แม้กระทั่งนางมาเรียมยังอดอิจฉาความเพียบพร้อมในสรีระของหญิงสาวไม่ได้ แล้วผู้ชายอย่างโดนัลด์ก็คงไม่พลาดที่จะเหลือบสายตามอง ทั้งที่ไม่รู้ความรู้สึกของลูกชายในตอนนี้ แต่โดนัลด์ก็ไม่เคยปฏิบัติกับหญิงสาวคนไหนเหมือนกับปาจรีย์สักคน
เขาไม่เคยทิ้งผู้หญิงคนไหนให้อยู่ห่างไกลเกินยี่สิบสี่ชั่วโมง คู่ควงของเขาทุกคนต้องผูกติดแนบแน่นไปกับเขาทุกที่หากเขายังไม่เบื่อ และนางก็ไม่เคยแปลกใจที่เขาเปลี่ยนคู่ควงทุกวัน
แต่สิ่งที่นางมาเรียมแปลกใจที่สุดคือหญิงสาวนางนี้ คนที่ลูกชายทำเหมือนกับเกลียด แต่เขากลับกำชับนางและคนในบ้านนักหนาอย่างที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน
ความพิเศษทำให้นางมาเรียมอยากรู้จักหญิงสาวคนนี้มากยิ่งขึ้น และตลอดเวลาสิบวันที่อยู่ด้วยกันทำให้นางหลงรักปาจรีย์ได้ไม่ยาก
ปาจรีย์พนมมือไหว้ประมุขของบ้านอย่างนอบน้อมตามแบบฉบับมารยาทไทย “ฉันขอบคุณมาดามมากนะคะที่เอ็นดูฉันเป็นอย่างดี มาดามอาจจะไม่เข้าใจวัฒนธรรมของไทย แต่การไหว้เป็นการให้ความเคารพอย่างสูงสุด และฉันก็รู้สึกอย่างนี้จริงๆ มาดามทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่ได้มาเจอมาดามที่นี่”
มาดามมาเรียมยิ้มให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยน “ฉันไม่เข้าใจวัฒนธรรมของเธอ แต่ฉันรับรู้ได้ว่ามันสวยงาม เอาไว้สักวันฉันคงขอให้เธอพาไปเที่ยวเมืองไทย”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ ถึงเวลาที่ฉันต้องไปแล้ว ไม่อยากให้คนมารับต้องรอนาน ลามาดามตรงนี้เลยนะคะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองที่วางอยู่บนเตียง
พอปาจรีย์หันกลับมามองเจ้าของบ้านอีกครั้งก็เห็นสายตาดุๆ ของนาง
“กระเป๋าใบนั้นฉันไม่อนุญาตให้เธอถือติดตัวไป หากเธอเสียดายเธอต้องกลับมารับอีกครั้ง”
“ตอนนี้เธอมีสิทธิ์ที่จะหยิบกระเป๋าใบนั้นไปเท่านั้น”
นางมาเรียมบอกหญิงสาวพลางชี้มือไปที่กระเป๋าใบขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่วางอยู่ข้างประตู พอได้เห็นโลโก้ที่ติดอยู่ด้านบนของกระเป๋า ปาจรีย์ก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอกับราคาของมัน ไม่แปลกที่คนในตระกูลเลิฟจะใช้ของแบรนด์เนมยี่ห้อนี้ทุกชิ้น แต่ถ้าเป็นเธอคงจะไม่ค่อยชินสักเท่าไรที่จะถือมัน กลัวจะลากไปครูดกับอะไรบางอย่างจนเกิดรอยทำให้เสียหาย และเธอคงไม่มีปัญญาชดใช้
“เอ่อ...” หญิงสาวกำลังอ้าปากปฏิเสธ หากแต่เจ้าของบ้านก็พูดดักทางเสียก่อน
“เธอกำลังจะปฏิเสธฉันอีกแล้วใช่ไหม”
หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ อย่างจำนน พร้อมกับกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณค่ะ ฉันจะพยายามใช้อย่างระมัดระวัง และนำกลับมาคืนให้เร็วที่สุดนะคะ”
ประมุขของบ้านรีบยกมือโบกปฏิเสธทันควัน “ที่บ้านมีตั้งหลายใบ ฉันยกให้เธอไปเลยไม่ต้องเอามาคืน แต่ถ้าเธออยากได้กระเป๋าใบนี้ของเธอคืน เธอต้องกลับมารับด้วยตัวเอง”
“ขอบคุณอีกครั้งค่ะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับเดินไปหยิบกระเป๋าและก้าวออกจากบ้านไปที่ท่าเรือด้วยความรีบเร่ง สายตาและความสนใจของปาจรีย์อยู่ที่คำว่าทำทุกอย่างให้เร็วที่สุด
เธอไม่อยากเสียมารยาทกับคนรอมากไปกว่านี้ ทำให้ไม่ทันสังเกตเห็นโลโก้เล็กๆ ที่ติดอยู่ข้างเรือแม้แต่น้อย
“ขอโทษที่ทำให้คุณรอนาน เฮเลนให้คุณมารับฉันใช่ไหม” หญิงสาวบอกขอโทษผู้ชายที่ยืนอยู่พร้อมกับถามเพื่อความแน่ใจ เธอสังเกตว่าภายในมีพนักงานอยู่เพียงคนเดียวก็คือเขา เดาได้ไม่ยากว่าเขาคงจะเป็นคนขับพาเธอไปยังจุดหมายปลายทาง
ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับพร้อมกับผายมือเชิญหญิงสาวไปนั่งประจำที่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย “เชิญด้านในครับ รบกวนสวมเสื้อชูชีพด้วยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวบอกขอบคุณพร้อมกับปฏิบัติตามคำแนะนำของชายหนุ่มอย่างเคร่งครัด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่บอก แต่เธอก็ไม่พลาดที่จะปฏิบัติ เพราะเธอกลัวน้ำที่สุดในชีวิต หากหลีกเลี่ยงได้เธอจะไม่มีวันยอมนั่งเรือออกไปกลางทะเลเด็ดขาด
หลังจากที่ชายหนุ่มมองว่าหญิงสาวจัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อยก็ออกเรือทันที
เมื่อเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มสลับกับเสียงปะทะของน้ำทะเลกับตัวเรือ ความเร็วทำให้เกิดแรงกระแทกกระทั้น ยังดีที่เรือลำใหญ่พอสมควร ทำให้หญิงสาวไม่รู้สึกหวาดกลัวอย่างที่คาดเดาไว้ ถึงกระนั้นมือข้างหนึ่งก็กอดราวเอาไว้แน่น ส่วนอีกข้างก็กระชับเสื้อชูชีพ
เธอไม่ได้กลัวความแรงและความเร็ว แต่กำลังกลัวน้ำต่างหาก และเมื่อเธอเอาแต่ครุ่นคิดและนั่งมองน้ำกระเซ็นที่ท้องเรือ ความปั่นป่วนในช่องท้องก็เริ่มบังเกิดขึ้นและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อาการเมาคลื่นเป็นอีกหนึ่งอาการที่เกิดขึ้นกับเธอตั้งแต่เด็กไม่จางหายไปสักที เมื่อครู่เธอมัวแต่กังวลจนลืมมันไปเสียสนิท หากแต่ตอนนี้ทั้งสองอาการกลับแยกกันไม่ออกและกินกันไม่ลง ว่าอาการใดมันเกิดขึ้นมากกว่ากัน
หญิงสาวเงยหน้ามองทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ผืนน้ำสีมรกตไกลๆ ที่ยังราบเรียบ ทว่าเธอก็ไม่สามารถต้านความปั่นป่วนในช่องท้องได้ ปาจรีย์เกาะราวสเตนเลสของเรือไว้แน่น ยื่นหน้าออกไปอาเจียนอย่างเอาเป็นเอาตาย
“โอ๊ก...อ่า...”
“คุณไหวหรือเปล่า ให้ผมหยุดก่อนไหมครับ” คำถามหลุดออกจากปากของชายหนุ่มคนขับ เขาลอบสังเกตอาการของเธอผ่านช่องกระจก
ชายหนุ่มเบาเครื่องยนต์ก่อนจะจอดกลางทะเล จากนั้นก็หันมามองหญิงสาวที่กำลังโหนเรืออาเจียนหน้าแดง เขาละมือจากพวงมาลัยและเดินมาถึงตัวหญิงสาวพร้อมกับยื่นขวดน้ำให้
“เมาเรือเหรอ ดื่มน้ำก่อนสิครับ”
มือเล็กรับขวดมาดื่ม ทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม แหงนหน้าขึ้นฟ้าพลางปิดเปลือกตา
“ไปต่อเถอะค่ะ ฉันอยากถึงเร็วๆ เรือเล็กโคลงเคลงอยู่กลางทะเลอย่างนี้ฉันจะยิ่งกลัว” หญิงสาวบอกเสียงเนือยพลางพิงศีรษะกับพนักเก้าอี้
ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเดินกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง ทั้งที่นึกห่วงใบหน้าซีดเซียวของเธอ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้
หลังจากที่ทนกลั้นอาเจียนอยู่อีกเกือบครึ่งชั่วโมง คนที่เปิดตามองเป็นระยะก็เริ่มมองเห็นความจริงรางๆ เรือยอชต์ขนาดใหญ่ทอดสมอจอดอยู่เบื้องหน้า ในขณะที่สภาพของหญิงสาวตอนนี้ไม่เอื้อต่อการสำรวจตรวจตราอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่เธอต้องการที่สุดคือขึ้นจากเรือลำเล็กที่แสนจะโคลงเคลงให้เร็วที่สุด จากนั้นก็พักผ่อนอยู่ในห้องพัก
หัวใจของเธอไม่เคยถวิลหางานปาร์ตี้ ถ้าหากเลือกได้เธอขอนอนอยู่ในห้องพักเงียบๆ ทั้งสองวันเลยก็ยิ่งดี ไม่อยากพบปะผู้คน ไม่อยากเจอหน้าใครทั้งนั้น
“คุณดีขึ้นหรือยัง” เสียงคนขับเรือถามพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดับลง
หญิงสาวเปิดเปลือกตาขึ้นมองอีกครั้งก็พบว่าเรือลำเล็กจอดเทียบบันไดของเรือยอชต์ และมีชายหนุ่มสองคนยืนอยู่เพื่อคอยอำนวยความสะดวกให้เธอ
“ฉันไหว” ปาจรีย์ตอบเสียงระโหย แตกต่างจากประโยคที่หลุดออกมาจากปากของเธอ จนคนฟังดูออกว่าเธอฝืน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ หญิงสาวมองรอบตัวที่ถูกล้อมรอบด้วยน้ำใสราวกระจกสีเขียวมรกตงดงาม ไม่มีสิ่งปลูกสร้างนอกเหนือจากเรือเดินสมุทรที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
“มาแล้วหรือ เป็นไงบ้าง” เสียงใสของเพื่อนสาวร้องทักขึ้นมา