คนเป็นแม่รีบสาวเท้าเดินไปยังซอยหก เพราะขนมชั้นมีเพื่อนชื่อหวันยิหวาอยู่ในซอยนั้น แล้วแม่ตัวแสบเคยแอบหนีไปเล่นบ้านเพื่อนโดยไม่บอก แต่พอถูกไม้ก้านมะยมต้นหน้าบ้านฟาดก้นไปสองที พร้อมสอนว่าไปไหนให้ขออนุญาตก่อน ขนมชั้นก็ไม่เคยปั่นจักรยานแอบไปเล่นบ้านใครโดยไม่บอกก่อนอีกเลย
พอจอดจักรยานที่ใช้เป็นยานพาหนะขี่ในหมู่บ้านที่หน้าบ้านซึ่งปลูกต้นทองอุไรออกดอกสีเหลืองบานสะพรั่ง วราลีก็ถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงเด็กหัวร่อต่อกระซิกดังออกมาจากในบ้านเหมือนเล่นกันอยู่หลายคน
คงเพราะว่า ‘พลอยใส’ แม่ของหวันยิหวาที่แก่กว่าวราลีสักสี่ห้าปีทำเบเกอรีส่งที่ร้านกาแฟในละแวกหมู่บ้าน และส่งให้กับร้านกาแฟชื่อดังที่ตั้งร้านในปั๊มน้ำมันเกือบทุกแห่ง อีกทั้งยังใจดีชอบเอาขนมแจกเด็กๆ ทำให้เด็กๆ ในหมู่บ้านชอบมารวมกลุ่มที่บ้านนี้
รวมถึงขนมชั้นที่ชอบขอลูกชุบฝีมือของวราลีที่ทำเป็นรายได้เสริมขายออนไลน์ในไลน์กลุ่มหมู่บ้านเอามาแบ่งให้หวันยิหวา เพราะหวันยิหวาชอบลูกชุบสีสวย รูปทรงประณีตเหมือนผลไม้จริงของวราลี
แต่ใช่ว่าขนมชั้นจะใจดีเสมอไปทุกครั้ง บางครั้งแม่ตัวกลมจอมเจ้าเล่ห์ก็วางแผนการอ่อยเหยื่อโดยเอาขนมลูกชุบมาฝากหวันยิหวา ส่วนตอนกลับขนมชั้นก็มักจะมีบราวนี เมอแรงก์ หรือคุกกี้ต่างๆ ที่แม่ของหวันยิหวาใส่ถุงให้เอากลับไปกิน จนวราลีเห็นแล้วเกรงใจ ขนมชั้นก็จะทำหน้าเจ้าเล่ห์แล้วบอกผู้เป็นแม่ว่า
‘เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ’
และวราลีก็จะดีดหน้าผากโหนกนูนที่ถูกปกคลุมด้วยผมม้าของลูก
“ขนมชั้น ขนมชั้น”
วราลีส่งเสียงหวานๆ เรียกลูกสาวแทนการกดกริ่งหน้าบ้าน เพราะวันก่อนพลอยใสเพิ่งไปที่สำนักงานให้เธอหาช่างมาซ่อมกริ่งหน้าบ้านที่เสียให้ แล้วช่างก็บอกว่าจะมาวันพรุ่งนี้
สักพักก็ได้ยินเสียงเด็กๆ ดังออกมาก่อนตัว เป็นเสียงของหวันยิหวา
“มีลูกชุบไหมคะน้าลี”
หวันยิหวากับแพทริเซียวิ่งตามติดกันมาถึงหน้ารั้วระแนงสีขาว ตามด้วยพลอยใสที่กำลังอบคัปเค้กก็เดินตามเด็กๆ ส่งยิ้มละไมมาให้วราลีที่คุ้นเคยกันดี
วราลีรีบบอกเด็กๆ “วันนี้น้าลีไม่ได้มาขายขนมค่ะ น้าลีมาตามขนมชั้น ไปบอกขนมชั้นให้น้าลีทีว่าน้าลีจะไม่ตีถ้าออกมารายงานตัวเดี๋ยวนี้” แม่คนเจ้าเล่ห์เคยแอบมาบ้านนี้แล้วซุกซ่อนจักรยานไว้หลังบ้านเพื่อไม่ให้แม่ตามเจอ
“น้องลี ขนมชั้นไม่ได้มาที่นี่นะ” พลอยใสที่สวมผ้ากันเปื้อนสะอาดตาเดินมาเกาะรั้ว แล้วรีบเปิดประตูต้อนรับแม่ของเพื่อนลูกสาว “น้องลีเข้ามาก่อน”
พอพลอยใสพูดแบบนี้ หัวใจของวราลีก็ดิ่งวูบ
“อะไรนะคะ ไม่ได้หนีมาที่นี่เหรอคะ แล้วหายไปไหน”
วราลีถอนหายใจหนักหน่วง เครื่องหมายคำถามว่าลูกไปไหนลอยชัดขึ้นมาบนใบหน้าสวยหวาน ก่อนรีบขอตัวกับแม่ของเพื่อนลูกสาว
“พี่พลอย งั้นลีไปก่อนนะคะ ขนมชั้นหายไปจากสำนักงาน ไม่รู้หนีไปเล่นบ้านใคร”
วราลีหันกลับไปคว้าจักรยานที่จอดอยู่ข้างรั้ว พลอยใสจึงรีบเรียกเอาไว้ “เดี๋ยวก่อนน้องลี พี่ยังบอกไม่จบ”
พลอยใสนึกออกว่าเมื่อเกือบชั่วโมงก่อน เธอเดินมารับของจากไลน์แมนที่มาส่งอาหาร แล้วเห็นขนมชั้นขี่จักรยานสีชมพูคู่ใจผ่านมา เธอจึงรีบกวักมือเรียกเด็กหญิง เพราะสั่งซาลาเปาเจ้าอร่อยร้านดังมาแจกเด็กๆ แต่น่าแปลกที่วันนี้ขนมชั้นมองเมินซาลาเปาสองกล่องใหญ่ในมือพลอยใส แล้วตอบเธอว่า
‘วันนี้ขนมชั้นมีเป้าหมายแล้วค่ะคุณป้าพลอยใส แต่ถ้ายังไง คุณป้าจะเก็บไว้ให้ขนมชั้นสักสามสี่ลูกก็ได้นะคะ ขากลับ ขนมชั้นจะเก็บชมพู่มาฝากค่ะ’
พลอยใสเลิกคิ้วอย่างสงสัย รู้ดีว่าบ้านขนมชั้นไม่มีต้นชมพู่ แล้วปกติวราลีค่อนข้างเข้มงวด ถ้าไม่ได้มาเล่นกับหวันยิหวาก็ไม่ปล่อยให้ไปเล่นบ้านใคร
แต่ไม่ทันถาม แม่แก้มยุ้ยร่างอวบก็ชิ่งหนีไปเสียก่อนจึงได้แต่ตะโกนตามหลังร่างอ้วนป้อมนั้นไป
‘อ้าว เดี๋ยว จะไปไหนลูก ขนมชั้น’
วราลีฟังเรื่องราวจากรุ่นพี่แล้วก็ตกใจ เบาะแสสำคัญที่ลูกสาวทิ้งไว้คือคำว่า ‘ขากลับ ขนมชั้นจะเก็บชมพู่มาฝากค่ะ’ นึกถึงเมื่อเช้าที่พาขนมชั้นขี่จักรยานไปที่สำนักงานของหมู่บ้าน เมื่อผ่านบ้าน ‘สราญพิพัฒน์’ ลูกสาวก็หยุดรถแล้วมองไปที่ต้นชมพู่ต้นใหญ่ที่ลูกออกดกทุกปี ก่อนพูดว่า
‘แม่ลีขา ชมพู่บ้านนี้ดกจัง ทำไมคนในบ้านเขาไม่เก็บล่ะคะ’
‘เขาไม่เก็บก็เรื่องของเขา บ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่ เพราะคุณหญิงรำไพท่านเสียไปหลายปีแล้ว’ เธอตอบลูกไปตามเรื่อง
‘สงสารน้องชมพู่จังค่ะ คงเหงาน่าดู’
‘ไปเถอะ’ วราลีบอกเสียงเข้ม แล้วเห็นว่าขนมชั้นยังแอบเหล่หันกลับไปมองที่ต้นชมพู่ แม้จะขี่จักรยานนำหน้าเธอไปแล้ว
‘ไม่ต้องไปมองของเขา เดี๋ยวแม่ไปตลาดตอนเย็นจะซื้อให้สองกิโลเลย’
‘แต่มันไม่น่ากินเหมือนชมพู่ต้นตะกี้นี่คะ’
‘พูดมากเหลือกิโลเดียว’ เท่านั้นขนมชั้นก็ไม่พูดอะไรอีก
นึกมาถึงตรงนี้ วราลีก็รู้แล้วว่าแม่ตัวแสบหนีหายไปที่ไหน
“ลีรู้แล้วค่ะพี่พลอย ว่ายัยขนมชั้นหายไปไหน”
วราลีรีบคว้าจักรยานแล้วตรงไปที่บ้านหลังใหญ่ที่เธอรู้ดีว่า หลังประตูรั้วนั้น ภายในบ้านตกแต่งอย่างเรียบหรูสวยงามสมฐานะมหาเศรษฐี เธอเคยไปที่นั่นบ่อยครั้งตอนคุณหญิงรำไพยังมีชีวิตอยู่ และมักจะเลี่ยงไม่ผ่านมาทางบ้านหลังใหญ่นั้นอีกภายหลังการเสียชีวิตของเสาหลักในตระกูลสราญพิพัฒน์ แม้ว่าจะมีความร่มรื่นของต้นไม้มากกว่าทางที่เธอใช้ประจำเพื่อไปสำนักงานก็ตาม
ไม่นานวราลีก็มายังจุดหมายแล้วต้องตกตะลึง ไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์ที่กลัวมาตลอดจนไม่ยอมปล่อยปละละเลยลูก ยกเว้นวันนี้ที่พลาดจะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา โจรจับเด็กยุคนี้มันคงเลี่ยงรถตู้ติดฟิล์มดำอำพรางสายตา แต่ใช้รถครอบครัวแบบเจ็ดที่นั่งเข้ามาจับเด็กแทน
ภาพที่เห็นทำให้วราลีแทบจะผลักจักรยานที่ขี่มาทิ้งแล้ววิ่งเข้าไปหาผู้ชายร่างสูงใหญ่คนนั้นให้เร็วที่สุดคือ มันกำลังเอาจักรยานสีชมพูลายคิตตี้ของลูกสาวเธอใส่หลังรถที่เปิดออก คาดว่าขนมชั้นคงถูกมันจับมัดเอาไว้ในตัวรถเรียบร้อยแล้ว
“แก! แกทำอะไรลูกสาวฉัน!”
คนเป็นแม่รูปร่างผอมบางในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงสีดำเข้ารูป พุ่งตัวไปกระชากคอเสื้อไอ้ผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่หันหลังให้อย่างไม่กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
ฝ่ายคนที่กำลังพยายามดันจักรยานคันน้อยให้เข้าที่ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาจัดถุงใส่ชมพู่ขนาดสิบกิโลกรัมเข้าไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อถูกกระชากอย่างแรงก็หันกลับมามองอย่างหัวเสีย
“อะไรกันคุณ ใครทำอะไรลูกสาวคุณ” เขาไม่เคยพรากผู้เยาว์ ถึงแม้จะมีเด็กมาให้กินบ่อยๆ จนอิ่มเต็มท้องไม่เคยขาดแคลน แต่ก็อายุสิบแปดปีขึ้นไปทั้งนั้น
ดวงตาสองคู่สบกัน วราลีบอกไม่ถูกว่าทำไมชีวิตของเธอกับเขาถึงเวียนมาบรรจบกันอีก ทั้งที่เขาก็ไปอยู่อีกซีกโลกแล้วไม่ใช่หรือ สวรรค์เล่นตลกร้ายกับเธอเสียแล้วสิ
คุณแม่ยังสาวตะลึงงันเมื่อเห็นเต็มตาว่าคนที่เธอกระชากคอเสื้อเมื่อครู่คือ...
“คุณพชร!”
พชรก้มมองคนตัวเล็กที่สูงเพียงไหล่เขา ไล่ต่ำไปถึงเอวบางคอดที่จำได้ว่ายี่สิบสี่ แม้จะไม่ได้เห็นใบหน้านี้มาหลายปีแล้ว แต่เขาไม่มีทางลืมไปได้
“วราลี!”