ตอนที่ 3 ‘การตัดสินใจของไตรวิชญ์’

3989 Words
จากที่นัดกันไว้ว่าจะลงมาตอบคำถามพ่อแม่ตอนเช้าก็ต้องเลื่อนเป็นช่วงบ่าย เพราะมัวแต่คลุกอยู่กับโอเมก้าที่พาติดมือกลับมาด้วยในห้อง กว่ากลิ่นฟีโรโมนจะเบาลงก็จัดไปหลายท่า ล่อไปหลายยก พอคนก่อกวนหลับสนิทไปแล้ว ไตรวิชญ์ถึงค่อยก้าวลงจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวเดินลงมาชั้นล่างในเวลาต่อมา ตอนนี้ให้ห้องโถงใหญ่เนืองแน่นไปด้วยพ่อแม่พี่น้องของเขา สีหน้าของพ่อยังคงเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ สองมือจับหนังสือพิมพ์เปิดอ่านเนื้อหาข่าวด้านใน ส่วนแม่ที่นั่งกอดอกรออยู่ข้างๆ ก็ตวัดดวงตาดำขลับวาววับมองเขาด้วยสายตาคาดโทษ แผ่กลิ่นอันตรายออกมาข่มขู่เขาที่ยืนอยู่ไม่ไกล “มาแล้วหรือพ่อตัวดี มาเล่าให้แม่ฟังซะดีๆ ว่าไปก่อเรื่องอะไรมา เล่ามาให้ละเอียดเลยนะ โดยเฉพาะเด็กโอเมก้าที่ลูกหิ้วติดมือกลับมา ได้ยินแว่วๆ ว่าเป็นคู่แห่งโชคชะตาของลูก มันเป็นความจริงหรือเปล่า” ชายหนุ่มถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ทันทีที่ถูกยิงด้วยคำถามที่ไม่อยากตอบมากที่สุดในตอนนี้ ใบหน้าคมเข้มออกอาการหัวเสียเล็กน้อยแต่พยายามรักษาสีหน้าหงุดหงิดไว้ไม่ให้มากเกินไป เพราะเดี๋ยวจะถูกมารดาบังเกิดเกล้าหมายหัว แม้ว่าความจริงจะช้าไปก้าวหนึ่งแล้วก็ตามที ร่างสูงกำยำสวมเสื้อยืดคอวีสีกรมน้ำเงินกับกางเกงสีดำความยาวเสมอเข่าเดินไปนั่งที่โซฟาเดี่ยว ฝั่งตรงข้ามเป็นตรีภพกับไตรภูมิที่มารอฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย ไตรวิชญ์มองผู้นำตระกูลคนปัจจุบันที่วันนี้ใส่เสื้อโปโลสีขาวแขนสั้นกับกางเกงขายาวสีดำ สวมนาฬิกาทองเรือนโปรดไว้ข้างซ้าย ขณะที่ภรรยาของผู้นำใส่ชุดแซกสีเขียวน้ำทะเลพอดีตัวยาวเลยเข่ามาหนึ่งนิ้ว เป็นแบบคอกลมแขนกุด สวมสร้อยคอไข่มุกเม็ดโตดูสวยสง่าเหมือนอย่างทุกวัน เขาระบายลมหายใจออกมาอีกครั้ง เริ่มต้นเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้คนในครอบครัวฟัง สีหน้าของแต่ละคนแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองหลังจากได้ฟังจบ ไตรวิชญ์ไม่อาจคาดเดาความนึกคิดของพ่อได้ เพราะท่านมักเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่ง ท่านอาจโกรธที่เขาไม่ระวังตัวให้ดีจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หรือกำลังเคร่งเครียดคิดหาทางออกอยู่ก็เป็นได้ บรรยากาศที่ปล่อยออกมาจึงดูหนักอึ้งจนทุกคนสัมผัสได้ และแทนที่จะลุกมาโวยวายต่อว่าเขากลับนั่งนิ่งเงียบ รอคอยให้ผู้เป็นใหญ่สุดในบ้านเป็นฝ่ายพูดก่อน “คิดไว้หรือยังว่าหลังจากนี้แกจะจัดการยังไง” “ผมคิดว่าพอหมดช่วงฮีทก็จะปล่อยมันไป” “ไม่ได้ อย่าทำเหมือนมันเป็นเรื่องง่ายๆ สิ ลูกไปกัดคอตีตราเด็กคนนั้นไปแล้ว จะปล่อยทิ้งขวางไม่ดูดำดูดีได้ไง แม่ไม่ยอมเด็ดขาด แล้วยิ่งเป็นคู่แห่งโชคชะตาด้วย ลูกคงยังไม่เคยได้สัมผัสถึงความทรมานเวลาที่ต้องแยกห่างจากคู่สินะ แม่เคยเห็นคู่แห่งโชคชะตามาหลายคู่แล้ว ได้เห็นความเจ็บปวดเวลาที่พวกเขาต้องแยกจากกัน แต่สุดท้ายก็ฝืนสัญชาตญาณไม่ไหวทำผิดต่อคู่ครองของตน” “ผมไม่มีทางเป็นอย่างนั้น” “งั้นเหรอ แล้วไอ้อาการหวงโอเมก้ากับเพื่อนตัวเองล่ะ ลูกจะอธิบายว่ายังไง แค่เจอกันวันสองวันลูกแม่ก็ยังเป็นซะขนาดนี้ กว่าจะหมดฮีทก็อีกตั้งห้าวัน ถ้าต้องปล่อยเด็กน้อยคนนั้นไปจริงๆ ลูกแม่จะไม่คลุ้มคลั่งเอาเหรอ” ดาหลาสัพยอกลูกชายคนรองด้วยรอยยิ้มแพรวพราวเจ้าเล่ห์ ดวงตาสวยเฉี่ยวมองคนกำลังเสียอาการด้วยแววตารู้ทัน เธอเลี้ยงไตรวิชญ์มากับมือจะดูไม่ออกเชียวหรือว่ากำลังรู้สึกอย่างไร ต่อให้จะพยายามข่มกลั้นความหงุดหงิดงุ่นง่านใจไว้ก็กลบเกลื่อนแรงกดดันที่ส่งออกมาไม่ได้ แค่โดนเธอแหย่นิดแหย่หน่อยก็ไปหมดแล้วลูกชายเรา ทำมาเป็นพูดดีว่าจะปล่อยไป เธอจะดูซิว่าพอถึงตอนนั้นจะทำได้จริงไหม “เอาเถอะ แล้วแต่ลูกเลยละกันว่าจะตัดสินใจทำยังไงกับเด็กคนนั้น ถ้าลูกไม่ต้องการเด็กโอเมก้าก็บอกแม่ แม่จะรับไปเลี้ยงไว้เอง ดีกว่าปล่อยออกไปให้พวกอัลฟ่าต่ำช้าข่มเหงรังแก” แค่เผลอจินตนาการถึงตอนที่มีอัลฟ่าอื่นมาแตะต้องเนื้อตัวของนิมมาน ดวงตาคมกริบก็ดำมืดฉายแววอำมหิตเลือดเย็นออกมาโดยไม่รู้ตัว ตรีภพกับไตรภูมิสัมผัสได้ถึงกระแสความกรุ่นโกรธจากคนปากหนักไม่ยอมรับความจริง ทั้งที่ตอนเช้าก็ออกจะแสดงอาการหึงหวงเด็กน้อยน่ารักชัดเจน ถึงจะยังไม่ได้เห็นหน้าโอเมก้าน้อยก็เถอะ แต่จากคำบอกเล่าของกวินก็พอจะนึกภาพออกน่าเด็กคนนี้คงจะน่ารักไม่น้อย ไม่งั้นคนใจหินอย่างไตรวิชญ์ไม่หน้ามืดเผลอจับกินซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก ผู้ชายยังไงก็คือผู้ชาย เวลาเห็นของสวยๆ งามๆ จะอดใจไหวได้ยังไง “คิดให้รอบคอบแล้วกัน ฉันไม่อยากให้เรื่องนี้ทำให้แกเสียการปกครอง เดี๋ยวจะคุมลูกน้องไม่ได้ ช่วงนี้แกก็หยุดพักไปก่อนจนกว่าจะเคลียร์กับเด็กนี่ได้ พอเปิดเทอมแล้วแกยังต้องไปฝึกอบรมเพื่อขึ้นรับตำแหน่งผู้นำตระกูลอีก อย่าให้เรื่องพวกนี้มาทำให้แกเสียงาน” ไตรวุฒิเตือนลูกชายคนรองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าแววตากลับดุดันและเข้มงวดมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรพ่อของเขามักจะจริงจังเสมอ ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนในตระกูล ไม่เลือกว่าเจ้านายหรือลูกน้องก็ไม่ยอมปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นเด็ดขาด ในบรรดาลูกสามคนไอ้ตรีภพมีนิสัยคล้ายคลึงกับพ่อมากที่สุด เป็นพวกไม่ชอบความผิดพลาดหรือล้มเหลว ถ้าเห็นว่ามีอะไรมาขัดขวางให้เสียงานจะรีบกำจัดความเสี่ยงนั้นทิ้งโดยไม่ลังเล “ครับ ผมจะไม่ให้เรื่องนี้มากระทบกับงาน” ไตรวิชญ์ตอบกลับเสียงหนักแน่นมั่นคง ไม่มีทางที่เขาจะสูญเสียตัวตนไปเพราะเด็กนั่นแน่นอน “วันพรุ่งนี้มีงานเลี้ยงวันเกิดของลูกสาวตระกูลพนารัตน์ แกจะไปด้วยกันไหม” “ไม่ไปครับ ผมไม่ชอบร่วมงานเลี้ยงพ่อก็รู้” “ต่อไปแกต้องหัดออกงานสังคมบ่อยๆ จะได้ชินไว้ มีผู้นำตระกูลคนไหนบ้างเอาแต่หมกตัวอยู่กับพวกลูกน้อง ไม่อยู่สนามฝึกซ้อมก็ออกไปล่าพวกเศษเดน อย่าลืมสถานะของตน แกเป็นอัลฟ่าชั้นสูงสายเลือดบริสุทธิ์ จะลงไปเกลือกกลั้วคลุกคลีกับพวกมันบ้อยๆ ไม่ได้” “คราวหลังจะให้ลูกน้องไปจัดการครับ” “ฉันหมดธุระกับแกแล้ว อยากจะขึ้นไปหาโอเมก้าของแกก็ไปเถอะ” เห็นสีหน้าร้อนรุ่มอยู่ไม่สุขของลูกชาย ไตรวุฒิก็อดรนทนไม่ไหวไล่ให้ไตรวิชญ์กลับไปหาโอเมก้าด้านบน ลางสังหรณ์ของเขาบอกให้รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหิรัญรชตอย่างแน่นอน แม้ว่าที่ผ่านมาตระกูลเขาจะไม่เปิดรับโอเมก้า ทว่าในรุ่นของลูกชายเขาอาจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็เป็นได้ เขาไม่เกี่ยงว่าคู่ครองของลูกชายจะเป็นอัลฟ่าหรือโอเมก้า ขอเพียงให้กำเนิดทายาทที่แข็งแกรงสมบูรณ์พร้อมแก่ตระกูลเขาและสามารถดูแลลูกชายเขาได้เป็นอย่างดี คนเป็นพ่อยังจะต้องการสิ่งใดอีก ไตรวิชญ์พยายามเก็บสีหน้าของตัวเองไว้ผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะก้าวออกจากห้องโถงเดินกลับขึ้นไปยังชั้นบน พอพ้นจากสายตาจ้องจับผิดของทุกคนแล้วฝีเท้าของชายหนุ่มก็เร่งจังหวะเร็วขึ้น ไม่ถึงห้านาทีก็มาโผล่ยังชั้นสามหยุดยืนอยู่หน้าห้องตัวเอง สายตาวาววับลุกโชนด้วยเปลวไฟร้อนแรงจ้องเขม็งบานประตูตรงหน้าราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปถึงข้างใน มือหยาบกร้านยกเสยผมไปข้างหลัง คิ้วเข้มพาดเฉียงขมวดแน่น ดวงตาน้ำตาลแดงเข้มขึ้นสั่นพร่าอัดแน่นด้วยความปรารถนาที่ลุกโพลงเจิดจ้าอีกครั้ง ริมฝีปากหนาเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปก็เจอเข้ากับร่างบอบบางที่ยืนเกาะผนังไร้เรี่ยวแรงอยู่ด้านข้าง ดวงตาแดงระเรื่อคลอขังด้วยหยาดน้ำตาใสประสานสายตาเข้ากับเขา