Chapter 4
เสื้อคลุม
เช้าวันรุ่งขึ้น....
“อะ...อื้อ!” ฉันร้องขึ้นเมื่อตื่นจากห้วงนิทรา ความหนักอึ้งถาโถมส่งผลให้ฉันชะงักไปในทันที
ที่นี่มัน...
“อึก...” ฉันกลืนน้ำลายลงคอขณะที่ร่างกายสั่นระริก ก่อนที่สายตาจะเคลื่อนต่ำลงก้มมองสภาพของตัวเองก็พบว่า...มันเปลือยเปล่า!
“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นพลันทำให้ฉันสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ใบหน้าหันมองคนที่เข้ามาใหม่ก่อนจะขยับตัวชิดกับขอบเตียง
เพราะเจ้าของเสียงนั้นคือคนที่ลากฉันมาในที่แห่งนี้!
ฉันกำผ้าห่มเผื่อคลุมร่างกายเอาไว้แน่น สายตาก็สั่นไหวและเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำสีใสเมื่อนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนที่ผ่านมา
แม้ว่าฉันจะตอบรับข้อเสนอของเขาเพื่อหวังจะช่วยเหลือเพื่อนสนิท แต่ฉันกลับจำเรื่องราวอะไรไม่ได้เลยว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน เกิดขึ้นอย่างไร หากแต่ฉันเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่าคนอย่างเขาจะต้องทำเรื่องเลว ๆ นั้นไปแล้วแน่นอน!
“ร้องไห้ทำไม” คนตัวโตขมวดคิ้วมองฉันอย่างไม่พอใจ ก่นที่ขายาวจะก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับมือใหญ่ที่บีบคั้นกรามเล็กของใหญ่
“ฮึก...ปล่อยนะ!” ฉันพยายามสะบัดหน้าหนี แต่ยิ่งต่อต้านผลักไส เขาก็ยิ่งก็ออกแรงบีบมากยิ่งขึ้นจนฉันทำได้เพียงปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเท่านั้น
“ฉันถามว่าร้องไห้ทำไม!”
“หมดหน้าที่ของฉันแล้วใช่ไหม ทำตามสัญญาด้วยล่ะ” ฉันไม่ตอบคำถามแต่เลือกที่จะทวงสัญญาแทน ในเมื่อฉันยอมรับข้อเสนอของเขาแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าข้อตกลงที่เขาได้ให้จะเป็นไปตามนั้นด้วย
“ฮึ หน้าที่?” เขาแค่นเสียงหัวเราะพร้อมกับกดสายตามองฉันด้วยความเหยียดหยาม
“ขำอะไร!”
“เธอมันโง่ ซื่อบื้อ สดซิงขนาดนั้นเลยหรือไงถึงไม่รู้ว่าตัวเองโดนหรือไม่โดน!”
“นะ...นี่นาย!” ฉันเบิกตากว้างและแผดเสียงตะคอกออกไปด้วยแรงโทสะ คำพูดห่าม ๆ ที่เปล่งออกมาทำให้ฉันถึงกับกำมือทั้งสองข้างเอาไว้แน่น
หากใจกล้ามากกว่านี้ฉันคงได้ตบตีทำร้ายเขาเพื่อระบายความโกรธที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจไปแล้ว!
“รีบออกไปจากห้องฉันได้แล้ว ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธอ!”
ฉันเบือนหน้าหนี ปาดเช็ดน้ำตาออกลวก ๆ ก่อนจะกำผ้าห่มคลุมกายหวังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ หากแต่ความคิดบางอย่างกลับเรียกรั้งให้ฉันเอ่ยเรียกเขาคนนั้นออกไป
“เดี๋ยว คือฉัน...”
“อยากเอากับฉัน?”
“ไอ้เลว! ฉันไม่เคยมีความคิดแบบนั้น!” ฉันตะคอกออกไปสุดเสียง ถลึงตาขวางใส่เมื่อถูกคำพูดเหยียดหยามพ่นใส่หน้า
“แล้วเรียกทำไม”
“ฉันจะขอยืมเสื้อคลุมนายหน่อย สภาพฉันในตอนนี้มัน...”
ตุ้บ!
ฉันเอ่ยไม่เต็มเสียง ก้มหน้าหลุบตาต่ำสำรวจมองสภาพของตัวเองที่เต็มไปด้วยรอยแดงจ้ำจากการกระทำของเขาทั้งหมด ไม่นานเสื้อคลุมหนังราคาแพงก็ถูกโยนมาที่หน้าของฉันอย่างจัง
ฉันรีบมันมาเงียบ ๆ พยายามคลานเก็บเสื้อผ้าของตัวเองโดยไม่คิดปริปากเอ่ยคำใดออกไป กระทั่งใช้เสื้อคลุมตัวใหญ่ของเขาปกปิดร่างกายเอาไว้ได้อย่างมิดชิด ก่อนจะสาวเท้าเดินไปยังประตูหมายจะออกไปให้พ้นจากใบหน้าของคนเลว ๆ ตรงหน้า
แต่ทว่า...
หมับ!
แขนของฉันถูกกระชากทำให้ร่างกายเซถลาโถมเข้าหาคนกระทำอย่างแรงจนเจ็บปวด ฉันขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ แต่ทว่าธนบัตรปึกใหญ่กลับปาเข้าใส่หน้า ตามมาด้วยเสียงแค่นหัวเราะและรอยยิ้มเย้ยหยันที่กระแทกตอกหน้า
“รับเงินไปสิ”
“ฉันไม่ต้องการ!” ความโกรธพุ่งแล่นจนอยากฟาดฝ่ามือสั่งสอนคนเลว แต่ฉันกลับเก็บกลั้นความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ ข่มน้ำเสียงให้ปกติก่อนจะตอบออกไปโยไม่คิดสบสายตามองคนเลวคนนั้น
“รับไปซะ! ถ้าเธอยังดื้อด้านอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!”
ฉันเม้มปากแน่นความเสียใจอัดเข้าสู่อก เลือกเก็บเงินจำนวนนั้นมาถือเอาไว้ เพราะรู้ดีว่าถ้าปฏิเสธคงโดนเล่นงานไม่จบไม่สิ้น
“อย่าลืมสัญญา” คำพูดทิ้งท้ายมีเพียงเท่านั้น ฉันกำจำนวนเงินไว้แน่น ก่อนจะตัดสินใจหมุนตัวและเดินออกจากห้องไปในทันที
พอกันที...คนเลว ๆ แบบนี้อย่าได้เจอกันอีกเลย!
PHAYU ZONE PUB
“พี่ยังหาคนไม่ได้เลย พี่ขอล่ะน้องลิซ อย่าเพิ่งลาออกเลยนะจ๊ะ” เสียงของผู้จัดการร้านยังคงอ้อนวอนไม่ให้ฉันลาออก
ใช่...ฉันตัดสินใจที่จะลาออก
ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนนี้นี่แหละ และรวมไปถึงเจ้าของร้านของที่นี่ด้วย
“แต่...”
“ให้พี่หาคนมาแทนให้ได้ก่อนนะ พี่ขอล่ะจ้ะ ไม่งั้นงานที่ร้านวุ่นวายแน่เลย นะน้องลิซนะ” มือของผู้จัดการร้านกอบกุมมือของฉัน พร้อมกับการร้องขออ้อนวอนที่ทำเอาฉันเองก็นึกเห็นใจ
“เอ่อ...ก็ได้ค่ะ งั้นลิซจะช่วยทำต่อจนกว่าจะหาคนใหม่มาแทนได้แล้วกันนะคะ”
ในที่สุดฉันก็จำต้องตอบตกลงเพราะเกรงใจ
“พี่ขอบคุณมากเลยนะ ขอบคุณมากเลยจ้ะ”
“ถ้ามีคนมาแทนแล้วหนูขอลาออกนะคะ”
“ได้จ้ะ ๆ ได้เลย แต่ตอนนี้น้องลิซไปเปลี่ยนชุดก่อนดีกว่า ใกล้ได้เวลาเข้างานแล้วด้วย”
ฉันพยักหน้ารับบาง ๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปยังห้องสำหรับพนักงานที่เป็นโซนแบ่งแยกโดยเฉพาะ
แต่ทว่าสองขากลับหยุดชะงักเพราะเสื้อคลุมที่พาดไว้บนแขนดันเตือนสติได้ว่าฉันควรคืนมันให้กับเจ้าของอย่างเร็วที่สุด
“อะ…เอ่อ...พี่คะ” ฉันเดินไปยังพื้นที่ส่วนตัวที่ถูกจัดแบ่งเอาไว้ โดยที่ตอนนี้มีชายชุดดำมากกว่าสิบชีวิตยืนรายล้อมไม่ต่างจากฉากในหนังในละครแม้แต่น้อย “คือฉันจะฝากของให้คุณพายุหน่อยค่ะ”
ฉันเอ่ยเสียงสั่น ทั้งร่างกายและปากสั่นระริกจนเห็นได้ชัด แต่มือก็พลางส่งยื่นเสื้อคลุมหนังราคาของเขาไปให้ชายชุดดำ หวังจะรีบคืนของและรีบกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง
“ชื่ออะไร”
“คะ?” ฉันขมวดคิ้วมองด้วยความแปลกใจ จนกระทั่งยอมบอกชื่อของตัวเองออกไป “เอลิซค่ะ”
“เอาไปให้เอง”
“แต่ว่า...อ๊ะ เดี๋ยวสิคะ อย่าเพิ่งไป พี่คะ!” ความสงสัยตีพุ่ง แต่ทว่าปากกลับเรียกร้องเมื่อเห็นกลุ่มคนตัวโตตรงหน้ากำลังแยกออกไปกันคนละทิศละทาง
นี่พวกเขาไม่กลัวว่าฉันจะเข้าไปทำร้ายเจ้านายของเขาหรือไงถึงได้ปล่อยให้ฉันผ่านไปได้ง่าย ๆ แบบนี้
ฉันบ่นกับตัวเองในใจพลางมองประตูสีดำขลับที่ปิดสนิท
ไม่อยากเจอเลย...
การตัดสินใจเกิดขึ้นราว ๆ สามนาที ฉันจึงเลือกที่จะเคาะประตูและรอคำอนุญาต หากแต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีเสียงตอบรับ นั่นจึงทำให้ฉันถือวิสาสะเปิดประตูและชะโงกหน้าเข้าไปมองภายในตัวห้อง
“สวัสดีค่ะ มีคนอยู่ไหมคะ” ฉันใช้เสียงเรียก ขณะที่สายตาก็กวาดมองคนด้านในแต่ก็ไม่พบใคร
เสียงทอดถอนหายใจพรูออกมาอย่างโล่งใจ ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปในห้อง ก่อนจะวางเสื้อคลุมหลังลงบนโต๊ะ และทำท่าจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องแห่งนี้ให้เร็วที่สุด
“เฮ้อ...โล่งอก”
หมับ!
พรึ่บ!
“ว้าย!” เสียงกรีดร้องดังขึ้นเมื่อจู่ ๆ ร่างกายของฉันก็ดูมือของปริศนากระชากรั้งจนกระทั่งมันหมุนหันไปโดยไม่ทันตั้งตัว
ร่างกายของฉันกระแทกเข้าไปแผงอกแกร่งอย่างแรง พอลืมตาขึ้นตั้งสติว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก็พบว่าเป็นพายุที่กำลังล็อกตรึงฉันเอาไว้อย่างแน่นหนา
“นี่นาย!”
“กล้ามากนะที่เข้ามาในห้องฉัน” รูปประโยคค่อนข้างดุดัน หากแต่น้ำเสียงแหบพร่าที่เอ่ยเอื้อนกลับทำให้ฉันขนลุกซู่ไปทั้งร่างกาย
ใบหน้าของเขาโน้มเข้ามาใกล้ ทั้งที่พยายามผลักแต่ก็ถือมือใหญ่จับแน่นทำให้ฉันไม่สามารถเบี่ยงตัวออกได้เลย
“ฉะ...ฉัน คือฉันเอาเสื้อมาคืน” ฉันรีบพูดธุระของตัวเองออกมา หลบเบี่ยงสายตาต่ำเพราะรู้สึกว่าที่แห่งนี้อันตรายมากเหลือเกิน
“…”
“ถ้านายไม่รับฉันจะวางไว้ตรงนี้นะ” ฉํนออกแรงดันคนตรงหน้าออก และมันก็ได้ผล เขายอมปล่อยฉันให้เป็นอิสระ แต่ทว่าร่างกำยำกลับสาวเท้าเข้ามาใกล้ ก่อจะเปล่งเสียงแหบพร่าขึ้นมาแนบชิดจนฉันต้องรีบหลบหนี
“จะไปไหน”
“นะ...นี่! ทำบ้าอะไร ขยับหน้าออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”
“ฉันถามว่าจะไปไหน” เสียงเข้มถามย้ำอีกครั้ง คราวนี้เขาเชยใบหน้าขึ้นมาสบประสานสายตาราวกับว่าอยากรู้คำตอบจริง ๆ
“ก็ไปทำงานน่ะสิ”
“ขยันจริง ๆ เลยนะ ขยันแบบนี้รวยตาย!” คนตัวโตแค่นหัวเราะอย่างเย้ยหยัน ทำเอาฉันถึงกับเบิกตากว้างถลึงตาดุใส่กับการโดนดูถูก
“แล้วจะปล่อยฉันได้หรือยัง!”
“เชิญ กลับไปทำงานของเธอสิ” เขาปล่อยฉันให้อิสระ พร้อมกับการผายมือไปยังประตู
ฉันชั่งใจมองเขาเล็กน้อย แต่ก็ค่อย ๆ สาวเท้าเดินไปที่ประตูห้อง พลันเมื่อร่างกายเดินพ้นออกไปด้านนอกก็ทำให้เสียงถอนหายใจยาวเหยียดผ่อนตามมา
“เฮ้อ...นึกว่าจะต้องทะเลาะกันให้ตายไปข้างนะเนี่ย”
“เอลิซ...เธอเป็นยังไงบ้าง!”
ฉันกำลังจะเดินไปยังห้องแต่งตัว แต่เคนกลันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า แถมสีหน้าและท่าทางก็แสดงออกว่าเขาเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“คะ...เคน นายเป็นยังไงบ้างหายเจ็บหรือยัง” ฉันรีบเดิเข้าไปหาเพื่อนสนิท กวาดสายตาสำรวจมองร่องรอยบาดแผลจากการถูกทำร้าย สภาพร่างกายของเคนในตอนนี้มีแต่รอยฟกช้ำจริง ๆ
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร เธอมากกว่าที่ฉันต้องถาม”
“ทำไมล่ะ”
“ก็เมื่อวาน...เธอตอบรับข้อเสนอของคุณพายุไม่ใช่เหรอ เขา...”
“ขะ...เขาไม่ได้ทำอะไรฉันทั้งนั้น!” ฉันรีบตอบกลับเสียงแข็ง ท่าทางดูมีพิรุธอย่างถึงที่สุดแต่ก็เพิ่งมารู้ตัวเองว่าทุกอย่างมันสายไปแล้ว
“จริงเหรอ”
“อื้ม จริงสิ เขาใจดีกว่าที่คิดนะ ฉันแค่คุกเข่าขอร้องอ้อนวอนเขาเท่านั้นเอง เขาก็ยอมง่าย ๆ เลย”
“อ้าว มัวยืนทำอะไรอยู่ตรงนี้จ๊ะ ไปทำงานกันได้แล้วจ๊ะเด็ก ๆ”
ไม่ทันที่เคนจะซักไซ้ถามต่อ เสียงของผู้จัดการก็ดังแทรกขึ้น นั่นจึงทำให้ฉันจำต้องโค้งศีรษะลงและรีบเดินจากไป