวยังไงให้สมกับเป็นคนของกู”
“ตัวเองก็พูดจาไม่เพราะ ยังจะมาบังคับคนอื่นให้ทำตามใจตัวเองอีก”
“กูคือกฎ จะทำอะไรก็ได้ ใครหน้าไหนจะกล้าว่ากู ถ้าคืนนี้มึงทำตัวดี ๆ อ้อนกูเยอะ ๆ กูอาจเปลี่ยนใจเอาโซ่ออกให้มึงเร็วกว่านี้ก็ได้”
“อ้อนเหรอ อ้อนไม่เป็น ทำอย่างอื่นแทนได้ไหม? “
“อะไร” ไตรวิชญ์หรี่ตามองอย่างสนใจในคำตอบของอีกฝ่าย
“ชอบกินขนมหวานไหม ทำเป็นนะ”
“ไม่ชอบ”
“วาดรูปก็เป็น อยากได้ภาพวาดสักใบไหม”
“ไม่เอา”
“งั้น…”
“กูไม่สนใจทุกอย่างที่มึงพูดมานั่นแหละ” ใบหน้าคมเข้มของอัลฟ่าหนุ่มเผยความหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ ไอ้เด็กมะลินี่รู้ดีที่สุดว่าเขาต้องการอะไรก็ยังจะหาทางบ่ายเบี่ยง
“อ้อนกูสิ”
“ฮึ่ย! ถ้าอยากล่ามโซ่นักก็ล่ามไปเลย! ไอ้นู่นก็ไม่ชอบ ไอ้นี่ก็ไม่เอา เรื่องมากจริงๆ คนอะไรก็ไม่รู้เอาแต่ใจตัวเอง”
“ก็ดี ไว้มึงคิดได้เมื่อไหร่ว่าควรทำตัวยังไงกับกู ถึงตอนนั้นกูค่อยเอาโซ่เส้นนี้ออกให้มึง”
ไตรวิชญ์ยกร่างของนิมมานวางลงบนเตียงนอนตามเดิม ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินลิ่วออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุ คล้ายกับว่าการอยู่ในห้องนานกว่านี้จะเผลอหักคอคนดื้อด้านเอาได้ ขณะที่นิมมานขบเขี้ยวเคี้ยวฟันต่อว่าไล่หลังทว่าไร้เสียง พอก้มมองข้อเท้าที่มีโซ่คล้องไว้ก็ทั้งโมโหทั้งเจ็บใจ คนคนนี้กล้าดียังไงถึงมาทำแบบนี้กับเขา
เขาไม่ใช่หมานะถึงต้องมาล่ามโซ่กัน ถ้าอยากได้สัตว์เลี้ยงตัวเป็นๆ ก็ไปหาซื้อเอาสิ จะมาจับเขาล่ามไว้แบบนี้ทำไม แล้วไหนจะเรื่องเรียนอีก ทำไมต้องบังคับให้ไปเรียนที่เดียวด้วย แค่ต้องนอนอยู่ในห้องเดียวกันก็จะประสาทแดกตายอยู่แล้วนะ!
“หาเรื่องทรมานใจกันได้เก่งจริงๆ ทั้งไร้เหตุผล ทั้งเอาแต่ใจ คนดีๆ ที่ไหนจะอยากอยู่ด้วย!"