ยังไม่ทันได้ตวาดด่าใส่โอเมก้าตัวดีก็โผเข้ากอดรัดแน่น กลิ่นหอมฉุนปะทะเข้าจมูกรุนแรงจนรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาฉับพลัน ไตรวิชญ์รีบดันร่างของเจ้าของกลิ่นหอมหวานซาบซ่านออกไปแล้วปิดประตูล็อกห้องแน่นหนา ร่างสูงใหญ่อุ้มกระเตงคนตัวเล็กไว้สาวเท้าไปยังด้านใน ท่ามกลางเสียงครางกระเส่าอืออาตลอดทาง กระทั่งมาหยุดอยู่ตรงโซฟา เขาเหวี่ยงร่างนิมมานลงไปแล้วพาตัวเองขึ้นคร่อม อีกฝ่ายตวัดวงแขนโอบรอบคอเขาแทบจะในทันที แล้วยังหาญกล้ายกขาสองข้างมาเกี่ยวเอวเขาไว้อีก “อา ระ...ร้อนจัง ช่วย...ช่วยหน่อย” “เฮ้อ ตอนปกติมึงร่านขนาดนี้ไหม กูกระแทกมึงไปกี่รอบก็ยังไม่หายอยากอีก” สบถเสียงต่ำคล้ายกับจะต่อว่าคนที่กำลังยั่วราคะ ขณะเดียวกันก็ก่นด่าตัวเองในใจที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มสักที จิตใต้สำนึกของเขาร้องเตือนว่าให้พอได้แล้ว แต่อวัยวะเบื้องล่างกลับตื่นตัวเต็มที่ พร้อมจะลงสนามรบรากับมันอีกครั้ง “อื้อ! เอาอีก...นะ” “เอาอะไร มึงอยากได้อะไร บอกกูมาซิ” นัยน์ตาคมกริบกวาดมองใบหน้าเปล่งปลั่งแดงระเรื่อเต็มไปด้วยอารมณ์ใคร่ ปากเล็กอมชมพูเผยออ้าแล้วขบเม้มอย่างใช้ความคิด นิมมานแอ่นสะโพกขึ้นเสียดสีส่วนหน้าของคนที่อยู่เหนือร่าง ระบายความอึดอัดทรมานไปตามสัญชาตญาณ ดวงตาเรียวสวยกะพริบปริบๆ หยาดน้ำตารินไหลอาบพวงแก้ม ไม่รู้จะตอบคำถามนี้ยังไง เขาอยากได้...อยากได้ทุกอย่างเลย! “ถ้ามึงไม่ตอบกูก็ไม่ช่วย อยากได้อะไรตอบมา” “ฮื้อ...ไม่ไหวแล้ว ร้อน! อยากได้...” หมับ มือเรียวคว้าจับอาวุธอันตรายซึ่งตั้งลำแข็งขึงพร้อมใช้งานเรียบร้อยแล้วไว้ ทำเอาคนตัวสูงถึงกับสะดุ้งสะเทือนเค้นเสียงต่ำลึกลอดไรฟัน ดวงตาสว่างเจิดจ้าหรี่มองใบหน้าหวานละมุนตาน่ารังแกให้ชอกช้ำ “ใครบอกให้มึงจับ กูบอกให้มึงพูดออกมา” “ขะ...เข้ามา ฮือ เข้ามาเร็วๆ อยากให้กระแทกเข้ามาแรงๆ” “ระยำ” ไตรวิชญ์สบถด่าพลางยกตัวขึ้นมือถอดเสื้อออกทางหัวโยนทิ้ง โดยมีมือซุกซนป้วนเปี้ยนอยู่แถวตะขอกางเกง นิ้วชี้กดลูบไปตามซิปกางเกงกดลงบนส่วนโป่งนูน ก่อนจับรูดตามความยาวของท่อนเนื้อที่ซุกซ่อนอยู่ในกางเกง เพี๊ยะ ชายหนุ่มปัดมือเด็กขี้ยั่วออกลงมือปลดตะขอกางเกงรูดซิปล้วงเอาท่อนเนื้ออุ่นจัดออกมาด้านนอก ส่วนหัวแดงบานปริ่มน้ำกระตุกหงึก เขากอบกุมลูกชายตัวเองชักรูดเนิบช้า เหลือบตามองหนุ่มน้อยหน้าใสที่ทำตาแป๋วมองกลางหว่างขาเขาไม่กะพริบตา “พวกโอเมก้าทำตัวร่านเหมือนกันหมดไหม อยากได้ของกูจนตัวสั่น ถึงกับยอมทำตัวทุเรศๆ กูก็เพิ่งเคยเห็นผู้ชายที่มานอนอ้าขาให้คนอื่นเอาเป็นครั้งแรกนี่แหละ” ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้มร้ายกาจมองดูร่างบางพลิกตัวนอนคว่ำโก่งตูดขมิบรูรักที่แฉะชื้นเชิญชวนเขา ทั้งที่ถูกเขาพูดจาดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีไปตั้งหลายประโยค แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่สะทกสะท้านส่ายตูดล่อเขาให้ตบะแตก หรือว่ามันจะไม่มีสติจนฟังคำด่าของเขาไม่รู้เรื่อง? ไตรวิชญ์ขบกรามแน่น หน้าตาไม่สบอารมณ์ถึงขีดสุด ตัดสินใจส่งสองนิ้วเข้าไปในโพรงถ้ำสีสวยตรงหน้า แค่เพียงแตะต้องก็ทำคนตัวเล็กส่งเสียงหวีดร้อง ช่องทางหลังบีบแน่นทะยานถึงฝั่งฝันทันที “อร๊างงง~” “บัดซบ!” ตาคมดุหรี่มองน้ำใสที่ไหลเยิ้มชุ่มมือ อัลฟ่าหนุ่มหน้าเข้มสบถด่าอีกหลายคำก็กระแทกนิ้วเรียวยาวเข้าออกรัวเร็ว โน้มตัวลงไปข้างหน้าใช้มือซ้ายกดไหล่บางให้ฟุบหน้าลงกับโซฟา แผ่นหลังขาวเนียนชุ่มเหงื่อแอ่นโค้ง ก้นงอนโด้งขึ้นส่ายไหวตามแรงกระแทกกระทุ้งของนิ้วมือที่เพิ่มไปอีกหนึ่งจนคับแน่น เสียงครวญครางฟังไม่ได้ศัพท์ดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า ก่อนจะหวีดเสียงแหลมเมื่อถึงจุดสุดยอดอีกครั้ง “อ๊าาา! แฮ่ก...แฮ่ก” “รสชาติไม่เลว” เขาแลบลิ้นเลียหยาดน้ำสีใสที่เปรอะเปื้อนเต็มฝ่ามือ กลิ่นคาวหวานมอมเมาเขาให้สติพร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ สัญชาตญาณของผู้นำกำลังชักจูงเขาให้ทำตามใจปรารถนา จะห้ามปรามหรือหยุดยั้งตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว “ไม่เอานิ้ว อื้อ...ไม่พอ เอาอันที่ใหญ่กว่านี้” นิมมานปรือตามองคนด้านหลังโดยที่ยังโก่งตูดอยู่ ส่งสายตาหวานเชื่อมยั่วยวนร้องขอความเมตตา เขาต้องการมากกว่านี้ ความร้อนรุ่มที่แผดเผาร่างกายทำให้เขาทรมานมาก ช่องทางหลังหลั่งน้ำหล่อลื่นออกมาไม่ขาดสาย ภายในเต้นตุบๆ บีบรัดความว่างเปล่าไม่หยุด รู้แต่ว่าถ้ายังไม่มีอะไรสอดใส่เข้ามาเขาต้องคลั่งตายแน่ เพียงสิ่งเดียวที่จะช่วยดับร้อนบรรเทาความหิวกระหายของเขาได้ก็คือตัวตนร้อนระอุใหญ่โตของผู้ชายคนนี้ จะทำรุนแรงกว่านี้ก็ได้ เขายอมรับได้ทั้งนั้น “ขะ...ขอร้อง เข้ามาเถอะ ได้โปรด...” “ร่างกายมึงมันน่ารังเกียจ กูเกลียดมึง” เสียงแหบพร่าดังแว่วอยู่ข้างหูคนด้านล่าง ลำตัวท่อนบนของร่างสูงประกบทาบทับแผ่นหลังบางจับท่อนลำแข็งขึงเขี่ยถูไปมาตรงรูรัก ดวงตาสีน้ำตาลแดงคล้ายสีเลือดหลุบมองต้นคอขาวที่มีรอยฟันแดงเด่นชัด เรือนร่างขาวอวบอิ่มสั่นระริกรอคอยการมาเยือนของด้านบน หัวเห็ดแดงก่ำชำแรกเข้ามาในเส้นทางคับแน่น นิมมานสะดุ้งครางแผ่วต่ำหลับตาพริ้มรับรู้ถึงความแกร่งร้อนที่แทรกลึกเข้ามาทุกที