บทที่ 4 มิได้เต็มใจแต่ง...

2092 Words
บทที่ 4 มิได้เต็มใจแต่ง... ณ วังหลวง ห้องทรงอักษร พื้นที่กว้างขวางเต็มไปด้วยตำราพิชัยยุทธและกวีเรื่องเล่ามากมายเรียงรายตามชั้นวางอย่างเป็นระเบียบตามอักษร ร่างหนาในชุดอาภรณ์สีทองอร่ามปักลวดลายมังกรห้าเล็บอันเป็นสัญลักษณ์ของโอรสสวรรค์ นั่งอ่านฎีกามากมายที่วางกองพะเนินสูงลิ่วไม่มีทีท่าว่าจะหมดสิ้น โดยมีขันทีคู่ใจคอยฝนหมึกรับใช้ข้างกายไม่ห่าง "ถวายพระพรเสด็จพ่อ ขอเสด็จพ่อมีพระชนม์มายุยืนนานพันปีหมื่นปีพะยะค่ะ"ใบหน้าหล่อเหลาปานเทพบุตรในชุดสีทมิฬลวดลายเมฆาล่องลอย ทำความเคารพผู้เป็นบิดาเต็มพิธีการ "รุ่ยอ๋อง มาแล้วหรือ..."เมื่อเห็นโอรสมาเข้าเฝ้าด้วยท่าทีร้อนใจสีหน้าเก็บไม่มิด ผู้เป็นบิดาก็ถอนหายใจอีกครั้ง "เสด็จพ่อ ข่าวเรื่องที่แม่ทัพใหญ่หวังมาขอพระราชทานสมรสให้บุตรสาวแต่งเป็นชายาเอกเข้าตำหนักลูกใช่เรื่องจริงไหมพะยะค่ะ" "ใช่ พ่อพึ่งรับปากแม่ทัพหวังไปเมื่อเช้า" "เสด็จพ่อ... ลูกนั้นมีสัญญาใจกับคุณหนูอวิ๋น ลูกได้ตกปากรับคำนางว่าเมื่อนางปักปิ่นแล้วจะแต่งนางเป็นชายาเอกนะพะยะค่ะ" "รุ่ยอ๋อง... แคว้นของเรามีแม่ทัพไม่มากนักเจ้าเองก็รู้ดี ที่พ่ายแพ้มาถึงสาม อีกหนึ่งประจำการต้านไว้ที่ชายแดนอีกหนึ่งลาออกราชการอยู่เมืองหลวง ตัวเจ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ราษฎรย่อมมาก่อนเหนือสิ่งอื่นใด หากมิสามารถกำราบชนเผ่าซยงหนูที่เอาแต่รุกรานเหิมเกริมแคว้นเราได้ มิแคล้วว่าชาวบ้านราษฎรจะเดือดร้อนสักเพียงใด..."โอรสสวรรค์กับพระโอรสของตนเอง พลางถอนหายใจอีกครั้งมิใช่ว่าอยากบังคับจิตใจโอรสของตน แต่บ้านเมืองต้องมาก่อนเหนือสิ่งอื่นใด... "ลูกมิได้ชื่นชอบนาง...มิได้อยากแต่งกับนาง..." "แต่นางชื่นชอบเจ้า คงมิได้ทำให้เจ้าลำบากใจมากนักถือว่าทำเพื่อราษฎรแคว้นเราน" "เสด็จพ่อ..." "พ่อไม่ได้มีตัวเลือกมากนักจำเป็นต้องใช้แม่ทัพหวังที่ลาออกจากราชการไปแล้ว ศึกครานี้จำเป็นต้องใช้แม่ทัพมากความสามารถกำราบให้ได้เพื่อความผาสุขของแคว้น" "เสด็จพ่อ หากว่าข้าออกรบเองเล่า..."ร่างหนาเอ่ยอย่างสับสน ด้วยวัยยี่สิบสองหนาวแม้เคี่ยวกรำศาสตราวุธและวิทยายุทธการต่อสู้มาแล้วไม่ถ้วน แต่การออกรบนั้นแน่นอนว่ายังไม่เคย "เจ้ายังอ่อนด้อยประสบการณ์นัก การรบครั้งหนึ่งยืดเยื้อยาวนาน นักสองปีคืออย่างน้อย ห้าปีคือมากสุด พ่อมิอาจเสียเจ้าไปในเวลานี้ " "ลูกทราบแล้วพะยะค่ะ ลูกทูลลา"ร่างหนาเดินออกจากห้องทรงอักษรของพระบิดาอย่างเหม่อลอย 'ป่านนี้เหมยเออร์คงล่วงรู้เรื่องราวแล้วเป็นแน่ เขาควรจะตอบสตรีคนรักว่าอย่างไรหากมิได้แต่งตั้งนางเป็นชายาเอกนางคงร่ำไห้มากมายเป็นแน่'เมื่อนึกถึงสตรีที่คบหามานานที่หัวอ่อนว่าง่ายเรียบร้อยอ่อนหวานงดงามตำแหน่งยอดพลูเมืองหลวงกับสตรีที่จำเป็นต้องแต่งตั้งเป็นชายาเอกที่พบเจอกันครั้งสุดท้าย ช่างน่ารังเกียจเสียจริง... จวนเสนาบดีอวิ๋น เรือนคุณหนูใหญ่อวิ๋นลี่เหมย เพลี้ยง!!! เพลี้ยง!!! เสียงแจกันใบงามหลายใบ ถูกเขวี้ยงทิ้งเพื่อระบายอารมณ์เกรี้ยวกราดกับข่าวลือที่ได้รับมา 'พระราชทานสมรสรุ่ยอ๋องกับคุณหนุรองหวัง' "ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ไม่จริง"ร่างบางกรีดร้องเกรี้ยวกราดในเรือนตนเองด้วยความขุ่นข้องหมองใจ ทั้งที่รุ่ยอ๋องและนางคบหาและมีสัญญาใจว่าจะรับนางเป็นชายาเอกแล้ว นี่มันเรื่องบ้าบออันใดกัน... "เหมอยเอ๋อร์ พวกเจ้าออกไปก่อน" ฮูหยินอวิ๋นหลันฮวาผู้เป็นมารดาของคุณหนูสามเดินเข้ามาปลอบประโลมบุตรสามพร้อมเอ่ยไล่บ่าวไพร่ออกไปก่อน "ท่านแม่ ...ท่านแม่ช่วยข้าด้วย...ข่าวลือนั่นมิใช่ควมจริงใช่หรือไม่" "ไม่ร้องนะคนดีแม่รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เจ้าต้องใจเย็นให้มากว่านี้ คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้ว่ารุ่ยอ๋องกับเจ้านั้นต่างรักใคร่ชอบพอกัน เรื่องนี้ยังพอมีทางแก้ไขได้ เจ้าต้องใจเย็นๆรู้หรือไม่" "ข้าไม่ยอมนะท่านแม่ ข้าไม่ยอม"ท่าทีใจร้อนเกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ ผิดกับคำเล่าลือด้านนอกจวนลิบลับ "แม่รู้...แม่รู้...แม่เองได้ยินมาว่ากันว่าคุณหนูรองหวังนั้นอัปลักษณ์น้ำหนักพันชั่งเจ้าเองอย่าพึ่งเอะอะโวยวายไปให้เสียเกียรติ ยอดพลูเมืองหลวงให้ผู้คนเอาไปติฉินนินทาได้ แต่งตั้งได้ก็ปลดได้ในเมื่อรุ่ยอ๋องทั้งรักและตามใจเจ้า" "ท่านแม่พูดจริงหรือเจ้าค่ะ"ดวงตางามของคุณหนูสามเปร่งประกายอย่างมีความหวัง "แม่เคยโกหกเจ้าหรือไม่เล่า"สิ้นเสียงผู้เป็นมารดา ใบหน้างามส่ายหน้าน้อยๆมารดามิเคยโกหกนางเลยสักครั้ง มารดาพูดเช่นใดมักเป็นเช่นนั้นเสมอ ร่างบางโอบกอดมารดาเอาไว้เพื่อหาที่พึ่ง... "ขอบคุณท่านแม่ที่เตือนสติลูกเจ้าค่ะ" "เพียงเจ้ามีความสุขแม่นั้นก็ยินดทำทุกอย่าง" แม้ว่าจะหนทางข้างหน้าจะมีอุปสรรคขวากหนามเพียงใดแม่ยินดีช่วยเหลือเต็มที่ เพียงบุตรีแม่ทัพแก่ๆผู้หนึ่งไร้มารดาอบรมสั่งสอนจะมีมารยาเท่าไหร่กันมีหรือจะสู้บุตรสาวของนางที่ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี จวนตระกูลหวัง เรือนคุณหนูรองเลี่ยงเฟิ่ง หลังจากที่ทราบเรื่องพระราชทานสมรสตนเองกับรุ่ยอ๋อง เลี่ยงเฟิ่งเดินกลับเรือนตนเอง พร้อมเข้าห้องนอนของตนเองเพื่อทบทวนบ้างสิ่ง มีคำสั่งห้ามผู้ใดรบกวนจนกว่าจะเรียกหา ทั้งสาวใช้คนสนิทและบ่าวไพร่ในเรือนต่างมึนงงไม่น้อย คุณหนูรองชื่นชอบรุ่ยอ๋องมาตลอด คุณหนูรองควรดีใจเตรียมตัวเป็นพระชายาไม่ใช่หรือ แต่เหตุใดจึงเก็บตัวเงียบไม่ยอมพบผู้ใดเช่นนี้' อีกด้านหนึ่ง เลี่ยงเฟิ่งกำลังเล่นโยคะพร้อมจิบน้ำเปล่าอย่างเพลิดเพลินด้วยตลอดมาเป็นผู้ที่ชื่นชอบออกกำลังกายดูแลรูปร่างของตนเองให้ดูดีอยู่เสมอ บางครั้งมีความคิดยังอยากจะวิ่งรอบเรือนด้วยซ้ำแต่หากลุกขึ้นมาทำเช่นนั้นเกรงว่าบ่าวไพร่จะเล่าลือว่านางนั้นตกต้นไม้จนเสียสติ การเล่นโยคะในพื้นที่จำกัดจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมแล้ว โดยผู้เป็นนายไม่รู้เลยว่าสาวใช้คนสนิทนั้นเป็นห่วงพะว้าพะวงอยู่หน้าเรือนไม่ยอมจากไปไหนด้วยกลัวว่าผู้เป็นนายจะคิดมากเรื่องการแต่งงาน ______________________ บทที่ 8 เมื่อกองทัพต้องการผู้นำ รุ่งเช้า เรือนคุณหนูใหญ่เลี่ยงเฟิ่ง "คุณหนูเจ้าค่ะ แย่แล้ว"เสียงของอิงอิงสาวใช้คนสนิทของคุณหนูรองตะโกนมาแต่ไกล "มีอะไรหรืออิงอิง หายใจเข้าลึกๆช้าๆ"ทางด้านเลี่ยงเฟิ่งเองนั้นเพิ่งอาบน้ำผลัดอาภรณ์หลังจากที่ตื่นออกมาเล่นโยคะตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ต้องลดน้ำหนักให้ได้....แม้จะใช้เวลาอีกนานก็ตาม... "นายท่าน นายท่าน...จะออกรบเจ้าค่ะ มีข่าวลือเผ่าซยงหนูเหิมเกริมหนักที่ชายแดนฝ่าบาทมีรับสั่งให้คืนตำแหน่งเดิมให้นายท่านเพื่อการศึกครั้งนี้นายท่านจึงขอแลกกับพระราชทานสมรสให้คุณหนูกับรุ่ยอ๋องเจ้าค่ะ"สาวใช้คนสนิทเอ่ยเล่าอย่างละเอียด "เรื่องนี้..."ใบหน้าอวบเข้มขึ้นหลายส่วน ข่าวนี้ไม่แน่ว่าอาจเป็นเรื่องจริง เลี่ยงเฟิ่งจับมือตนเองเอาไว้แน่น แน่นอนการออกไปรบทัพจับศึกย่อมมีความเสี่ยง ทั้งที่บิดานั้นวางมือคืนตำแหน่งลาออกแล้ว "ข้าจะไปหาท่านพ่อ นำทาง"เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยเสียงเข้ม "เจ้าค่ะ" เรือนใหญ่จวนตระกูลหวัง ร่างหนาในชุดสีเทาหม่น การแต่งกายล้วนเรียบง่ายกำลังสั่งให้พ่อบ้านนำเกราะและศาสตราวุธที่ถูกเก็บไว้อย่างดีนำออกมาปัดฝุ่น เช็ดคมดาบเคลือบเงาเสียใหม่เพื่อให้พร้อมใช้งาน "ท่านพ่อเจ้าค่ะ"เลี่ยงเฟิ่งที่เดินมาถึงเรือนใหญ่ของบิดา มองดูบ่าวไพร่ที่วุ่นวายยกหีบมาเปิดออกหลายหีบเพื่อเช็ดถูทำความสะอาด "เฟิ่งเอ๋อร์.." "ลูก..."เมื่อเห็นท่าทีของบุตรสาวมีบางสิ่งอยากจะเอ่ย "พวกเจ้าออกไปก่อน..."ผู้เป็นบิดาเอ่ยปากไล่บ่าวไพร่ออกไปก่อนเพื่อความเป็นส่วนตัว คนรู้น้อย...ย่อมเป็นการดี "เรื่องจริงใช่ไหมเจ้าค่ะ ที่ท่านพ่อจะออกรบแลกกับพระราชทานสมรสลูกกับรุ่ยอ๋อง"เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยทั้งน้ำตาคลอ ด้วยแม้มาอยู่ในยุคนี้ไม่กี่วัน แต่ก้รับรู้ว่าบิดาตรงหน้าทั้งดีและเอ็นดูนางไม่น้อย หรือจะเป็นความรู้สึกของร่างเดิมที่ยังคงรักและผูกพันธ์อยู่... "พ่อเป็นทหาร เมื่อแคว้นต้องการแม่ทัพพ่อเองก็มิอาจปฎิเสธได้ ส่วนเรื่องพระราชทานสมรสเจ้ากับรุ่ยอ๋องนั้นเป็นเรื่องจริงเจ้าคือบุตรสาวที่พ่อรักและห่วงที่สุด อย่าได้เสียใจกองทัพต้องการผู้นำ "ใบหน้าที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลาเอ่ยด้วยสีหน้าผ่อนคลาย เอ่ยอธิบายบุตรสาวอย่างอ่อนโยน "ข้าเองก็ต้องการท่านพ่อนะเจ้าค่ะ" "เจ้าโตแล้ว เฟิ่งเออร์เจ้าต้องเข้มแข็งเช่นมารดาเจ้ารู้หรือไม่"มือเหี่ยวย่นตามกาลเวลาที่ผันผ่านลูบผมบุตรสาวอย่างหวงแหน ไม่รู้ว่าการไปรบครั้งนี้จะได้กลับมาหรือไม่ ทุกสิ่งถูกเก็บไว้ด้วยใบหน้าใจดีที่มีให้แก่บุตรสาวที่รักยิ่ง คงได้แต่ภาวนาว่าการแต่งงานครั้งนี้ของบุตรสาวจะมีความสุขต่อไปภายภาคหน้ากับการเป็นพระชายาในรุ่ยอ๋อง "จะเดินทางวันใดหรือเจ้าค่ะ " "หลังวันที่ส่งเจ้าเข้าตำหนักรุ่ยอ๋อง หนึ่งวัน"ใบหน้าของผู้เป็นบิดายกยิ้มน้อยๆ "รวดเร็วถึงเพียงนั้น..."เลี่ยงเฟิ่งก้มหน้าลงครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างที่นางจะกระทำได้ ด้วยเรื่องราวของคุณหนูรองหวังนั้นนางเองก็ไม่ได้อ่านมากนัก "เจ้าถึงวัยออกเรือนแล้ว มิใช่เด็กๆเช่นกาลก่อนแล้ว" "ไม่ว่าอย่างไรท่านพ่อต้องกลับมานะเจ้าค่ะ"เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยน้ำตาคลอ มิรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป "ได้...พ่อสัญญา"ร่างหนาโอบกอดบุตรสาวอย่างอบอุ่น บทสนทนาของสองพ่อลูกนั้นกลับมีสตรีผู้หนึ่งแอบฟังอยู่นานแล้ว ใบหน้าที่ถูกแต่งเสริมเติมแต่งอย่างงดงามบิดเบี้ยวไม่น่ามอง 'สิ่งใดก็ล้วนเป็นของเลี่ยงเฟิ่งทั้งหมด แล้วอ้ายเซียงบุตรสาวนางเล่ามิใช่บุตรสาวของท่านเช่นกันหรือ' เล็บยาวที่ถูกตัดแต่งมาอย่างดีจิกเข้าต้นขาแน่นอย่างกดข่ม 'ตายในสนามรบเสีย ไอ่ลูกเต่าลำเอียง' ____________________________ ตำหนักรุ่ยอ๋อง ร่างหนาในชุดเดิมเมื่อคืนยังคงนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานเดิมหลังจากกลับมาจากเข้าพบพระบิดา ใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้วเข้มขบคิดหนทางออกเรื่องราวที่เกิดขึ้น จะให้เขาแต่งงานกับหญิงอัปลักษณ์นั่นเป็นชายาเอกไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นแน่แล้ว แล้วเหมยเอ๋อร์เล่าเขาควรต้องทำเช่นไรดีทั้งที่รับปากสัญญาหมายมั่นแล้ว... ร่างหนาขบคิดทั้งคืนจนรุ่งเช้า "เจียงจู เจ้าว่าข้าควรทำเช่นไรดี..."ร่างหนาเอ่ยถามองครักษ์คนสนิทที่เติบโตมาพร้อมๆกันอย่างเหม่อลอย "เรื่องนี้กระหม่อม ขอไม่มีความเห็นพะยะค่ะ "สีหน้าองครักษ์เอ่ยผู้เป็นนายสีหน้าลำบากใจไม่น้อยไม่น้อยเรื่องนี้เกี่ยวพันกับกิจการบ้านเมือง ใช่จะบ่ายเบี่ยงโดยง่ายยิ่งเป็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์การแต่งงานทางการเมืองย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา พลางยกกาน้ำชาที่เย็นชืดนานแล้วไปเปลี่ยนมาใหม่ "ใช่สินะ เจ้าเองก็ยังมิเคยมีความรัก" "ท่านอ๋อง ดื่มชาก่อนเถอะพะยะค่ะ กระหม่อมเปลี่ยนให้ใหม่แล้ว" "อืม...ขอบใจเจ้ามาก"เพียงยกชาที่เปลี่ยนมาใหม่กลิ่นหอมลอยคละคลุ้งอบอวลภายในปาก ร่างหนาสูงศักดิ์ก้นึกบางอย่างออก ใช่แล้ว... 'ขัดสมรสพระราชทานไม่ได้ก็แต่งทีเดียวสองคนเลยแล้วกัน' ___________________________
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD