เจ้าร่ำรวยออกลีลาอ้อนมัดใจ มันเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ขดตัวเป็นก้อนกลม เบียดซุกสัมผัสอุ่นจากร่างกำยำ ลภัทร์ไม่รอช้ารีบกดปุ่มเก็บภาพรัว ๆ วันนี้ทั้งวันเขาได้รูปเด็ดสะระตี่พร้อมส่งไปอวดอดีตแฟนสาวแล้ว
‘ร่ำรวยเมื่อมาอยู่กับพี่ปิงจะกลายเป็นล่ำซำนะจ๊ะ’
ชายหนุ่มเอาสร้อยข้อมือทองคำเส้นใหญ่ที่มีจี้รูปหัวใจฝังพลอยสวมรอบคอมันทับปลอกคออันเดิมที่เจ้านายถักให้ มันน่าเจ็บใจยิ่งนักเมื่อเจ้าเหมียวเชิดหน้า หรี่ตาทำท่ากระหยิ่มยิ้มย่องดั่งรู้มูลค่าของปลอกคออันใหม่
แมวร้านทองก็ต้องใส่ทองด้วยถึงจะสมฐานะ
‘พี่ปิงเลี้ยงอย่างดีให้กินซาชิมิแซลมอนด้วย ไม่คิดค่าฝากแต่อยากเจอเจ้าของมากกว่า’ ลภัทร์คีบชิ้นแซลมอนสีส้มฉ่ำป้อนเจ้าร่ำรวย
‘อ้วนตัวแตกแน่ ๆ’ ซองขนมขบเคี้ยวสำหรับแมวนับสิบซองวางเกลื่อนกลาดเป็นหลักฐานความอุดมสมบูรณ์ทางอาหารและรูปภาพล่าสุดพร้อมข้อความแสนกวนประสาท
‘รีบมาไถตัวนะ เดี๋ยวมันนึกว่าพี่ปิงเป็นเจ้าของนะคะ’
“หน็อยแน่! นังแมวทรยศ สตอเบอร์รี่จริง ๆ” สรุปเลี้ยงแมวหรือตัวอะไร
ปาราวตีบังคับพวงมาลัยอย่างหงุดหงิดขับไปตามถนนสายหลัก เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาหยุดรอไฟแดงผ่านวงเวียนโอเดี้ยนมุ่งหน้าฝ่าฝูงชนที่เดินข้ามถนน รถยนต์หนาแน่นจนมองเห็นตึกแถวสี่คูหาที่มีป้ายชื่อร้านพื้นหลังสีแดงกับตัวหนังสือสีเหลืองใหญ่โตได้ถนัดตา ห้างทองอมรกุล หญิงสาวกระแทกปิดประตูรถจ้ำอ้าวดันประตูกระจกเข้าไป
“อ้าว ! คุณตี้ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะครับ สวัสดีครับ”
“คือตี้มา...”
“เชิญที่ห้องทำงานคุณปิงเลยครับ” เธอยิ้มรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ช่างสมรู้ร่วมคิดกันดีจริง ๆ ทั้งเจ้านายทั้งลูกน้อง
คนร่างบางเดินกระทืบเท้าปึงปังไปหยุดยืนหน้าห้องทำงาน หมุนลูกบิดบุกเข้าไปทันที
“ไอ้พี่ปิง!” คู่กรณีนั่งเก้าอี้พนักสูงท้าวคางเอียงหน้าผุดรอยยิ้มจาง ๆ เจือความเจ้าเล่ห์ มืออีกข้างก็เกาคอนางแมวสองหน้าที่นอนตะแคงข้างอวดพุงโลบนโต๊ะทำงาน ปาราวตีพยายามหลบสายตาจากเขา
ดีล่ะ ครั้งนี้ไม่มีอะไรขวางกั้นระหว่างกันอีกแล้ว
“จับแมวตี้มาทำไม ทำอะไรไม่เป็นแล้วหรือไงถึงใช้วิธีปัญญาอ่อนแบบนี้” หญิงสาวขึงตา แค่นเสียงใส่
“ถ้าจะจัดการคนปัญญาอ่อนก็ต้องใช้วิธีปัญญาอ่อนสิจ๊ะ แวะไปคุยด้วยดี ๆ ไม่ยอมคุย แจ้ก็อุตส่าห์ดั้นด้นไปช่วยคุยก็แล้วยังดื้ออีก ตี้บังคับให้พี่ต้องทำแบบนี้เองนะ”
“ตี้บังคับให้ทำงั้นเหรอ นิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ โทษทุกคนยกเว้นตัวเอง หึ ! บอกเลยนะตี้เจ็บแล้วจำ พี่ปิงเลิกยุ่งกับตี้สักทีเถอะ”
ปาราวตีกระทืบเท้ามุ่งเข้ามาหมายแย่งตัวประกันคืนแต่จังหวะนั้นเธอเผลอจิกปลายเล็บเข้าที่ลำตัวอวบหนาเต็มแรง ร่ำรวยร้องลั่น ดีดตัวสะดุ้งโหยงกระโดดไปซุกบนตักลภัทร์ทันที เท่านั้นยังไม่พอมันยังหันมาขู่ฟ่อ กางเล็บใส่ปาราวตีอีกด้วย
“อย่ารุนแรงนักสิ อย่าลืมนะเราเจอแมวตัวนี้พร้อมกัน ถือว่าพี่เป็นเจ้าของร่วมกันด้วย”
“ไม่ใช่สักหน่อย! อ้างไปเรื่อยเลยนะ”
“ก็มันจริงนี่นา พี่ไม่เคยลืมเรื่องระหว่างเรานะ ตี้จำได้มั้ย ตอนที่เราคบกัน ตี้มาช่วยงานพี่ที่นี่ประจำ...”
ปาราวตีช่วยงานหน้าร้านหลายครั้ง ด้วยความที่เป็นคนสวย อัธยาศัยดี พูดจาฉะฉานไหลลื่น สร้างความประทับใจให้ลูกค้ามานับต่อนับและเป็นที่ถูกอกถูกใจผู้ใหญ่ในครอบครัวจงอมรกุล หลายคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าปาราวตีนี่แหละ...จะมาเป็นสะใภ้เล็กของครอบครัว
ระวัง...ระวังตกหลุมพรางความทรงจำ จะทำอย่างไรได้ เพราะมัวแต่โมโหจนไม่ทันได้ยั้งคิด
กว่าจะรู้ตัวก็พาตัวเองมาอยู่ในถ้ำเสือแล้ว แผนการตื้น ๆ เหมาะกับคนบ้องตื้นอย่างที่ลภัทร์ว่าไว้ไม่ผิด
“ตี้กลัวว่าพี่จะเอาปืนไล่ยิงร่ำรวยด้วยใช่มั้ย นั่นไง ! เงียบแบบนี้แสดงว่าคิดแน่ ๆ ปืนกระบอกสองสามแสนซื้อมาไล่ยิงแมว รู้ถึงไหนอายถึงนั่น บ๊องไม่เปลี่ยนเลยนะจ๊ะคนสวย”
“ไอ้บ้า! เป็นใครก็กลัวหมดนั่นแหละ” ในทางกลับกัน.ลภัทร์ก็ต้องพาเจ้าร่ำรวยกลับไปคืนให้อยู่ดี
“ตี้เคยคิดถึงเรื่องระหว่างเราบ้างหรือเปล่า” ลภัทร์ลุกพรวดพราดตรงเข้าปรี่มาคว้าแขนอีกฝ่ายไว้แน่น
“อะไรเนี่ย พี่ปิงปล่อยตี้นะ อย่ามาทำแบบนี้ ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วนะ ปล่อยสิ !” ปาราวตีออกแรงสะบัดแขนขัดขืน ทว่าร่างบอบบางไม่อาจสู้แรงของเขาได้
“เรื่องมันผ่านไปแล้วก็แล้วกันไปสิ ลืมมันไปเถอะตี้”
“นิสัย ! พูดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวตลอด ปล่อยตี้นะ”
“แต่พี่อยากให้เรากลับมาคบกันเหมือนเดิม” คนเอาแต่ใจยืนยันหนักแน่น
“ไม่คบโว้ย! ปล่อยสิ!” ทันทีที่ได้เข้าประชิดตัว ลภัทร์ก็รวบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขนหนาแกร่ง แม้จะปาราวตีหมดทางสู้แต่หาได้ยอมจำนนไม่ เธอยังออกแรงขัดขืนไม่หยุด นั่นทำให้ลภัทร์ยิ่งกอดรัดเธอแน่นเข้าไปอีก
“หยุดดิ้นได้แล้ว ตี้ตัวหอมจัง” เขาเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ คล้อยใบหน้าลงช้า ๆ ทำท่าจะคลอเคลียพวงแก้มใส
“ตี้ยังใช้น้ำหอมกลิ่นเดิมที่พี่ซื้อให้ มันเป็นของขวัญชิ้นแรกจากพี่ ตี้เลือกขวดนี้เพราะ...ตี้ชอบชื่อของมัน ที่แปลว่าตลอดไป เราสองคน...ตลอดไปจำได้หรือเปล่า”
ครั้งหนึ่งที่แผนกน้ำหอมในห้างหรูใจกลางเมือง ลภัทร์นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ปาราวตีสอบติดมหาวิทยาลัยในฝันได้ เขายังไม่ได้ให้ของขวัญแสดงความยินดีกับเธอเลย ดังนั้นน้ำหอมกลิ่นเหมือนผลไม้หน้าร้อน หอมสดชื่นเหมาะกับหญิงสาวสดใสมีชีวิตชีวาจึงถูกมอบเป็นของขวัญแทนใจชิ้นแรก นิยามคำว่าครั้งแรกมีคุณค่าทางใจเสมอ
“แต่มันก็แค่น้ำหอม มันไม่ทำให้ตี้เปลี่ยนใจได้หรอก”
“ใช่ แค่น้ำหอม ลองคิดดูนะ ถ้าเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่ต้องเริ่มต้นอะไรยืดยาวเลย แค่ไปมาหาสู่กันแบบเดิม เตี่ยกับม้า อาแจ้อาเฮียเราก็เหมือนครอบครัวเดียวกันมาตลอดนะ ถ้าอยู่กับพี่ เราจะแต่งตัวสวย ๆ นั่งนับเงิน คุมบัญชีไป จะวาดรูปกี่รูปล่ะ พี่จะไม่ขัดใจตี้เลยขอแค่กลับมาคบกับพี่เท่านั้น”
ลภัทร์เอียงหน้าช้า ๆ ประชิดกลีบปากแดงระเรื่อหมายประทับจูบเรียกความทรงจำเมื่อวันวาน
แต่ไม่อาจทำให้คนเจ็บแล้วจำคล้อยได้
“ตี้จะกลับบ้านจะเอาแมวกลับไปด้วย” ถึงตาอดีตแฟนหนุ่มเป็นฝ่ายจนมุมบ้าง ลภัทร์ยอมปล่อยมือ ขยับหลีกทางให้ ปาราวตีปลดสร้อยข้อมือทองคำจากคอเจ้าร่ำรวย มันยอมถูกพาตัวกลับโดยดี
“ชีวิตของพี่พี่มีสิทธิ์เลือก พี่จะไม่แต่งกับใครนอกจากตี้คนเดียว” หญิงสาวหยุดชะงักครู่หนึ่ง ส่ายหน้าแล้วเดินผ่านประตูจากไปทิ้งให้ลภัทร์ยืนกัดกรามแน่นตามลำพัง
ชวัลวิทย์มองท้ายรถมินิคูเปอร์แล่นออกไปสลับกับดูเวลาบนข้อมือเที่ยงตรงเป๊ะ หลายอาทิตย์มานี้ไม่ค่อยมีใครเห็นชยันต์อยู่ออฟฟิศช่วงพักกลางวัน ปล่อยเขาเถอะโตแล้วไปไหนก็ได้ ชวัลวิทย์รู้ได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องหัวใจเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
เขาไม่ได้ติดใจสงสัยสิ่งใดเพียงแต่อยากรู้จักใครคนนั้นผู้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตน้องชาย ระยะหลังชยันต์กลับบ้านสามสี่ทุ่มบ่อยขึ้น ค่ำวันเดียวกันเมื่อสุขสวัสดิ์เอ่ยปากถาม
“ช่วงนี้งานยุ่งเหรอท็อป ป๊าเห็นแท็ปกลับบ้านดึกทุกวัน”
“อ๋อ! ก็ยุ่งพอตัวเลยล่ะใกล้งานสัปดาห์หนังสือแล้ว หัวหมุนไปตาม ๆ กันแหละ”
“แล้วทำไมไม่แบ่งงานให้ลูกน้องทำซะล่ะ มันก็แค่คุมภาพรวมนี่นา”
“ป๊าก็รู้ไอ้แท็ปทุ่มเทนะตาย มันขาลุยนะชอบลงมือทำอะไร ๆ ด้วยตัวเอง ปล่อยมันทำไปเถอะความสุขของมัน” สุขสวัสดิ์พยักหน้ารับ
“เราก็เลี้ยงลูกมาด้วยกัน แท็ปเป็นคนมุ่งมั่นแบบนี้มาแต่เด็กแล้วนะ” มาลีช่วยเสริม
เป็นอีกหนที่ชวัลวิทย์ช่วยแก้ต่างให้ การยกเรื่องงานขึ้นมาอ้างสามารถยื้อนัดดูตัวครั้งต่อไปได้ อชิตาอาจไม่ใช่คนที่ถูกใจตั้งแต่แรกพบแต่กาลเวลาก็พิสูจน์ว่าเธอเป็นทั้งภรรยาและแม่ของลูกที่ดี ชยันต์อาจไม่โชคดีเช่นเขา
‘ขอให้เป็นคนที่ใช่แล้วกัน!’
ชยันต์บังคับรถฝ่าการจราจรอันหนาแน่นมุ่งหน้าไปยังถนนอาทิตย์กว่าจะไปถึงก็เกือบเย็นจนใกล้พลบค่ำเขาจอดรถหน้าอินฟินีตี้ สวีทดรีมโฮสเทล
“แกจับดี ๆ นะเว้ย ถ้าฉันล้มหน้าแหกเสียโฉมขึ้นมาแกตายนะไอ้แพร”
“จับอยู่เจ๊ก็เปลี่ยนเร็ว ๆ สิจะเรียกช่างไฟก็ไม่เรียก มาทำเองซะงั้น”
“จะปล่อยให้มันติด ๆ ดับ ๆ เป็นบ้านผีสิงหรือไงล่ะ เดี๊ยะยันโครม”
ปาราวตีทรงตัวบนยอดบันไดเพื่อจะเปลี่ยนหลอดไฟ ลูกน้องร่างอวบอั๋นใช้มือข้างหนึ่งจับบันไดที่โครงเครงให้มั่นคง ส่วนมืออีกข้างถือแก้วชานมไข่มุกของโปรด
“แหม! นี่ห่วงกินจริง ๆ วางก่อนสิยะอีช้างน้ำ ไม่มีใครแย่งแกกินหรอกนะ”
ชยันต์ผลักประตูกระจกเข้ามาเงียบ ๆ เขาสะดุดตากับโปสการ์ดทำมือที่เรียงรายอยู่บนผนัง มีภาพถ่ายสถานที่สำคัญของกรุงเทพ ฯ ใส่กรอบรูปเสร็จสรรพกลายของที่ระลึกสุดเก๋ไก๋ ปาราวตีเล่าว่าทุกครั้งที่มีเวลาว่างเธอจะสะพายกล้องถ่ายรูปและเดินเล่นเรื่อย ๆ เริ่มตั้งแต่ถนนพระสุเมรุ ตรอกข้าวสาร วัดชนะสงคราม แยกคอกวัว จนถึงถนนราชดำเนิน เจออะไรน่าสนใจก็บันทึกภาพเก็บไว้ ไม่ว่าจะเป็นภาพวิวทิวทัศน์ วิถีชีวิตคนเมือง สุนัขแมวหรือฝูงนกริมทาง แม้กระทั่งแสงเงาที่ตกกระทบบนวัตถุให้มุมมองแบบนามธรรม ก่อนจะนำรูปลงคอมพิวเตอร์ คัดเลือก ปรับแสงแต่งภาพเล็กน้อยกลายเป็นโปสการ์ดทำมือพร้อมขาย
งานอดิเรกสร้างรายได้ ธุรกิจการท่องเที่ยวก็สนใจ ไม่สิ! เจ้าของธุรกิจน่าสนใจกว่าต่างหาก
กลับมาโลกแห่งความจริงมีผู้หญิงสองคนกำลังเถียงกันฉอด ๆ
ปาราวตีสวมกางเกงยีนส์ขาสั้น เผยให้เห็นขาแข้งขาว ผิวเนียนเกลี้ยงเกลา น่องเรียวเล็กได้สัดส่วนสะกดสายตาผู้ชายได้ทั้งบาง ชยันต์หาได้ปฏิเสธความน่ามองของมัน
“เจ๊เรียกหนูอีช้างน้ำ หนูสะเทือนใจนะ ทำเองเหอะ ไม่ช่วยแล้ว...หึ!”
“ไอ้แพร!”
“ให้แท็ปช่วยมั้ยตี้” เสียงขันอาสาสงบศึกดังขึ้น ผู้ช่วยร่างท้วมกระโดดหลบอย่างรู้งานพลางปลายตามองรูปร่างหน้าตาแขกคนพิเศษ ปาราวตีเป่าปากโล่งอก ขยับร่างลงบันไดอย่างเชื่องช้า บ่นไปพลางว่ากลัวความสูงจนขาสั่นโดยมี ชยันต์คอยรอรับอยู่เคียงข้าง
“เปลี่ยนแล้วเหรอคะเร็วจัง พี่แท็ปทราบมั้ยคะแพรโดนเจ๊ตี้จิกหัวทั้งวันเลย...”
“ชาไข่มุกอร่อยปะน้องแพร ถ้าอร่อยก็กินไปนะ ปากจะได้ไม่ว่าง” ปาราวตีเท้าสะเอว แสยะยิ้มหวานชวนขนลุก ร้อยวันพันปีไม่เคยเรียกว่าน้อง
“ขอบคุณนะคะ ถ้าไม่ได้แท็ปมาช่วย ตี้กับน้องแย่แน่”
“ไม่เป็นไรหรอกตี้ ว่าแต่สูงขนาดนี้ปีนขึ้นไปได้ไง” ชยันต์เก็บอุปกรณ์เคลียร์พื้นที่ให้กลับสู่ภาวะปกติจึงเอ่ยปากขอยืมตัวเจ้านายคนสวยจากน้องแพรชาไข่มุก
“ยินดีค่ะพี่แท็ป คืนนี้น้องจะได้พักประสาทหูแล้วสักที”
“เดี๊ยะตีปากหักเลย เฝ้าเคาน์เตอร์ดี ๆ นะเดี๋ยวให้รางวัลเป็นขนมปังสังขยาชุดใหญ่”
“แหม! หนูไม่ใช่หมานะเจ๊”
ผู้ช่วยร่างตุ้ยนุ้ยโบกมือส่งจนกระทั่งรถมินิคูเปอร์แล่นจากไป อันที่จริงปาราวตีเคยปีนบันไดขึ้นไปล้างแอร์มาแล้ว งานเปลี่ยนหลอดไฟก็ง่ายดายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปากเสียอีกหรือเป็นวิธีวัดใจสุภาพบุรุษกันแน่ล่ะ
‘ร้ายจริง ๆ ทำเป็นกลัวความสูงนะ ปกติแทบจะตีลังการูดเสาลงมาเลย ว่าแต่เจ๊ชอบคนตี๋ ๆ ขาว ๆ เหมือนเดิมสินะ’
‘เบาะข้างคนขับมีแววจะไม่ว่างอีกต่อไป’ ชยันต์ได้แต่บอกตัวเองซ้ำไปซ้ำมา
ตั้งแต่ซื้อรถคันนี้มายังไม่เคยมีใครมานั่งข้างคนขับเลย บรรยากาศห้องโดยสารขนาดกะทัดรัดแบบศอกชนศอก มีเสียงเพลงจากคลื่นวิทยุคลอเบา ๆ กลิ่นน้ำหอมหอมอ่อน ๆ จากกายอุ่นของปาราวตี เธอชวนเขาคุยจ้อเรื่องสัพเพเหระไปตลอดทาง รถเคลื่อนตัวเป็นระยะสลับกับติดยาวเป็นบางช่วง
“ติดอีกแล้ว แยกนี่ไฟแดงห้านาที ไฟเขียวห้าวิว่างั้นปะ” หญิงสาวหัวเราะแต่แปลกใจเล็กน้อยที่ชยันต์พามาติดแหงกตรงสี่แยกมหาประลัยกลางเมืองเช่นนี้
“แท็ปเห็นโปสการ์ดเต็มเลย ตี้ถ่ายภาพเองหมดนั่นเลยเหรอ”
“อืมใช่ ก็ถ่ายเล่น ๆ เก็บภาพไปเรื่อย รายได้ก็พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่นะ” พูดอย่างนี้...อยากได้คนเลี้ยงเพิ่มสักคนหรือเปล่าล่ะ
“ว่าจะถามหลายรอบแล้ว ตี้จบศิลปะมาเหรอ” และก็ได้คำตอบชวนตะลึงเพราะเธอจบบัญชี
“เฮียท็อปจบการเงินนะ เค็มจนทะเลเรียกพี่ เงินหายสองสลึงสั่งรื้อตรวจสอบใหม่ทั้งหมดเลย ตี้สนใจรับจ๊อบตรวจสอบบัญชีมั้ยล่ะ”
“งานบัญชีที่โฮสเทลทำเอาตี้อดหลับอดนอนไปหลายคืนเลยนะ” ปาราวตีหัวเราะร่วน “พรุ่งนี้งานหนังสือเริ่มแล้วสิ”
“ใช่ แท็ปว่าจะไปดูตลาดด้วยแหละ จริง ๆ ให้ลูกน้องทำก็ได้นะ แต่อยากไปเอง ไปดูกลุ่มคนอ่านด้วย”
“คุ้มค่าทุกนาที ตามติดทุกสถานการณ์ ตี้ว่าแท็ปเป็นนักข่าวภาคสนามก็ดีนะ”
“นั่นสินะ สงสัยต้องถามเพื่อนที่เป็นนักข่าวลองดูแล้ว”
“งั้นคืนนี้อย่ากลับบ้านดึกแล้วกัน รีบพักผ่อนซะนะ พรุ่งนี้มีงานใหญ่”
“ตี้...เป็นห่วงแท็ปเหรอ”
ความเงียบงันเข้าแทรกโดยพลัน ปาราวตีพิงหลังกับพนักเบาะ ถูฝ่ามือสองข้างไปมาอย่างไร้เหตุผล พยายามนึกทบทวนสิ่งที่พูดและสิ่งที่ได้ยินเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ชยันต์ปลายตามองหญิงสาวพวงแก้มชมพูระเรื่อ เขาเองก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกันได้แต่บีบพวงมาลัยแน่นแก้เก้อไปพลาง ก่อนจะหันไปเร่งเสียงวิทยุให้ดังขึ้นอีกเล็กน้อยปล่อยให้บทเพลงทำหน้าที่เล่าเรื่องราวจะดีกว่า
The smile on your face…let them know that you need me…There's a truth in your eyes saying you'll never leave me. The touch of your hand says you'll catch me whenever I fall.
จนถึงท่อนสำคัญ... You say it best when you say nothing at all.
สภาพการจราจรติดขัดเกินทนประกอบกับเสียงร้องขอความเมตตาจากกระเพาะอาหาร ชยันต์ตัดสินใจวนรถกลับมาถนนข้าวสารและพบว่าผัดไทยริมฟุตบาทอร่อยเด็ดจนอยากมอบดาวมิชลินสักดวงสองดวง ทั้งคู่ไม่สนทนาอันใดกันชั่วขณะนอกจากก้มหน้าก้มกินอย่างไม่คิดชีวิต
“วุ้นเส้นกุ้งสดเพิ่มอีกจานมั้ยกินด้วยกัน” หญิงสาวตอบตกลง ไม่กี่นาทีต่อมาชยันต์พบว่าปาราวตีฉกกุ้งไปจนหมดจานแล้วชิงอิ่มไปก่อนทันที
“สรุปอยากกินแต่กุ้งงั้นเหรอ บอกมานะ”
“เพิ่งรู้เหรอ”
“เหลือแต่วุ้นเส้นกับผักไว้ให้แท็ปเนี่ยนะ ใจร้ายที่สุดคนอะไร!”
“คนหน้าตาดี” ปาราวตีตอบหน้าตาเฉย ยักคิ้วข้างเดียวเป็นของแถม
“เอาที่สบายใจนะตี้” มื้อค่ำจบลงด้วยเสียงหัวเราะและคำพูดกระเซ้าเย้าแหย่ซึ่งกันและกัน
ท่ามกลางแสงสียามค่ำคืนกับฝูงชนเนืองแน่นตลอดทางบนถนนข้าวสาร ปาราวตีสวมบทบาทไกด์นำเที่ยวผู้เชี่ยวชาญเรื่องร้านอาหารอร่อยและร้านนั่งชิลล์ต่าง ๆ ชยันต์เดินตามหลังคนร่างเล็กต้อย ๆ บางจังหวะถูกเบียดเสียดจากคนรอบข้าง...ก็บังเอิญถูกเนื้อต้องตัวกันอย่างไม่ตั้งใจบ้าง
“ข้ามถนนเร็ว” ปาราวตีเผลอคว้าข้อมือคนร่างสูงตอนจะข้ามถนน บางช่วงเสียงคนรอบข้างตะโกนแข่งกันเอ็ดอึงจนชยันต์โน้มกายลงให้ปาราวตียกมือป้องหูแล้วพูด
‘จะสี่ทุ่มแล้ว แท็ปรีบกลับเถอะ’
เขาตอบกลับเธอด้วยวิธีเดียวกัน นาทีนี้จะคว้ามากอดให้หนำใจคงทำได้สบาย กลิ่นหอมละมุนชวนหลงใหลจากเรือนผม ปลายจมูกอยู่ห่างแก้มใสแค่ไม่ถึงคืบ ปาราวตีรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนผ่าว ก่อนจะหันไปสบตาแล้วพยักหน้ารับ...
‘งั้น...แท็ปขอไปส่งตี้ที่บ้านนะ’
เจ้าแมวอ้วนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงรถยนต์ที่ไม่คุ้นหู มันแยกเขี้ยวหาวปากกว้าง บิดขี้เกียจ แล้วกระโดดขึ้นมาสังเกตการณ์ผ่านหน้าต่าง มันเห็นเจ้านายสาวยืนอยู่หน้ารั้วกับชายคนหนึ่งที่มันไม่รู้จักหน้าค่าตามาก่อน ใครคนนั้นแสดงอาการแปลก ๆ ขบริมฝีปากล่าง สายตาหลุกหลิกอย่างไม่มั่นใจเหมือนพยายามจะเอ่ยบางสิ่งออกมา
“บ้านริมน้ำ” ชยันต์อ่านชื่อบนป้ายไม้หน้าประตูรั้ว “บ้านน่าอยู่ดีนะ...กลางวันน่าจะบรรยากาศดี”
“ถึงจะอยู่ใกล้ถนนสายหลักแต่ย่านนี้สงบนะ คนทั้งซอยก็รู้จักกันหมด บ้านหลังถัดไปข้างในก็ทำเป็นเกสต์เฮ้าส์ ว่าง ๆ แวะนั่งเล่นที่บ้านตี้ได้นะ”
“ถ้าเสร็จงานใหญ่แล้วเดี๋ยวจะมาเที่ยวนะ”
“มาวันไหนบอกได้เลยนะ จะสี่ทุ่มแล้ว ถ้าไม่มีอะไร...ตี้เข้าบ้านก่อนนะ”
“เอ่อ...เดี๋ยวสิตี้ คือแท็ป...คือ...”
เจ้าของนัยน์ตาสีสนิมอ่อนหันกลับมาตามเสียงเรียก ดวงตาคู่นั้นทำให้หัวใจคนเรียกเต้นแรงแทบทะลุอกกับความอุ่นร้อนที่แผ่ซ่านบนใบหน้า ชยันต์ไม่ได้ลังเลแค่...รู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก
“คือตี้...อยากจะ...จะ...” แค่เอ่ยปากทำไมช่างยากเย็นเสียจริง
“ว่าไงล่ะ...” ปาราวตีกำลังตั้งใจฟัง
“ตี้อยากจะ...ไปเดินเล่นที่งานพรุ่งหรือเปล่า ก็เจอกันสักสิบเอ็ดโมงก็ได้นะ” ก็พลาดไปอย่างน่าเสียดาย
“เอ่อ...งั้นก็โอเค พรุ่งนี้เจอกัน ขับรถดี ๆ นะแท็ป”
“ได้ครับผม ดีจังมีคนเป็นห่วงแล้ว” รอยยิ้มกว้างของเขาชวนให้หญิงสาวยิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว
คืนนั้นปาราวตีในชุดนอนกับผ้าขนหนูโพกผมนั่งขัดสมาธิกอดอก ขมวดเรียวคิ้วเป็นปม ระบายความฟุ้งซ่านกับแมวอ้วนไปพลาง
“สุดท้ายก็ไม่พูด เห้อ! หรือเขาไม่ได้คิดอะไรกับตี้ล่ะ คิดไปก็เท่านั้น นอนดีกว่า” คืนพระจันทร์ครึ่งดวงแต่สว่างเรืองรองเห็นได้ชัดเจนจากหน้าต่างห้องนอน เธอถือโอกาสเอ่ยราตรีสวัสดิ์ถึงคนพิเศษ
Indy Infinity กู๊ดไนท์ค่ะ แท็ป
ชยันต์ล้มตัวบนฟูกหนา อมยิ้มกรุ่มกริ่มขณะมองจอโทรศัพท์ ไม่เป็นไรแค่เริ่มใหม่อีกครั้ง แค่ปล่อยให้หัวใจนำทางอีกหน เขาฝากความคิดถึงผ่านดวงจันทร์ที่สาดแสงบนพื้นฟ้ามืดดำอันกว้างใหญ่
นี่เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสกล่าวราตรีสวัสดิ์ซึ่งกันและกัน
CHAYAND TAP กู๊ดไนท์ ฝันดีนะครับตี้