จนกระทั่งหยุดค้างไว้เมื่อเข้ามาสุดความยาว เสียงคำรามเค้นออกมาอย่างพอใจ เขาได้กลิ่นความสุขแผ่ออกมาจากคนร่างสูงปะปนกับกลิ่นใคร่กระหาย ผู้ชายคนนี้กำลังหิวจัด ที่เขารู้ก็เพราะปฏิกิริยาของร่างกายอีกฝ่ายมันแสดงออกชัดว่าต้องการกลืนกินเขาลงท้อง เสียงหัวใจที่เต้นถี่กับแก่นกายที่เหยียดขยายใหญ่ขึ้นอีกเป็นหลักฐานเอาผิดได้ดีทีเดียว “ขยับเลย กระแทกเข้ามาเลย” “ร่างกายลามกของมึงดูท่าชอบกูมาก แค่เข้าไปก็ทำท่าจะเสร็จอีกรอบแล้ว” “ช่ายยย ชอบมากเลย อื้อ...” “อ่า...อย่ารัดแน่นสิวะ หรือมึงชอบให้กูพูดจาอย่างนี้ ทั้งๆ ที่กำลังโดนกูดูถูกอยู่แท้ๆ แต่ร่างกายมึงกลับเต้นระริกตอดกูหนักขึ้นอีก เคยนอนอ้าขาให้ใครเอาไหม เคยมีใครเอาไอ้นี่กระแทกรูตูดมึงบ้างรึเปล่า” “ไม่ๆ ไม่เลย คะ... ครั้งแรกที่โดน” “รู้สึกเป็นไง ขยะแขยง? รังเกียจ?” “ดี...มันดีมาก อยากให้เข้ามาแรงๆ อ่า...อยากโดนทำแรงๆ จัง ได้ไหม?” นิมมานไม่รู้หรอกว่าพูดอะไรออกไป เขาก็แค่อยากให้คนด้านหลังช่วยปลดปล่อยเขาจากความทรมานซ่านเสียวนี้ จะพาเขาขึ้นสวรรค์หรือลงนรกก็ได้ “เวรเอ๊ย! มึงนี่มัน...อยากโดนแรงๆ ใช่ไหม ถ้าแหกอย่ามาโทษกู อย่ามาร้องขอให้กูหยุดด้วย เพราะมึงมันหาเรื่องใส่ตัวเอง!” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมของอัลฟ่าหนุ่มใช้ไม่ได้ผลกับโอเมก้าน้อยที่กำลังฮีท นอกจากความต้องการทางร่างกายแล้วก็ไม่มีสติรับรู้เรื่องใดอีก ร่างสูงใหญ่ยกตัวขึ้นมานั่งคุกเข่าพลางปล่อยมือซ้ายออกจากไหล่มน เปลี่ยนมาใช้สองมือแหวกแก้มก้นขาวอวบออกมองดูท่อนเอ็นสีเข้มขยับเข้าออกเชื่องช้าในโพรงนุ่ม ซึ่งตอดรัดเป็นจังหวะตอบรับเขาอย่างกระตือรือร้น รูตูดมันก็เล็กนิดเดียว ไม่รู้ทำไมถึงรับขนาดใหญ่โตของเขาได้ มิหนำซ้ำยังตอบสนองได้ดีจนเขาแทบคลั่ง สวบ สวบ สวบ... ไตรวิชญ์บังคับตัวเองไม่ให้เร่งร้อนกลืนกินมันเร็วเกินไป เขาอยากสัมผัสความรู้สึกดีน่าเหลือเชื่อตอนที่มันบีบรัดแก่นกายเขา ถึงขยับสะโพกสอบเนิบช้าค่อยเป็นค่อยไปทว่าเน้นหนักฝังลึกสุดในโพรงนุ่ม นิมมานยกตัวขึ้นใช้สองมือเท้ากับโซฟาในท่าคลานสี่ขา ดวงตาเรียวสวยพร่ามัวฉ่ำหวานพลางร้องครวญครางดังระงมไปทั่วห้อง เม็ดเหงื่อผุดซึมทั่วร่างขาวเปลือยยิ่งดูเซ็กซี่เย้ายวน “กลิ่นมึงหอมหวานชวนละลาย ทั้งที่เป็นผู้ชายแต่กลับส่งกลิ่นตัวเมียเรียกหาตัวผู้ เสียชาติเกิดจริงๆ” “อ๊ะ มะ ไม่ได้เรียกหาตัวผู้นะ” “อย่ามาเถียง เมื่อกี้มึงยังส่ายตูดเรียกกูอยู่เลย โอเมก้าอย่างมึงก็ดีแต่ส่งกลิ่นยั่วยวนพวกอัลฟ่าให้อยากผสมพันธุ์ด้วย” “ฮึก ไม่ใช่นะ ไม่ได้เรียก อ๊า” “ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเรียก มีโอเมก้าดีๆ ที่ไหนไปเดินเล่นอยู่ในตรอกมืดนั่น ถ้ามึงไม่ได้จงใจไปล่อพวกตัวผู้ให้ออกมามีเซ็กซ์ด้วย” “ไม่ใช่ ฮึก...ไม่ได้เดินเล่นสักหน่อย ทำไมต้อง...ฮือ ใส่ร้ายกันด้วย!” นิมมานโน้มตัวลงไปฟุบหน้ากับแขนร้องไห้สะอึกสะอื้น หลังจากที่ถูกคำพูดว่าร้ายเสียดแทงหัวใจจนเจ็บชา แค่เกิดมาเป็นโอเมก้าก็แย่พออยู่แล้ว ไม่ได้อยากจะไปหาเรื่องใส่ตัวให้พวกอัลฟ่าไล่ล่าจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนหนู อยากเกิดเป็นแค่คนปกติธรรมดาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไปวันๆ ใครบ้างเล่าจะชอบให้ตัวเองอยู่ในสภาพน่าสมเพชแบบนี้ ไตรวิชญ์พ่นลมหายใจแรงด้วยสีหน้ารำคาญ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นบีบคั้นหัวใจเขาให้วูบโหวงรู้สึกผิด ที่พูดไปก็เป็นความจริงทุกอย่าง แล้วทำไมจะต้องโกรธส่งเสียงร้องน่ารำคาญหูด้วย ท่อนแขนแข็งแรงกอดรัดเอวบางไว้พร้อมกับลุกขึ้นนั่งเหยียดขายาวโดยมีร่างขาวเนียนนุ่มนั่งบนตัก เขาวางคางบนไหล่นิมมานเหล่ตามองใบหน้านองน้ำตาอย่างหงุดหงิด “เออ กูมันปากไม่ดีเอง ขอโทษที่พูดแรงไป มึงก็หยุดร้องไห้สักที ก่อนที่กูจะหมดความอดทนจับมึงเหวี่ยงออกนอกหน้าต่าง” นี่เป็นครั้งแรกที่เขายอมอ่อนข้อเอ่ยปากขอโทษคนอื่นก่อน “ฮึก จะ...จะไม่ว่าแล้วใช่ไหม” “เออ” “แล้วจะต่อไหม?” บั้นท้ายกลมกลึงบดถูกับหน้าตักแกร่งทำเอาใบหน้าเคร่งขรึมดำคล้ำบิดเบี้ยว ดวงตาดำขลับช้อนมองคนที่นั่งตัวเกร็งครางเสียงต่ำในคอคล้ายกับสัตว์ป่าบาดเจ็บ “อย่าขยับซี้ซั้วสิวะ อยากเจ็บตัวนักหรือไง” “ก็มัน...อึดอัดนี่” นิมมานขยับยุกยิกอยู่ไม่สุข บดสะโพกกับตักแกร่งต่อไปอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี เดือดร้อนให้ไตรวิชญ์ต้องรีบคว้าเอวไว้กดให้อยู่นิ่งๆ ชั่วคราว กลิ่นหอมเย็นโชยมาจากแอ่งชีพจรและยิ่งหนักขึ้นเมื่อเหงื่อออก อัลฟ่าหน้าเถื่อนก้มลงฝังจมูกกับหลังคอสูดกลิ่นกายหวานหอมน่าขย้ำ มือหนาหยาบเลื่อนขึ้นมาเล่นกับยอดอกสีชมพู ใช้นิ้วชี้เขี่ยเล่นจนร่างบางดิ้นเร่าหอบหายใจกระเส่า “หัวนมมึงแข็งสู้นิ้วกู เริ่มมีอารมณ์อีกแล้วเหรอ” “อื๊อ! อย่าบีบ มันเจ็บ” มือเรียวกุมทับมือหนาไว้ นิมมานหันหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาแทบลืมหายใจของอีกคน เห็นสายตาร้อนแรงดุจเปลวไฟกำลังจับจ้องมองมา หัวใจดวงน้อยก็สั่นระรัวเต้นดังโครมครามไม่หยุด รู้สึกร้อนวูบที่หน้าขึ้นมาดื้อๆ จนต้องหลบตา “จนกว่ามึงจะหมดฮีท...กูจะไม่ปล่อยให้มึงได้หยุดพักอีก” เสียงกระซิบข่มขู่ฟังดูเหมือนจะน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วกลับให้ความรู้สึกหยอกเย้ากระเซ้าเล่น ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดซอกคอหอมกรุ่นจนคนในอ้อมแขนสะดุ้งหน้าแดงก่ำ ไตรวิชญ์หัวเราะแผ่วเบาไล่เล็มผิวเนื้อนุ่มลิ้นของอีกฝ่ายไปทั่วพร้อมกับเริ่มต้นเล่นงานคนตัวเล็กกว่าอย่างเมามัน ทั้งกลิ่น ทั้งรสชาติของมันปลุกเร้าอารมณ์เขาจนยับยั้งตัวเองไม่อยู่ ยิ่งได้ยิ่งเสียงครางแว่วหวานเว้าวอนขอให้เอ็นดูหนักๆ ร่างกายก็ยิ่งมีปฏิกิริยารุนแรงควบคุมยากขึ้นไปอีก ทุกอย่างเริ่มพร่าเบลอไม่ชัดเจน สติรับรู้เลือนรางลง และปล่อยให้สัญชาตญาณนำทางความรู้สึกที่ต้องการจะครอบครองโอเมก้าของตน กว่าพายุอารมณ์จะสงบลงก็เกือบสองทุ่ม ไตรวิชญ์กอดร่างเพรียวบางที่ฟุบหลับบนอกไปแล้วไว้พลางแหงนหน้ามองเพดานห้อง ภายในตัวของเด็กนี่ยังมีตัวตนของเขาฝังลึกอยู่ สายธารร้อนหลั่งไหลเข้าไปต่อเนื่อง เขากำลังติดล็อก คงเพราะมีอารมณ์กับเด็กนี่มากเกินไปเลยน็อตอีกแล้ว “อุ่นจัง...อื้อ” “ชอบไหมล่ะ” “ขอเยอะๆ เลย คิก” เสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้น ไตรวิชญ์หลุบตามองใบหน้ายิ้มแย้มตาหยีของนิมมานแล้วก็หลุดขำ “เดี๋ยวพอมึงได้สติก็คงไม่ชอบมันแล้ว” “ไม่จริง ทำไมล่ะ” จู่ๆ คนหลับก็ลืมตาใสแป๋วมองหน้าเขา ทำเอาตกใจไปนิดหนึ่งเลย “จะบอกว่าชอบมาก?” “อื้อ ชอบ...อุ่นดี” “ถ้างั้นกูยกให้มึงเยอะๆ เลยเป็นไง แต่ไม่ใช่แค่เฉพาะตอนนี้หรอกนะ หลังจากนี้ไปก็ด้วย” “ดีจัง” รอยยิ้มสดใสเหมือนกับแสงอาทิตย์เจิดจ้าทำให้ดวงตาคมกริบพร่ามัว สองมือนุ่มประกบแก้มสากทั้งสองข้างไว้และจุมพิตลงที่ปากเบาๆ “เหอะ งั้นก็อย่าปอดแหกชิ่งหนีไป เพราะอะไรก็ตามที่เป็นของกูแล้วก็ต้องเป็นไปตลอดชีวิต ไม่มีทางที่จะหนีรอดเงื้อมมือกูไปได้หรอก จดจำสิ่งที่กูพูดไว้ให้ดีล่ะ” ไตรวิชญ์จับมือบางมากัดเล่นทีละนิ้วแล้วกดจูบกลางฝ่ามือแผ่วเบา สักพักก็ได้ยินเสียงกรนฟี้จากคนด้านบน ฝ่ามือใหญ่ตบตูดโอเมก้าขี้ยั่วเป็นจังหวะส่งเด็กน้อยเข้านอน แล้วค่ำคืนแห่งฝันหวานได้มาเยือนทั้งสองคน ดูเหมือนอัลฟ่าหนุ่มจะตัดสินใจได้แล้วว่าควรจัดการกับตัวปัญหานี่ยังไงดี อยู่ด้วยกันแบบนี้ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว ความรู้สึกวิเศษตอนที่ได้ใกล้ชิดกับเด็กนี่เป็นของจริง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน จิตวิญญาณของเขากู่ร้องเริงร่าเหมือนหมาป่าที่ได้เจอคู่ชีวิตของมัน เป็นความสุขสงบที่โหยหามานานและเพิ่งได้คืนกลับสู่มือ  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD