บทที่ 1 ขึ้นตียงผิดคน!

4407 Words
บทที่ 1 ขึ้นตียงผิดคน! “หรือแท้จริงสวรรค์ชิงชังเจ้า ถึงได้ส่งเจ้ากลับมาอยู่ในเงื้อมือของข้า สวี่ลี่เซียน หึ” คนหล่อพูดต่อ แต่ทำไมต้องยิ้มแบบนั้น ฉันกลัวเด้อ!! “สะ..สวี่ลี่เซียน” ทว่า..ลมหายใจหลี่เซียนสะดุดเอ่ยย้ำทวนชื่อที่แสนคุ้นหู จะไม่ให้คุ้นได้อย่างไร ในเมื่อชื่อนี้เป็นชื่อของนางร้ายปลายแถวในนิยายที่เธอเพิ่งอ่านมาหมาด ๆ บทบาทที่มีก็แสนจะรันทดนั่นเพื่อให้นางเอกเหยียบย่ำโชว์ความแพรวพราวมัดใจพระเอกและตัวร้ายเพียงเท่านั้น!! ที่สำคัญสวี่ลี่เซียนนางผู้นี้ยังต้องตุยตั้งแต่ช่วงบทแรกเพราะดันไปรังแกแม่นางเอกสตรีสุดรักสุดหวงของเหล่าตัวเอกด้วยซ้ำ!! “ฉัน.. เอ่อ ข้าคือสวี่ลี่เซียนจริง ๆ หรือ” ด้วยความไม่แน่ใจ หลี่เซียนหรือสวี่ลี่เซียนในตอนนี้ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองบุรุษรูปงามราวเทพมารที่ยืนหล่อไม่เกรงใจใครอยู่กลางห้องด้วยสีหน้าตกใจ ส่งผลให้อวี้เหิงชักสีหน้าโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเก่า นางแสร้งจำไม่ได้? ตัวเขาเป็นประมุขมารอวี้เหิงผู้ที่ถูกกล่าวขานว่าอำนาจที่มีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าไห่หวงเทียนจวินกลับต้องโดนเหยียดหยามซึ่ง ๆ หน้า สตรีผู้นี้ไม่รักชีวิตตัวเองแล้วใช่หรือไม่! ทั้งแดนมารยังเป็นผู้ถือครองแม่น้ำวิญญาณสรรพคุณของมันช่วยเรื่องการฟื้นฟูและรักษาขั้นสูง แม้แต่การเลื่อนขั้นวิญญาณก็ไม่ใช่เรื่องยาก ด้วยเหตุนี้เผ่ามารจึงมีอำนาจล้นมือ แต่บางสิ่งย่อมไม่ควรขาดหรือมากเกิน เพื่อรักษาสมดุลไห่หวงเทียนจวินจึงได้ขอการอภิเษกขึ้นมา และคงไว้ซึ่งความไว้ใจรวมถึงคงสัญญายุติสงคราม อวี้เหิงจึงไม่อาจปฏิเสธ หาใช่เกรงกลัวต่อเหล่าเซียนในสวรรค์ไม่ หากแต่รังก่อสงครามขึ้นมามีแต่จะส่งผลกระทบต่อคนของเขาเสียมากกว่า กระนั้นเมื่อมาเยือนแดนสวรรค์ตามการเชื้อเชิญครั้งแรก กลับต้องพบว่าสตรีที่ต้องเข้าพิธีอภิเษกอันใกล้นี้วางแผนมอบความบรุสิทธิ์เพื่อเลี่ยงการอภิเษกให้แก่อาจารย์ของตัวเอง! น่ารังเกียจเสียจริง.. ยามนั้นอวี้เหิงหน้าชาความรู้สึกดั่งถูกเหยียดหยาม แน่นอนว่าการอภิเษกหาใช่ว่าสตรีผู้นั้นจะได้ครองตำแหน่งตี้เฟยแห่งเผ่ามาร ผู้ที่จะขึ้นเป็นตี้เฟยได้ต้องเป็นสตรีที่เขาเลือกเท่านั้น แต่บุรุษเช่นเขายอมตายได้แต่หยามไม่ได้ จึงต้องการทำลายแผนของนางด้วยกลเล็กน้อย.. ขณะเดียวกันความทรงจำไม่ปะติดปะต่อบางอย่างประดังประเดเข้ามาหาหลี่เซียนดั่งคลื่นซัด เป็นความทรงจำของผู้อื่นหาใช่ตัวเธอเอง.. ทว่าความทรงจำที่เด่นชัดที่สุดไม่พ้นเรื่องที่เกิดขึ้นหลายชั่วยามก่อน ร่างอรชรสวมอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ ผิวขาวเนียนละเอียดราวกับหิมะเผยภายใต้ผ้าคลุมบาง ดวงหน้าเล็กรูปไข่งดงามละมุนพริ้มเพรา คิ้วเรียวดั่งคันศรรับกับดวงตากลมโตภายใต้แพขนตางอนยาว จมูกรั้นเชิดขึ้นเล็กน้อยขณะที่รูปปากสวยโรยด้วยรอยยิ้มยากจะคาดเดา นางมีนามว่าสวี่ลี่เซียน ถือกำเนิดจากเผ่าวิหคสวรรค์ที่ขึ้นชื่อเรื่องพละกำลัง บิดาและมารดาของนางเป็นนักรบสวรรค์ที่เก่งกาจ ทั้งสองเข้าร่วมศึกระหว่างเผ่ามารและสวรค์ในอดีต สงครามสืบเนื่องมาอย่างยาวนาน กระทั่งประมุขมารองค์ปัจจุบันถือกำเนิดขึ้นสงครามจึงได้ยุติลง กระนั้นก็แลกมาด้วยชีวิตของบิดาและมารดาของนาง ในตอนนั้นสวี่ลี่เซียนยังเด็ก ด้วยคุณงามความดีของบิดาและมารดาไห่หวงเทียนจวินจึงได้รับนางมาเลี้ยง และด้วยความที่นางมีพลังและวิชาอาคมไม่มาก ไท่หวงเทียนจวินจึงได้ขอร้องแม่ทัพใหญ่สวรรค์เว่ยอู่ฉางรับตัวนางเป็นศิษย์ ซึ่งนางก็ไม่ทำให้ผู้ใดผิดหวัง นางทั้งฉลาดและเก่งกาจไม่เป็นรองใคร มีความสามารถสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เว่ยอู่ฉางได้ ข้อเสียเพียงข้อเดียวนั่นคือความรักของนางที่มีให้แก่อาจารย์นั้นมากมายเหนือจินตนาการ และมันส่งผลกระทบครั้งใหญ่ เมื่อสวี่ลี่เซียนได้รับราชโองการอภิเษกแก่เผ่ามาร นางทั้งเจ็บใจและสิ้นหวัง ราชโองการนี้จุดประสงค์ที่แท้จริงส่งมาเพื่อนำนางไปเป็นเชลยเท่านั้น ! หากไร้ซึ่งนางผู้พอเทียบเคียงองค์หญิงได้แล้วล่ะก็ ไท่หวงเทียนจวินต้องจำใจส่งพระธิดาตนเองไปแทน โดยใช้ข้ออ้างว่าองค์หญิงไม่พร้อมสำหรับแดนมาร เนื่องจากน้อยนักที่จะเกิดธิดาในตระกูล จึงทำให้องค์หญิงมีร่างกายอ่อนแอกว่าคนทั่วไป เหอะ น่าสมเพช.. สวี่ลี่เซียนนึกสมเพชตัวเองอย่างยิ่ง พวกเขาชุบเลี้ยงนางไว้หวังพึ่งพาพลังของนางไม่พอยังยินยอมส่งตัวของนางมอบให้แก่พวกเผ่ามารผู้สังหารบิดาและมารดานางอีก! นางไม่มีทางยอม!! ขาเรียวเดินตามทางคุ้นชินมาหยุดยังบานประตูใหญ่ ด้านหน้าผู้เฝ้าประตูทั้งสองหลีกทางให้แก่นาง พร้อมกับโน้มตัวทำความเคารพ “แม่นางสวี่” “แม่ทัพเว่ยอยู่ด้านในหรือไม่” “ขอรับ” สวี่ลี่เซียนยิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่ไม่อาจละสายตาได้โดยง่าย ผู้เฝ้าประตูทั้งสองยิ้มตอบจิตใจกระปรี้กระเป่าเมื่อพบนางสวรรค์ผู้งดงามที่สุดและมากความสามารถอย่างน่าชื่นชม สายตามองตามหลังบอบบางน่าทะนุถนอมของนางกระทั่งลับสายตา ตำหนักแม่ทัพใหญ่สวรรค์แยกตัวห่างไกลนับพันลี้ ซ่อนอยู่ในหุบเขาเหวยเมิ่ง ตัวตำหนักตั้งตระหง่านบนยอดเขาสูงห้อมล้อมด้วยม่านเมฆสีฟ้าครา เมื่อสวี่ลี่เซียนมาถึง คิดเอาไว้ว่าทุกอย่างต้องเตรียมพร้อมไว้ดีอยู่แล้ว มั่นใจแผนของนางแยบยลไร้สิ่งผิดพลาด ท่านอาจารย์อู่ฉางย่อมกำลังมัวเมาในฤทธิ์โอสถที่นางสั่งคนลักลอบนำมาจากแดนมาร อีกทั้งผู้ที่ล่วงรู้ถูกนางกำจัดจนหมดสิ้นแล้ว หากต้องมีผู้กระทำผิดคนผู้นั้นย่อมไม่ใช่นาง ความน่าสงสัยทั้งหมดจะชี้เป้าไปที่เผ่ามารน่ารังเกียจพวกนั้นแน่นอน เมื่อมั่นใจดังนั้น สวี่ลี่เซียนแสยะยิ้มอย่างพอใจ ขณะมือเรียวแบออกเกิดละอองแสงสีทองอ่อนห้อมล้อมก่อนจะปรากฏโอสถสีแดงเลือดบนมือ มันคือโอสถชนิดเดียวกันกับที่วางยาแม่ทัพใหญ่สวรรค์เว่ยอู่ฉางนั่นเอง สวี่ลี่เซียนไม่ลังเลหยิบโอสถเม็ดสีเลือดกลืนเข้าลำคอแม้จะขมจนอยากสำลอกกระนั้นนางก็ฝืนกลืนมันลงไป โอสถเกือบจะออกฤทธิ์ในทันที ร่างบางซวนเซเล็กน้อยแต่พยายามทรงตัวเอาไว้แล้วเดินเข้าไปยังด้านในคงสติไว้ด้วยความแค้นสุมภายในใจดั่งไฟโหมกระหน่ำ “...” นางเดินมาถึงระเบียงกว้างถัดไปเป็นที่พักส่วนตัวแม่ทัพใหญ่เว่ยอู่ฉาง รอบด้านมืดสลัวมีเพียงจากพระจันทร์ให้ความสว่าง ยามนี้งานรื่นเริงใกล้สิ้นสุดแล้ว ด้วยนิสัยเคร่งขรัดเว่ยอู่ฉางย่อมไม่ปฏิเสธจอกเหล้าจากเหล่าแขกเหรื่อนอกเผ่า แม้จะมีพลังแก่กล้ามากเพียงใดโอสถตัวนี้ไร้ซึ่งกลิ่นและรสยากที่จะจับได้ และนางรู้ด้วยอีกว่าก่อนงานใกล้สิ้นสุดนี้แม่ทัพใหญ่เว่ยได้ขอตัวกลับมาก่อนแล้ว สตรีดวงหน้างดงามไม่รอช้า เนื่องจากฤทธิ์โอสถในกายกำลังพุ่งพล่านเต็มที่แม้จะรู้สึกผิดที่วางยาอาจารย์แต่หากต้องไปเป็นของบรรณาการให้แก่พวกเผ่ามารชั่วช้านางขอมอบร่างกายและความบริสุทธิ์นี้แก่คนที่นางรักเสียดีกว่า “ท่านอาจารย์” น้ำเสียงหวานล้ำเอ่ยอย่างถวิลหาเรียกบุรุษในใจ ดินแดนแห่งนี้แม้ขณะเดือนมืดยังคงไม่ไร้สิ้นแสงสว่าง ทว่ายิ่งเดินเข้ามาเรื่อย ๆ รอบข้างยิ่งมืดขรึ้ม สวี่ลี่เซียนเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศกระอักกระอวน สายตาพยายามคลำหาเส้นทางไปยังบริเวณด้านในฝ่าความมืด เมื่อโอสถเริ่มออกฤทธิ์พลังในร่างกายคล้ายกับถูกสะกดเอาไว้จึงทำให้นางไม่อาจบรู้สิ่งผิดแปลกได้ในตอนนี้ และน่าแปลกที่นางเดินตัวปลิวไม่ชนสิ่งกีดขวางกระทั่งเห็นเงาตะคลุ่มนั่งตัวตรงอยู่บนตั่ง สวี่ลี่เซียนหยุดชะงัก เว่ยอู่ฉางที่สมควรนอนสลบอยู่บนเตียงไฉนเลยถึงได้นั่งนิ่งไม่มีท่าทีดั่งเช่นคนโดนโอสถพิษเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งนางยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องนางอยู่แม้มองไม่เห็นในความมืดนี้ก็ตาม หรือท่านอาจารย์รู้แล้ว..? “อา..อาจารย์ ข้า..” สวี่ลี่เซียนพูดออกมาอย่างยากลำบาก พยายามกดฤทธิ์ของโอสถเอาไว้ “ข้ากำลังรอเจ้าอยู่เลย” สิ้นคำ ร่างสูงใหญ่บนตั่งพลันเคลื่อนกายรวดเร็วมาถึงตัวนาง สวี่ลี่เซียนตกใจเผลอก้าวถอยหลังแต่กลับถูกมือใหญ่เอื้อมคว้าเอวกระชากให้ตามไปอย่างแรง แม้จะงุนงงแต่เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของท่านอาจารย์ไม่ผิดแน่ ตุบ! “โอ้ย!!” ร่างของนางถูกโยนลงบนตั่ง สวี่ลี่เซียนพลันน้อยเนื้อต่ำใจเหตุใดท่านอาจารย์ถึงไม่คิดถนอมนางเช่นองค์หญิงไห่จิ่งฮวาบ้าง รังแต่กล่าวชื่นชมว่านางวรยุทธิ์สูงส่ง เข้มแข็ง ..จะแล้วทำไม เข้มแข็งก็ดีวรยุทธิ์สูงส่งก็ดี หากนางเองก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่สมควรได้รับความอบอุ่นจากผู้ใดบ้างหรือ “ทะ..ท่านอาจารย์” ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว จดจ้องเงาดำในความมืดมิด เขายังคงยืนนิ่งราวกับกำลังหยั่งเชิงนางอยู่ว่านางต้องการจะทำสิ่งใดต่อ เห็นดังนั้นสวี่ลี่เซียนขบริมฝีปากจนห่อเลือด เล็บจิกลงบนฝ่ามือจนรู้สึกถึงน้ำอุ่นจากเลือดแต่มันกลับเจ็บไม่เท่าจิตใจนางในยามนี้ “ท่านเกลียดข้าหรือไม่..” เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าท่านอาจารย์จะรู้แล้วถึงสิ่งที่นางทำ ทว่า..หญิงสาวตะเกียกตะกายไม่สนแม้ว่าเสื้อผ้าที่ตั้งใจสวมมาจะหลุดรุ่ยลงไปกองข้างตัว เพราะนี่เป็นความตั้งใจหนึ่งของนางเอง “...” “ท่านอาจารย์.. ข้าขอร้องท่าน แฮ่ก.. ได้โปรดช่วยข้า ท่านอย่าทิ้งให้ข้าต้องอยู่อย่างสิ้นหวังในดินแดนน่ารังเกียจแห่งนั้นเลย” อวี้เหิงกำหมัดแน่น โทสะสูงเทียมฟ้าหลังฟังคำว่าน่ารังเกียจที่กล่าวถึงดินแดนของเขาจากนาง “หึ.. พวกเจ้าเรียกตัวเองว่าผู้สูงส่ง กล่าวว่าเราเผ่ามารชั่วช้า หวาดกลัวเราเพราะเราแต่งต่าง แต่..พวกเจ้า ผู้สูงส่งแห่งสวรรค์ชั้นฟ้า ใช้ข้อเสนอและเหล่าคนของข้าผูกมัดตัวข้าดั่งคนขี้ขลาด พวกเจ้าเองก็ไม่ต่างจากคำเหล่านั้นที่กล่าวหาเราเลยแม้แต่น้อย และเจ้า สตรีหน้าไม่อาย รังเกียจข้าใช่หรือไม่ หึ แต่จะทำอย่างไรดีเล่า ตอนนี้มีแค่ข้าที่ช่วยเจ้าได้” นางมวดคิ้วงุนงงในคำพูดเหล่านั้น ก่อนเม็ดโอสถสีแดงที่คุ้นตาเป็นพิเศษอันหนึ่งปรากฏบนอุ้งมือหนา พริบตาที่แลเห็นโอสถสีแดง สายตาสวี่ลี่เซียนสะกดนิ่งบนโอสถนั้น มันควรอยู่กับท่านอาจารย์ไม่ใช่หรือ! “แปลกใจรึว่าทำไมข้าถึงมีมันได้” บุรุษในเงามืดแสยะยิ้มร้ายกาจ “จะ..เจ้า” สวี่ลี่เซียนขยับถอยหลังหล่นหนี ทว่าฤทธิ์โอสถเริ่มแสดงอาการหนักข้อ มือเล็กกุมช่วงอกที่กำลังร้อนรุ่ม ดวงตากลมโตเริ่มพร่ามัวในขณะที่ร่างกายไม่ยอมฟังคำสั่งเริ่มคลานเข้าหาเงาสูงใหญ่ มือเล็กยื่นไปจับได้ชายเสื้อ แววตาอ้อนวอนของนางเงยขึ้นมองผ่านความมืด ปรากฏเพียงดวงตาสีอำพันคู่สวยสว่างเป็นประกาย อย่างน้อยความมืดยังช่วยกลบความน่าหวาดกลัวจากรอยยิ้มราวกับปีศาจของอวี้เหิงเอาไว้ นางกัดริมฝีปากจนเลือดไหลซิบ บังคับไม่ให้ตัวเองเอ่ยคำสิ้นคิดออกมา แต่ทนได้ไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งลมหายใจ “แฮ่ก..ก ช่วยด้วย” “ย่อมได้” สิ้นน้ำเสียงเย็นชาร่างของนางก็ถูกกระชากและเหวี่ยงลงตั่งอีกครั้ง ด้วยแรงเหวี่ยงส่งผลให้เสื้อผ้าของนางคลายตัวลงไปกองที่เอวคอด เรือนร่างงดงามมีส่วนเว้าโค้งน่าหลงใหลปรากฏแก่สายตา ผิวขาวเนียนละเอียดราวกับน้ำนมกำลังขึ้นสีแดงก่ำจนทั่วด้วยฤทธิ์ของโอสถ ยามแสงจากพระจันทร์ตกกระทบยิ่งทำให้นางเหมือนกับเป็นปีศาจจิ้งจอกจำแลงกายยั่วยวน อวี้เหิงยอมรับว่าสตรีผู้นี้มีเสน่ห์ร้ายกาจ แม้แต่เผ่าจิ้งจอกที่นับได้ว่างดงามและมีเสน่ห์ยั่วยวนมากที่สุดยังไม่อาจเทียบนางได้เลย “เจ้าเหมาะแก่การอยู่บนเตียงของข้ามากกว่าสนามรบนัก” ร่างสูงกล่าวน้ำเสียงแหบพร่า ปลดอาภรณ์ออกเชื่องช้า มวลมัดกล้ามหนาเป็นลอนสวยดูแข็งแกร่งกำยำดั่งแม่ทัพชาญศึกดึงดูดสายตา ไหล่กว้างแผงอกหนาดูหนักแน่นเสียยิ่งกว่าหินผาและมากกว่าแม่ทัพใหญ่สวรรค์เว่ยอู่ฉางผู้เป็นอาจารย์ของนางเสียอีก บาดแผลบนร่างกายกำยำแม้ดูแข็งกระางแต่กลับให้ความรู้สึกหนักแน่นและน่าเกรงขามเสียจนใจเต้นได้อย่างน่าประหลาด ด้วยฤทธิ์โอสถ สวี่ลี่เซียนไม่อาจทนรอ นางเคลื่อนตัวเข้าหาร่างหนามือเล็กนุ่มนิ่มกวาดมือสัมผัสทั่วมวลกล้ามเนื้อบุรุษ สตรีเช่นนางไม่เคยเห็นเรือนร่างบุรุษมาก่อนจึงไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไรแต่เพราะความต้องการของนางตอนนี้มีมาก จึงบดเบียดอกอวบสองข้างเข้าหาภายในใจอยากจะให้เขาสัมผัสตัวนางใจแทบขาด “สะ..สัมผัสข้าที” ตัวของนางเมื่อเทียบกับร่างใหญ่ของบุรุษแล้วช่างดูเล็กและน่าทะนุถนอมมากกว่าสิ่งใด แต่ไม่ใช่กับอวี้เหิง เขาผลักนางออกอย่างไม่ไยดี สีหน้าเย้ยหยันอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง ที่ตรงนี้ต้องตามคำสั่งข้าเท่านั้น ใช้ปากของเจ้าซะ” นางถูกเขารั้งท้ายทอยเข้ามาหา ปากถูกจับเขาอ้าออกก่อนมีบางสิ่งที่ทั้งใหญ่และแข็งกระแทกเข้ามาในปาก สิ่งนั้นมันลึกลงไปสัมผัสถึงลำคอจนทำให้นางเกือบสำลอก ความรู้สึกชาและเจ็บแสบปลายริมฝีปากทั้งสองข้างส่งผลให้น้ำตาของนางไหลพราก “อืม..” อวี้เหิงกัดฟันแน่น แช่แก่นกายทิ้งไว้สักพักหนึ่ง “อืออ” สิ่งนั้นเริ่มขยับเข้าออกในปากของนาง มือเล็กพยายามดันหน้าท้องคนตัวโตเพื่อถอยหนี แต่เพราะมีฝ่ามือใหญ่สอดใต้เส้นผมรั้งใบหน้าของนางเอาไว้ไม่ให้ขยับหนี ทั้งยังบังคับใช้ปากนางชักรูดแก่นกายของเขาตามอำเภอใจ ท่อนลำใหญ่ชักรูดเข้าโพรงปากนางไม่หยุดหย่อน มันแน่นคับในโพรงปาก สวี่ลี่เซียนรู้สึกราวกับปากจะฉีกขาด “อื้ออ อื้ม” นางร้องครางในลำคอเมื่อถูกเขาสัมผัสเล่นที่ยอดถันและบีบเคล้นรุนแรง ขณะที่สะโพกสอบยังไม่หยุดขยับ อวี้เหิงขบสันกรามแน่นด้วยความเสียวกระสัน ภายในปากของนางร้อนและนุ่มจนเขาเกือบจะถึงฝั่งไม่ไกล สะโพกสอบเร่งเร้าชักรูดแก่นกายเข้าออกเร็วและถี่เกิดเป็นเสียงน่าอายดังคับห้อง “อื้ออ!!..” มือเล็กทุบบนร่างแกร่งราวกับประท้วง น้ำตาไหลนองหน้าเนื่องจากความรู้สึกทั้งเจ็บราวกับปากจะฉีกขาดและแสบในลำคอ แต่คนกระทำหาสนใจไม่ สะโพกสอบเร่งเร็วสักพักใหญ่จุดทิ้งทวนสุดท้ายก่อนเสร็จสม เขากระแทกท่อนลำจนสุดโขนก่อนจะพ่นน้ำขุ่นร้อนออกมา “ซี๊ด อืม!” “อึก!” อวี้เหิงกดศีรษะของนางเอาไว้ไม่ยอมถอนร่างออก น้ำอุ่นร้อนค่อย ๆ ไหลลงคอ กลิ่นบุรุษอบอวลเต็มโพรงปาก น้ำตาเปื้อนทั่วใบหน้าด้วยความสะอิดเอียน นางย่นคออยากจะถอยหนีแต่ไม่อาจสู้แรงบุรุษได้ สวี่ลี่เซียนไม่มีทางเลือกนางจึงกลืนน้ำของเขาจนหมด “อ่า..ทำดีมาก” เสียงเหนือศีรษะผ่อนลมหายใจก่อนกล่าวขึ้นอย่างพึงพอใจ แล้วจึงถอนแก่นกายออก “แค่ก..ก แฮ่ก .. แค่ก แค่ก” สวี่ลี่เซียนรู้สึกราวกับเพิ่งผ่านพ้นนรกขึ้นมาทั้งที่ไม่เคยไปเยือน นางสำลอกและไอจนตัวโยน ของเหนียวหนืดยังติดข้างริมฝีปากของนางอยู่.. ทว่าเป็นเขาที่เสร็จสมร่างกายของนางยังไม่ถูกทำให้สงบ ร่างบางหอบหายใจถี่เนื้อตัวแดงก่ำยิ่งกว่าเก่าราวกับการกระทำป่าเถื่อนเมื่อสักครู่กระตุ้นความกำหนัดในตัวนางให้มากขึ้น “ที่แท้เจ้ากำลังรู้สึกดีที่ข้าข่มเหงเจ้า” อวี้เหิงไม่พูดเปล่า มือใหญ่กอบกุมทรวงอกนางข้างหนึ่งแล้วคลึงเคล้าเล่น นิ้วสากเขี่ยวนรอบยอดถันสีหวานราวกับต้องการเหย้าหยอกนาง “..อ๊ะ อ๊า!” ใบหน้าเล็กเชิดขึ้นกัดริมฝีปาก เล็บจิกลงบนผ้าเผลอแอ่นทรวงอกเข้าหาด้วยความลืมตัวเชื้อเชิญให้เขากระทำนาง รอยยิ้มแสยะเห็นมุมเขี้ยวเผยบนใบหน้าหล่อเหลายิ่งทำให้เขาดูอันตรายไปอีกเท่าตัว คนตัวโตกว่าคว้าเข้าที่ไหล่บางกดร่างเล็กลงจมบนกองผ้าขณะที่มือยังไม่หยุดบีบเคล้นทรวงอกอวบ อวี้เหิงแทรกตัวเข้ามาระหว่างขาเรียว ท่อนลำอันร้อนผ่าวแนบเนื้อเหนือหน้าท้องแบนราบ ขนาดของมันใหญ่จนนางรู้สึกได้ สวี่ลี่เซียนครางเบา ๆ พลางหายใจหอบถี่ ฉับพลันลมหายใจสะดุดเมื่อยอดอกของนางถูกความนุ่มร้อนบางอย่างกลืนหายเข้าไป นางส่งเสียงครางออกมาลืมความน่าละอายจนหมดสิ้น “อ๊า ะ อื้อออ” ร่างบางกระตุกยามลิ้นตวัดเลียปลายถัน ทรวงอกอวบถูกกลืนหายเข้าไปในปากขณะยอดถันถูกฟันขบเม้มและดูดเลียจนเกิดเสียงดังน่าอาย อกอวบอีกข้างถูกขยำย้ำยีจนทะลักง้ามนิ้ว น้ำใสเปียกชโลมทั่วก้อนเนื้อนางถูกเขาบดขยี้ปลายถันจนเปลี่ยนเป็นสีแดงเปร่ง การกระทำป่าเถือนทำให้ผิวขาวของนางขึ้นรอยแดงเป็นจ้ำ เสียงหวานทำได้เพียงร้องครางไร้ซึ่งหนทางต่อต้าน อวี้เหิงราวกับบุรุษช่ำชองและกระหายราวกับสัตว์ป่า ริมฝีปากหยักเคลื่อนผ่านทุกพื้นที่บนอกอวบอัดทิ้งร่องรอยสีกุหลาบจนทั่วผิวขาว สวี่ลี่เซียนเม้มปากแน่นยามถูกเขากัดฝังเขี้ยวลงตัวนางไปทั่วดั่งกับต้องการจะกินนางเข้าไป “อ๊ะ!! อะ..อย่าจับตรงนั้น!” สวี่ลี่เซียนร้องเสียงหลง ยามส่วนลับที่ไม่เคยถูกบุรุษใดแตะต้องถูกคนตรงหน้าสัมผัสถูไถ นางยกมือขึ้นมาป้องกันตามสัญชาตญาน ทว่าอีกคนไวกว่ามากคว้าข้อมือของนางทั้งสองข้างไว้ในมือเพียงข้างเดียว นัยน์ตาสีอำพันวาวโรจน์แสดงสีหน้าสะใจ ท่าทางขัดขืนของนางกระตุ้นเขาไม่น้อย และถึงแม้มีผ้าเตี้ยมบางกั้นอยู่แต่มันกลับเปียกชุ้มจนน้ำหวานจากร่างนางติดนิ้วมือของเขาออกมาเชียว “ให้ตายสิ เจ้าแสดงท่าทีขัดขืนแค่เพราะต้องการยั่วข้าหรือ ปากเจ้าห้าม แต่ร่างกายของเจ้ากลับอ่อนไหวอย่างกับเชื้อเชิญให้ข้าสัมผัส..มากขึ้นไปอีก” “..อื้อ มะ ไม่ อ๊ะ” ผ้าชิ้นน้อยถูกปลดออกอย่างไม่ไยดี เพียงเขาแตะแผ่วเบาลงบนกลีบช่องทางรักของนาง นางก็รู้สึกราวกับถูกแรงกระตุ้นบางอย่างให้เสียวซ่านขนลุกเกรียวไปทั่วทั้งตัว สะโพกงอนงามกระตุกบิดร่อนขณะถูกนิ้วสากนิดคลึงบนส่วนนุ่มนิ่มสีหวาน เพียงไม่นานนางรู้สึกราวกับมีบางอย่างกำลังออกมา “อ๊ะ อ้ะ! ข้า ข้ารู้สึกแปลก ๆ อ๊า!” สวี่ลี่เซียนกระตุกถี่ปลดปล่อยน้ำหวานออกมา ปลายเท้าชาขณะช่วงล่างรู้สึกปวดหนึบ หญิงสาวน้ำตาคลอหัวใจเต้นระส่ำนอนบิดเร้าบีบเคล้นทรวงกตัวเองไปมาด้วยความเสียวซ่าน ยามนี้สวี่ลี่เซียนไร้สติไปแล้ว นางต้องการให้เขาทำให้นางเสร็จสมซ้ำ ๆ อีกครั้ง “โอสถนั่นได้ผลรุนแรงกับเจ้าถึงเพียงนี้เชียว ข้าสัมผัสเบา ๆ เจ้าก็เสร็จสมแล้วรึ หึ” อวี้เหิงหยัดกายขึ้นมองทิวทัศน์ยั่วยวนถึงกับแสยะยิ้มออกมา เขาปลดอาภรณ์ของตัวเองช้า ๆ ไม่รีบร้อน “ดะ.. ได้โปรด แฮ่ก.ก” สวี่ลี่เซียนกระสับกระส่าย ร่างกายร้อนผ่าวดั่งมีเพลิงแผดเผา “ฮึ่ม.. ไม่มีความคิดอดกลั้นอยู่ในหัวของข้าอยู่แล้ว” พรวด! “อ๊า!!! เจ็บ!! อื้อ!!” ท่อนลำใหญ่แข็งขื่อจนเห็นเส้นเลือดแทรกเข้าสู่ร่างบอบบางภายในครั้งเดียว น้ำหวานไหลเยิ้มเต็มช่องทางคับแน่นทำให้มันสอดเข้าไปได้ไม่ยากเย็น แต่กระนั้นสีหน้าเครียดเกร็งของอวี้เหิงจนต้องกัดฟัน เพราะข้างในของนางคับแน่นตอดรัดตัวตนของเขาจนปวดหนึบ “อืม.. แน่นมาก” อวี้เหิงสบถในลำคอ เขาไม่แม้แต่จะสนใจเสียงกรีดร้องเจ็บปวดของนาง ไม่รอให้อีกคนได้พัก มือสากคว้าเอวคอดยึดไว้ให้มั่น ขยับสะโพกสอบตอกย้ำเข้าออกร่างนางตามความต้องการของตัวเอง พั่บ! พั่บ! พั่บ! “อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊า” ทุกการตอกย้ำหนักหน่วงและรุนแรง ร่างหนาชักรูดแก่นกายเข้าสุดออกสุด ชักรูดผ่านด้านในอ่อนยวบและร้อนเร็วถี่ จากความเจ็บปวดในคราแรกแรเปลี่ยนเป็นความเสียวกระสันเพียงเขาชักรูดผ่านร่างกายนางไม่นาน เสียงเนื้อกระทบกันดังแข่งกับเสียงหวานร้องคราง อกคู่อวบคลอนสั่นตามแรงกระแทกดึงดูดสายตาคมกล้า ไม่รอช้าริมฝีปากหยักฉกฉวยปลายถันดูดกลืนและขบกัดอย่างตะกละตะกลาม “อ๊า อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อย่า.. อ๊ะ อย่ากัด อื้อ” “อืม..” ชายหนุ่มคำรามในลำคอ นางตอดรัดเขาเสียแน่นจนหากไม่ใช่เพราะปลดปล่อยไปก่อนหน้านี้เขาคงทนได้ไม่นานแน่ “หันหลัง” “อ๊ะ อ๊า!! จุก อ๊ะ อื้อ” ร่างเล็กถูกพลิกหันหลังในท่วงท่าโก่งสะโพกขึ้น ไม่ทันไรของแข็งที่ชักออกเมื่อสักครู่ได้แทรกเข้ามาจนสุดโคนกระแทกหนักหน่วงร้าวไปทั่วหน้าท้อง สวี่ลี่เซียนทั้งจุกทั้งเสียว เนื้อตัวอ่อนแรงฟุบหน้าลงไปกับแขน ผมสยายร่างคลอนสั่นเร็วถี่เมื่อคนบนร่างเริ่มขยับกายเข้าออกรุนแรงขึ้น ปึก! ปึก! ปึก! “อื้อ.. อ๊ะ อ๊ะ อ๊า” เสียงร้องครางดังระงมทั่วทั้งตำหนัก ทว่ากลับไม่มีผู้ใดได้ยินและไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงตัวตนของนางและเขา ผู้เฝ้าประตูด้านนอกอันตรธานหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ทิวทัศน์ภูเขาเหวยเมิ่งกลายเป็นตำหนักเดี่ยวท่ามกลางหมอกอำพรางสีดำทมิฬ เสียงร้องครางและเสียงกระทบเสียดสีดังอยู่เนิ่นนาน ร่างสองร่างสลับเปลี่ยนท่วงท่าเสพสุขจนเกือบรุ่งสาง.. ฉึบ! ภาพตัดลงเมื่อบทเพลงรักเร่าร้อนจบลงในรอบที่สาม เหมือนมีแสงสว่างสาดเข้าตา สายตาเหม่อลอยของหลี่เซียนยามนี้กลับมาเป็นปกติ แต่เหตุการณ์อันเร่าร้อนจนใจเต้นตุบตับเมื่อสักครู่ยังติดอยู่ในความรู้สึกของนางราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเอง!! “อ๊าก!!! เฮือก แฮ่ก แฮ่ก นะ..นั่นมัน อ๊ากกกกก!!” หญิงสาวผู้โสดซิงเมื่อชาติก่อนต้องแหกปากร้องลั่นซ้ำสอง เพราะตกใจได้เพียงไม่นาน ทันทีที่รู้สึกตัวไม่ถึงหนึ่งลมหายใจก็รู้สึกถึงเงามืดที่กำลังบดบังสายตาตรงหน้า เมื่อเงยหน้ามองให้ชัดก็พบกับสายตากดดันผ่านดวงตาสีอำพันจ้องเขม็งอย่างกับกินเลือดกินเนื้อเธอ “เจ้าเสียสติไปแล้วรึ บังอาจขึ้นเสียงใส่ข้าผู้นี้!!” เมื่อสักครู่ในขณะที่อวี้เหิงกำลังพูดอยู่ จู่ ๆ ร่างบนตั่งก็นิ่งเงียบไปสายตาเหม่อลอย ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้ พูดออกไปก็หลายประโยคนางก็ยังนิ่งเงียบ ประมุขมารเช่นเขาถูกหยามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในคราแรกเห็นใจนางที่ไม่ได้สติไปแต่เห็นทีคงอ่อนข้อให้นางอีกไม่ได้แล้ว ด้านหลี่เซียนที่ยอมรับอย่างรวดเร็วว่าตัวเองเป็นสวี่ลี่เซียนแน่ ๆ ได้ยินเสียงทุ้มตะคอกดุดันพลันหวาดผวากลืนเสียงร้องตกใจลงลำคอจนเกือบสะอึกเล่นยื่นหน้ามาใกล้มันเลยตึกใจน่ะสิเว้ย!! “อึก!.. ฮู่ว..” แต่เพราะตกใจมากจึงเผลอลูบหน้าอกตัวเองพลางเป่าลมเข้าออกจนแก้มป่อง “ทำอะไร” อวี้เหิงเห็นการกระทำเบาปัญญาจึงขมวดคิ้วกล่าวถามด้วยความงุนงง ท่าทีของนางทำเอาเขาลืมเรื่องขุ่นเคืองไปชั่วขณะ ตอนพบกันครั้งแรกนางมีกลิ่นความหวาดกลัวและความรังเกียจอยู่มากแท้ ๆ แต่ตอนนี้อวี้เหิงกลับไม่สามารถได้กลิ่นอะไรจากนางแม้แต่เพียงนิดเดียว จะมีก็แต่..กลิ่นหอมจาง ๆ เท่านั้น สวี่ลี่เซียนที่เริ่มหายใจคล่องคอขึ้นมาบ้าง กระแอมไอเล็กน้อยในหัวครุ่นคิดถึงวิธีเอาตัวรอดที่เพิ่งคิดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว นางจะเป็นเด็กดี นางจะต้องเป็นเด็กดีเท่านั้น!! “แหะ ๆ ที่แท้ก็สามีในอนาคตนี่เอง อะ..อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ อะ..เอ่อหรือว่าต้องราตรีสวัสดิ์เจ้าคะ?” เพราะมันมืดอยู่นางเลยไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไร แต่พูดอะไรที่มันพอเปลี่ยนเรื่องได้ก็พูดไปก่อน!! “...” ส่วนอวี้เหิงนั้นจ้องดวงตาใสแป๋วไร้พิษสงของนางพลางคิดว่า ..หรือนางจะเป็นคนเบาปัญญาอย่างที่คิดจริง ๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD