บทที่ 9
ลาแล้วลาลับอย่าได้กลับมาอีกเลย...
เรือนคุณหนูรองตระกูลหวัง
ดึกดื่นค่ำคืนเงียบสงัด
ร่างอวบที่น้ำหนักลดลงหลายส่วนใบหน้างามจริงจังเต็มสิบส่วนจดบันทึกสิ่งต่างๆ มากมายบนกระดาษไม่ว่าจะเป็นวิธีทำไข่ดองเค็ม หรือปลาแห้ง หรือหมั่นโถวที่ทำจากแป้งข้าวโพด กระบวนการต่างๆอย่างละเอียด ไปจนถึงการปรุงรสถูกขีดเขียนเต็มหน้ากระดาษหลายแผ่นเพื่อให้ผุ้อ่านเข้าใจง่าย
ทุกสิ่งล้วนแล้วเป็นวิธีจากศตวรรษที่ 22ทั้งสิ้น
เพื่อให้แน่ใจว่าเสบียงจะเพียงพอต่อกองทัพของบิดา
ยิ่งคิดใบหน้างามยิ่งขมวดคิ้วเข้มขึ้น
เมื่อนึกได้ว่ามีเหตุการณ์หนึ่งที่ฮองเต้ทรงมีรับสั่งให้รุ่ยอ๋องสืบเรื่องการทุจริตเสบียงกองทัพ
จะใช่ทัพของบิดาที่ออกไปรบหรือไม่...
กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกขีดเขียนวิธีการปรุงและเพิ่มเสบียงให้ทหารของบิดาเพื่อศึกนี้ต้องชนะเท่านั้นบิดาถึงจะปลอดภัย
อีกด้านหนึ่ง
ร่างหนาใช้วิชาตัวเบาหลบหลีกทหารเวรยามในจวนตระกูลหวังมายังเรือนที่ให้องครักษ์เงาสืบเส้นทางเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว
ไม่นานก็มาถึงตำหนักหนึ่งที่เงียบสงบมีเพียงแสงเทียนสว่างอยู่ห้องเดียวเท่านั้นแน่นอนว่าย่อมเป็นห้องนอนของคุณหนูหวังเลี่ยงเฟิ่งตามที่องครักษ์เงารายงานไว้ ร่างหนาของรุ่ยอ๋องไม่รอช้ารีบลอบเข้าห้องนอนที่มีแสงเล็กน้อยอย่างเงียบเชียบ
เมื่อมาถึงกลับพบนวลนางนั่งเขียนบางอย่างอยู่อย่างตั้งใจ
มิได้บอบบางอ่อนโยนดั่งกิ่งหลิวแต่กลับเย้ายวนให้ลุ่มหลง...
ดวงตาเรียวยาวเชิดสูงมิได้ไร้เดียงสาแต่กลับดูฉลาดเฉลียวและรู้ความ
มืองามมิได้เรียวเล็กดั่งคุณหนูในห้องหอแต่กลับตวัดเขียนลื่นไหลทรงพลัง
รุ่ยอ๋องเดินเข้าใกล้ดั่งต้องมนตร์...
"เจ้าไปใคร?? ..."ร่างอวบที่บางลงหลายส่วนเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ เมื่ออยู่ดีๆบุรุษเดินมาใกล้
คนหรือผีมามิให้สุ่มให้เสียง...
เพียงแสงเทียนสาดส่องรูปลักษณ์ทำให้ใจถึงกลับกระตุก
หล่อเหลา สง่างามทรงอำนาจ และคนผู้นี้คือว่าที่สามีในอนาคต
'รุ่ยอ๋อง...'
"เปิ่นหวางเพียงมาดูว่าเจ้าคิดแผนการชั่วร้ายอันใดอีก"ใบหน้าหล่อเหลารีบเสตามองไปทางอื่น กลบใบหน้าแดงก่ำเมื่อครู่
ด้วยตนเองเผลอมองสตรีที่เล่าลือทั่วแคว้นกันว่าอัปลักษณ์มิมีผู้ใดเทียบเทียม
ช่างน่าขันนัก...
"หม่อมฉันวางแผนชั่วร้าย?? ..."ใบหน้างามเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่ชอบใจลุกยืนขึ้น โดยไม่รู้เลยว่าร่างหนาก้มลงอ่านสิ่งที่ตนเองตั้งใจเขียนให้บิดาอยู่
"เจ้ากำลังคิดทำสิ่งใด สิ่งที่เขียนในกระดาษทำได้จริงๆ หรือ"มองกระดาษทุกแผนบรรยายวิธีการรถนอมอาหารไว้ได้นานและปรุงแบบแปลกใหม่อย่างละเอียดที่ตนเองมั่นใจว่ามิเคยเห็นที่ใดมาก่อนก็อดตกตะลึงมิได้
นางล่วงรู้ได้อย่างไรกัน...
พรึ่บ
เลี่ยงเฟิ่งรีบดึงแผ่นกระดาษของตนออกจากมือรุ่ยอ๋องอย่างไม่ชอบใจ
มีสิทธิ์อันใดมาอ่านของนางกัน...
"หม่อมฉันจะทำสิ่งใดก็เรื่องของหม่อมฉัน เชิญรุ่ยอ๋องเสด็จกลับเถอะเพคะ"เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยอย่างกดข่ม
รู้ดีว่ามิอาจด่าเชื้อพระวงศ์ได้ อาจถูกบั่นคอทั้งตระกูล...
ทั้งที่ในใจกำลังด่าถึงบรรพบุรุษชายตรงหน้าเหตุใดไม่สั่งสอนบุตรหลานให้รู้จักมารยาทและเคารพพื้นที่ส่วนบุคคลบ้าง
ทางด้านรุ่ยอ๋องขมวดคิ้วเข้มเช่นกันดูท่าทางของนางมิได้มีสายตาชื่นชมหรือรักใคร่ชอบพอตนเองแม้แต่น้อย ดวงตางามเรียบเฉยแฝงด้วยท่าทีห่างเหินอย่างเห็นได้ชัด
ไหนว่านางชื่นชอบเข้ามาตลอดถึงขั้นให้บิดาขอสมรสพระทานมิใช่หรือ...
แล้วนี่...
เกิดอะไรขึ้นกัน...
"หากเปิ่นหวางอยากได้เล่ากระดาษพวกนั้นเล่า... อาจช่วยกองทัพอื่นๆ ในยามขาดแคลนเจ้าย่อมมีความดีความชอบ "ร่างหนาพยายามพูดว่านล้อมด้วยหากว่านำความรู้เหล่านี้ไปตรวจสอบหากใช้ได้จริง ปัญหาเสบียงและอาหารภายในแคว้นจะได้รับการแก้ไขปวงประชาอยู่ดีกินดีสืบไป...
"ความดีความชอบหม่อมฉันล้วนหาได้ต้องการไม่ แต่ถ้าหากเป็นข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างเล่าพระองค์จะยินยอมแลกเปลี่ยนกับหม่อมฉันหรือไม่"ร่างบางนั่งลงบนโต๊ะอีกครั้ง พร้อมเขียนข้อแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการ
ความดีความชอบล้วนเลื่อนลอยหาจับต้องได้ไม่...
"คุณหนูหวังเจ้าต้องการสิ่งใด..."
มืออวบที่บางลงยื่นกระดาษที่เขียนความต้องการเสร็จแล้วให้ร่างหนาที่ยืนรออยู่ไม่นานนัก
ใบหน้ารุ่ยอ๋องขมวดคิ้วเป็นปมเมื่ออ่านใจความทุกข้อแล้ว
ข้อที่1 หากแต่งเข้าตำหนักแล้วเป็นเพียงสามีภรรยาในนามเท่านั้นขอเรือนที่ห่างไกลผู้คน งดเว้นพิธีการต่างๆ ด้วยเหตุเจ็บป่วยบ่อยครั้ง และห้ามผู้ที่มิได้รับอนุญาติเข้าเรือนของนางเด็ดขาด
ข้อที่ 2 เมื่อบิดามีชัยกลับมาความเป็นสามีภรรยาสิ้นสุดกันลงวันนั้น
ข้อที่ 3 ต้องการต้นฉั่งฉิกจำนวนหนึ่ง
"คุณหนูหวังแน่ใจหรือ..."เหตุใดนางจึงตั้งข้อแลกเปลี่ยนเช่นนี้กัน มิใช่อยากแต่งเข้าตำหนักอ่องเพราะชื่นชอบเขาอยู่แล้วไม่ใช่หรือ
"แน่ใจเพคะ..."ดวงตางามเต็มไปด้วยความแนวแน่ ในเมื่อมิอาจเลี่ยงสมรสพระราชทานได้ หากมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างการเข้าไปอยู่ในตำหนักรุ่ยอ๋องก็ไม่ลำบากมากนัก
"หากแต่งเข้าราชวงศ์แล้วมิอาจอย่าร้างได้ ข้อสองข้ามิอาจทำให้เจ้าได้"รุ่ยอ๋องเอ่ยอธิบายแม้ยังคงมึนงงอยู่
เหตุใดจึงอยากแต่งเข้า แต่เป็นเพียงสามีภรรยาในนามเท่านั้น
"หากบิดารบชนะกลับมา หม่อมฉันจะพาบิดาท่องเที่ยวไปทั่วแคว้นมิหวนคืนเมืองหลวง ท่านเพียงทำให้ชื่อหม่อมฉันหายไปเท่านั้นซึ่งไม่เหนือบ่ากว่าแรงท่านอ๋องใช่หรือไม่เพคะ"
"ได้ข้ารับปาก..."
"หวังว่าเชื้อพระวงศ์ตรัสแล้วไม่คืนคำนะเพคะ"มือบางยื่นกระดาษทั้งหมดให้ตามสัญญา
"เปิ่นหวางเอ่ยแล้วมิคืนคำ คุณหนูหวังโปรดวางใจ"แม้เอ่ยไปเช่นนั้น แต่หน้าอกด้านซ้ายกลับบีบรัดมิรู้สาเหตุได้
"เพคะ..."
"เช่นนั้นเปิ่นหวางขอตัวกลับก่อน ส่วนต้นฉิ่งฉิกนั้นจะรีบส่งมาให้ที่จวน"
"ไม่ส่งนะเพคะ"
ร่างหนาหลบเข้าเงามือผ่านหน้าต่างออกจากเรือนอย่างรวดเร็วท่ามกลางจิตใจที่สับสนมึนงงไม่น้อย
นางกำลังต้องการสิ่งใดกันแน่...
____________________________
ตำหนักองค์ชายรองหลงลู่หาน
"เรียนองค์ชายแย่แล้วขอรับ คุณหนูใหญ่ตระกูลหวังถูกท่านแม่ทัพสั่งลงโทษให้ไปประจำวัดประจำตระกูลสองปีห้ามกลับเข้าเมืองหลวง จะทำอย่างไรดีขอรับ"
"คุณหนูใหญ่หรือ..."
"พะยะค่ะ..."
"ไม่สำคัญต่อไปแล้ว.. เปิ่นหวางเจอคนที่คู่ควรกว่าแล้วต่อไปสืบเรื่องราวคุณหนูรองหวังเลี่ยงเฟิ่งให้เปิ่นหวางโดยละเอียด"
"รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ..."
__________________________
รุ่งเช้า
เลี่ยงเฟิ่งพร้อมสาวใช้ทั้งสามเดินออกจากเรือนในช่วงเช้าพร้อมกระดาษที่นางเขียนอยู่ค่อนคืนด้วยต้องเขียนใหม่ทั้งหมด
จากเรือนของตนเองไปถึงเรือนบิดาใช้เวลาไม่มากนัก
ระหว่างทาง...
เสียงโอดครวญแว่วมาตามลมทำให้ร่างอวบที่บางลงหลายส่วนหยุดฝีเท้าเพื่อมองไปทางด้านต้นเสียง
"ข้าไม่ไป...ใครก็ได้ช่วยข้าที... "เสียงคร่ำครวญอย่างหมดอาลัยตายอยากด้วยถูกทหารของบิดาฉุดกระชากลากถูออกจากเรือนของคุณหนูใหญ่ดังไม่ทั่วบริเวณ
"พวกข้าเพียงทำตามที่ท่านแม่ทัพสั่งเท่านั้น คุณหนูใหญ่อย่าให้พวกเราลำบากใจอีกเลยขอรับ"หนึ่งในทหารที่ได้รับคำสั่งควบคุมตัวคุณหนูใหญ่ของจวนนั้นเองก็ลำบากใจไม่น้อย
"ปล่อยข้านะ...ข้าจะคุยกับท่านพ่อก่อน..ท่านพ่อลูกผิดไปแล้วลูกสำนึกแล้วท่านพ่อ..."
"อย่ามาแตะต้องตัวข้า...เซียงเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้างเจ็บที่ไหนหรืไม่"อนุอวี้หลันเองก็มีสภาพไม่ต่างกันมากนัก นางถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเมื่อครู่ยังไม่ทันได้เตรียมข้าวของก็ถูกฉุดกระชากลากถูออกเรือนเช่นกัน ร่างงามในชุดนอนผมเผ้ารุงรังคลุกคลานไปหาบุตรสาวที่อยู่ไม่ไกลมากนักอย่างปลอบประโลม
"เอะอะโวยวายอันใดกัน... อ่อที่แท้เป็นพี่หญิงใหญ่กับอนุอวี้หลันเองหรือ"เลี่ยงเฟิ่งเดินเข้ามาใกล้ก็พบคนคุ้นเคยที่ถูกทำโทษอยู่วัดประจำตระกูลเป็นเวลาสองปี
ช่างสาสมใจยิ่งนัก...
ใบหน้างามที่เริ่มมีเค้าโครงชัดเจนจากน้ำหนักที่ลดลงจนสังเกตได้ยกยิ้มอย่างสาสมใจ
"ครั้งนี้เจ้าชนะข้าได้ฝากไว้ก่อนเถอะ ครั้งหน้าข้าจะเอาคืนเจ้าให้สาสม..."อ้ายเซียงเมื่อเห็นน้องสาวเดินเข้ามาใกล้เอ่ยขึ้นอย่างโกรธข่มเป็นนางที่คิดง่ายไป
น้องรองผู้นี้มิได้โง่งมเช่นกาลก่อนอีกต่อไปแล้ว
มองหน้าตาผิวพรรณ เครื่องประดับอาภรณ์การแต่งกายและรูปร่างที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด...
เป็นนางที่คิดง่ายเกินไป...
ทางด้านเลี่ยงเฟิ่งเดินเข้าไปใกล้ผู้เป็นพี่สาวที่รักยิ่ง พลางกระซิบแผ่วเบาให้ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น
"พี่หญิงใหญ่คิดว่าจะมีคราวหน้าเช่นนั้นหรือ ว่าก็ว่าเถอะคุณชายลู่ก็ช่างหล่อเหลาสง่างามไม่น้อยพี่ใหญ่จากไปไกลเมืองหลวงยาวนานนับสองปี เช่นั้นแล้วข้าขอรับคุณชายลู่ไว้ดูแลแนบชิด ข้าขออวยพรให้พี่หญิงใหญ่ไปแล้วไปลับอย่ากลับมาอีกเลยนะเจ้าค่ะ"เอ่ยเสร็จใบหน้างามยกยิ้มร้ายไม่มีผู้ใดสังเกตุเห็น
"ไม่นะ...กรี๊ดๆๆไม่นะข้าไม่ยอม"เสียงกรีดร้องขาดสติดังลั่นไปทั่วจวน จนไปถึงเรือนใหญ่
"ทหาร!!หูหนวกหรือจัดการเอาผ้าอุดปากเสีย อย่าให้มาส่งเสียงสร้างความวุ่นวาย"ร่างหนาของท่านแม่ทัพที่ได้ยินเสียงกรีดร้องสตรีดังลั่นทั่วจวนก็รีบออกจากเรือนมาดูพบว่าเป็น บุตรสาวคนโตอีกแล้ว
เหตุใดช่างชอบทำเรื่องงามหน้าเอาแต่ใจตนเองยิ่งนัก
"ขอรับ"ทหารรับคำสั่งอย่างหนักแน่นรีบพยุงร่างคุณหนูใหญ่ให้ลุกขึ้นทั้งสองข้างเพื่อไปที่รถม้า
"ไม่นะท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้วอภัยให้ข้าเถอะนะเจ้าค่ะ ข้าสำนึกแล้ว"ใบหน้างามเต็มไปด้วยน้ำตาเมื่อรู้ว่ามิอาจย้อนคืนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งใดได้
นางมิต้องการไปอยู่วัดอะไรนั่น
นางยังมีสิ่งที่ต้องทำหลายอย่าง...สวรรค์เหตุใดจึงกลั่นแกล้งนางเช่นนี้
"ทหาร!!!"
"ไม่นะนายท่าน อย่าได้ใจร้ายกับบุตรสาวของเราเช่นนี้ ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวเถอะนะเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ยังเด็กนัก ฮือๆๆๆ" อนุเพ่ยอันร่ำไห้ป่านใจจะขาดเมื่อเห็นบุตรสาวสภาพถูกลากไปตามพื้นมีผ้าอุดปากไว้ท่าทีไม่ยินยอมแม่แต่น้อย
"เป็นเพราะเจ้าเป็นมารดาตามใจนางจนเคยตัว ขัดคำสั่งครั้งแล้วครั้งเล่าทำร้ายผู้อื่นมิรู้ความผิดของตนไปอยู่วัดให้สำนึกผิดเสีย"สิ้นคำของผู้เป็นเจ้าของจวน ร่างหนาสบัดชายเสื้อจากไปอย่างตัดใจ
มิใช่มิอาลัย...
แต่กฎมีไว้ให้ทำตามมิใช่ฝ่าฝืน...โทษที่ได้รับนับว่าเบากว่าการโบยตีนักหวังว่าการไปอยู่วัดประจำตระกูลหวังจะช่วยขัดเกลาให้จิตใจใสสะอาดขึ้นนะบุตรสาวพ่อ
เมื่อเห็นบิดาเดินเข้าเรือนใหญ่ไปแล้วเลี่ยงเฟิ่งเองก็มิได้ติดใจอยู่ต่อ เดินผ่านร่างอนุอวี้หลันไปอย่าง
"เป็นเพราะเจ้าบุตรสาวของข้าถึงอยู่ในสภาพเช่นนี้"ใบหน้าที่เคยงดงามน่ามองบัดนี้มิอาจปกปิดร่องรอยความเครียดแค้นชิงชัง
พลั่ก!!!
ด้วยแรงถีบอย่างจงใจไปที่ไหล่ด้านขวาของเลี่ยงเฟิ่ง ร่างของอนุอวี้หลันที่คุกเข่าลงอยู่ก่อนแล้วเซนอนลงกับพื้น
"อ๊าๆๆไหล่ข้า"อนุอวี้หลันกรีดร้องเสียงหลงเมื่อไหล่ด้านขวากลับมิอจควบคุมได้ ห้อยโหรงเหรงอยู่กับตัว
"ท่านแม่..."อ้ายเซียงเอ่ยเสียงหลง
"หากยังยุ่งกับข้าอีก อย่าว่าแต่ส่งเจ้าสองแม่ลูกไปอยู่วัดสองปีเลยตลอดชีวิตข้าก็ทำได้หรือจะลองดู"เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยเสียงเย็น
"เจ้า!!"ใบหน้างามของอนุอวี้หลันหน้าซีดเผือด
"ทหาร!!นำตัวอนุผู้นี้ไปได้แล้ว" พ่อบ้านที่ยืนอยู่ไม่ห่างมากนักเอ่ยสั่งเสียงเข้มเมื่อเห็นว่าเรื่องราวจเริ่มบานใหญ่โต
"เชิญคุณหนูรองที่ห้องทำงานนายท่านขอรับ "
"อืม..."
เลี่ยงเฟิ่งพร้อมสาวใช้ทั้งสามเดินมาถึงหน้าห้องทำงานของผู้เป็นบิดาแล้วจึงเอ่ยสั่ง
"พวกเจ้าทั้งสามอยู่ด้านนอก อย่าให้ผู้ใดเข้าไปได้อีกพ่อบ้านตู้เข้าไปด้วยกันกับข้าหน่อย"ร่างบางเอ่ยกำชับ
"เจ้าค่ะ/ขอรับ"
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องแล้วประตูที่เปิดกว้างก็ปิดลงอย่างเงียบเชียบ
"ท่านพ่อเจ้าค่ะ ลูกอยากให้ท่านพ่อได้ลองอ่านดู"เลี่ยงเฟิ่งหยิบกระดาษปึกใหญ่ที่ตนเตรียมมายื่นให้บิดาได้อ่าน
"อืม..ดีๆๆ"มือเหี่ยวย่นด้านหนาจากการหยิบอาวุธเข้าต่อสู้ศัตรูมาทั้งชีวิตหยิบกระดาษที่บุตรสาวตั้งใจเขียนให้มาอ่านทีละหน้าอย่างตั้งใจ
"เรื่องไข่ดองเค็ม พ่อพอเข้าใจแต่เราจะหาไข่ให้พอกับคนทั้งกองทัพส่งไปชายแดนนั้นเป็นเรื่องยากไม่น้อย"
"ได้ยินว่าชายแดนทางทิศบูรพาที่เผ่าซยงหนูหมายปองนั้นเป็นดินแดนที่สามารถเพาะปลูกได้ทุกฤดูกาลใช่หรือไม่เจ้าค่ะ"
"ใช่ เพราะเหตุนี้เผ่าซยงหนูถึงอยากได้พื้นที่ตรงนี้นัก"
"เพราะปลูกได้ง่ายก็ย่อมเลี้ยงสัตว์ได้ง่ายเจ้าค่ะ ไก่หนึ่งตัวไข่วันละหนึ่งฟองนานนับครึ่งปี"
"จริงหรือไม่พ่อบ้านตู้"
"จริงขอรับ แต่ก่อนตอนบ่าวเป็นเด็กในชนบทเคยเลี้ยงไว้สองตัวออกไข่ทุกเช้า คุณหนูรองช่างรอบรู้"
"เพียงอ่านมาเยอะเท่านั้น"ใบหน้างามยกยิ้มน้อยๆในศตวรรษที่ 22แม้เด็กประถมก็รู้
"ดีๆเช่นนี้ก็สามารถมีเสบียงไว้เพิ่มอีกอย่าง"มือเหี่ยวย่นยังคงพลิกกระดาษหน้าแล้วหน้าเล่า ใบหน้าที่ตึงเครียดค่อยๆยิ้มเต็มสิบส่วนเมื่อเห็นวิธีการถนอมอาหาร เมนูอาหารหลากหลายและใช้วัตถุดิบไม่มากนักเพียงเท่านี้ทหารในกองทัพก็ไม่อดอยากอีกต่อไปแล้ว
แผ่นแล้วแผ่นเล่าจนมาถึงแผ่นสุดท้าย
'หมั่นโถวที่ทำจากข้าวโพด'
ทุกอย่างอยู่ในสายตาเลี่ยงเฟิ่งทั้งหมด
"ลูกได้ยินว่าที่นั่นมีการปลูกข้าวโพดมากมายนัก หากว่าท่านพ่อมิเชื่อเย็นนี้ลูกจะทำให้ท่านพ่อทานด้วยตนเองเจ้าค่ะ"
"พ่อเชื่อเจ้า..ขอบใจๆขอบใจเจ้ามาก เจ้าช่างรู้ความเช่นบิดาเจ้านัก"ร่างหนาโอบกอดบุตรสาวอย่างหวงแหนนางทำเพื่อผู้เป็นบิดามากมายถึงเพียงนี้
"ท่านพ่อต้องกลับมานะเจ้าค่ะ"
"ได้พ่อสัญญา..."