ไม่นานไอ้นุ่นก็บอกให้คนขับวนมาจอดที่หอมันก่อนจะค่อยๆ พยุงฉันออกมาจากรถ มันพาฉันขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นหก ทางเดินที่นี่เปิดไฟไว้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยไม่ได้น่ากลัวมากนัก
“ภาระจริง” มันบ่นอุบจงใจให้ฉันได้ยิน ฉันตีมึนไม่รู้สึกรู้สา มันลากฉันมาจนถึงหน้าห้องมันจนได้ ไอ้นุ่นใช้แขนข้างที่ว่างล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางยีนส์อยู่ครู่นึง แต่ก่อนที่มันจะเสียบลูกกุญแจเข้าไปในลูกบิด ก็ดันมีเสียงใครบางคนดังขึ้นมาซะก่อน
“ไอ้นุ่น” เจ้าของเสียงเรียกยืนเอาแขนเท้ากับประตูบานหนึ่ง เขาเลื่อนสายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับกำลังแสกนฉันทุกอณูรูขุมขนจนฉันแอบเกร็ง “มากับใคร เมียเหรอ?”
ฉันได้ฟังคำถามแล้วลอบยิ้มอยู่ในใจ อยากจะตะโกนไปว่าใช่ แต่ก็เกรงใจไอ้คนร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ เลยข่มใจหุบปากสนิทพลางมองเขากลับ เขามีรูปหน้าเรียว นัยน์ตาสีเข้มคมกริบ กอปรกับลักษณะดิบๆ สมเป็นเพื่อนไอ้นุ่น
คนมาใหม่ก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าฉันก่อนจะเอามือเท้าประตูที่พวกเรากำลังจะเปิดเข้าไป เขาเอียงคอมองฉันที มองไอ้นุ่นที
“แล้วมึงเอากูไปไว้ไหน หืม” น้ำเสียงติดจะจริงจังนั่นทำให้ฉันชะงัก ฉันเหลือบสายตาไปมองหน้าคนพูด แต่หมอนั่นไม่ได้สะทกสะท้านเลยสักนิด
ไอ้นุ่นหัวเราะกับสิ่งที่คนร่างสูงพูด ฉันย่นคิ้ว ในใจคิดว่าเขาคงพูดเล่น ฉันไม่เห็นไอ้นุ่นมันจะมีแววไปชอบผู้ชายสักนิด แต่ก็พูดยาก สมัยนี้เกย์แมนกว่าผู้ชายมีมากมายหลายแสน ใครจะไปดูออก แต่หนึ่งในนั้นไม่ควรจะเป็นไอ้นุ่นสิ ฉันจองแถมมองมาตั้งหลายปี อ่อยมาก็หลายวิธี มันควรจะเป็นของฉันอ่ะ
“เป็นไรกันเหรอ?” ฉันเผลอถามออกไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ อาจเป็นเพราะฉันเป็นมนุษย์จำพวกระงับอารมณ์ทางสายตาได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันก็เลยจิกคนมาใหม่อย่างออกนอกหน้า
อันที่จริง หน้าตาสารรูปของเขาก็ดูหล่อดี ออกไปทางแบดบอยแบบดิบๆ เขาน่าจะหาคนอื่นได้อีกมาก เขาควรไปเมนคนอื่น ไม่ใช่ไอ้นุ่น
“เป็นผัวเมียไง”
ฉันเงียบ
ไอ้นุ่นหัวเราะ
สำหรับฉันการที่มันไม่ตอบหรือปฏิเสธถือเป็นการยอมรับ ฉันนิ่งไปไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตกใจอะไรนัก แต่สายตาฉันก็ยังมีเครื่องหมายปริศนาปรากฏอยู่เต็มไปหมด คนร่างสูงตีสีหน้าเรียบประเมินฉัน พวกเราสบตากันอยู่ครู่ใหญ่จนกระทั่งเขาระเบิดหัวเราะออกมาจนนัยน์ตาหยี ขัดกับบุคลิกน่ากลัวก่อนหน้านี้มาก
“ล้อเล่น เครียดเชียว” เขายกยิ้มดูเปลี่ยนเป็นคนละคน ถึงไฟทางเดินจะไม่สว่างมากนักแต่มันก็ชัดพอจะทำให้ฉันเห็นโครงหน้าได้รูปและความเป๊ะปังของเพื่อนไอ้นุ่นคนนี้
“มึงมาทำไรดึกดื่นวะ ไอ้พิง” ไอ้นุ่นว่าแล้วเริ่มไขกุญแจต่อ คนถูกถามไหวไหล่กวนๆ ก่อนจะเหล่สายตามามองฉันนิดหน่อยเหมือนรู้ว่ากำลังถูกจ้อง
‘พิง’ คือชื่อของเจ้าของนัยน์ตาคมกริบที่โผล่ออกมาในยามราตรี หูฉันดีทันทีที่ไอ้นุ่นเอ่ยชื่อเขาและฉันจะ Save as ชื่อนี้ไว้ในเมมโมรี่ของสมอง เผื่ออ่อยไอ้นุ่นไม่สำเร็จ ฉันอาจจะเปลี่ยนเป้าหมายมาอ่อยเขาเป็นรายต่อไป
หุ่นผ่าน หน้าผ่าน บุคลิกก็ผ่าน แต่จะไม่ผ่านก็ตรง...
“หาเมีย” เขาตอบเสียงชัดเจนเหมือนมาตะโกนอยู่ข้างหู ฉันก็เลยดีลีทชื่อเขาออกจากเมมโมรี่ทันทีที่เขาพูดจบ
โอเค รู้เรื่อง และลาก่อน ถึงฉันจะตอแหลสร้างภาพ มารยามากแค่ไหน ฉันก็จะไม่ผิดศีลธรรมข้อสามอย่างเด็ดขาด เพราะฉันเกลียดเรื่องผัวเมียละเหี่ยใจที่สุด ฉันว่าฉันสวยเกินกว่าจะไปแย่งผัวกับใครอ่ะ
“เออ งั้นมึงก็ไปเหอะ กูจะนอนละ” ไอ้นุ่นว่าแล้วยืดมือข้างที่ว่างไปแตะไฮไฟว์ดังป๊าปกับคนร่างสูง แล้วดันประตูเข้าไป ทว่ายังแอบมีเสียงกวนประสาทลอดเข้ามาให้พวกเราจินตนาการเล่นๆ
“จะได้นอนเหรอ จากที่ดู... กูว่าไม่” คนร้องแซวยิ้มกว้าง ไอ้นุ่นส่ายหัวไม่ตอบอะไรก่อนจะค่อยๆ ปิดประตูเห็นเสี้ยวหน้าเขาน้อยลงทีละนิดจนไม่เห็นอีก
“ไอ้พิงมันก็งี้แหละ” ไอ้นุ่นหันมาพูดกับฉันก่อนจะพยายามเทฉันให้นอนลงบนเตียง แต่ขณะที่มันกำลังปล่อยมือออกจากเอว ฉันก็ใช้มือข้างนึงดึงชายเสื้อมันไว้ทำให้ตัวมันเซลงมาด้วย ด้วยความที่มันแรงเยอะกว่า มันก็เลยไม่ได้ล้มลงมาทับฉันอย่างที่คิด มันยืนเอียงไปตามชายเสื้อข้างที่ฉันดึงก่อนจะจ้องฉันหน้านิ่ง
“เมาแล้วก็นอนไป” มันว่าแล้วทำท่าจะปัดมือฉันออก ฉันกำแน่นไม่ปล่อยแล้วทอดสายตาพริ้งพราวไปให้ ฉันกำลังแสร้งอยู่ในวังวนของแอลกอฮอล์ ไร้สติ ไร้ความยับยั้งชั่งใจ อ่อยได้เต็มที่ พอตื่นมาฉันก็จะเป็นคนใสๆ แบบไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“ยังไม่ง่วง” ฉันพูดเสียงออดอ้อนแล้วกระตุกชายเสื้อคนร่างสูงเป็นเชิงบอกใบ้ ถ้ามันไม่โง่ มันก็น่าจะรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร ไอ้นุ่นย่นคิ้วก่อนจะเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากฉันหนึ่งทีและเอ่ยเสียงดุ
“นอน”
มันว่าก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อฉันดึงแขนมันลงมาจนร่างสูงเสียหลักล้มลงมานั่งตรงที่นอน ไอ้นุ่นย่นคิ้วมองฉันที่ลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจ
“เมาแล้วเป็นเอาหนักนะนัท”
“...” ฉันไม่พูดอะไร เอาแต่จ้องหน้ามันเหมือนคนไร้สติแล้วขยับเข้าไปใกล้เรื่อยๆ จนอยู่ในระยะอันตราย ไอ้นุ่นเอนตัวไปด้านหลังเมื่อฉันเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้
เออ หนีได้หนีไป ยังไงฉันก็ไม่ปล่อยให้มันรอดง่ายๆ หรอก
“นัท” มันเรียกชื่อฉันก่อนจะยื่นมือมาตบแก้มเพื่อเรียกสติ ฉันใช้มืออีกข้างจับมือมันเอาไว้แล้วเลื่อนสายตาสบกัน ฉันกับมันหน้าห่างกันไม่ถึงคืบ ลมหายใจร้อนรดรินอยู่บริเวณผิวแก้ม
“นี่เพื่อน” มันย้ำฉันอีก ฉันรู้ตัวดีว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่แต่มันไม่รู้ว่าฉันมีสติ มันคิดว่าฉันเมาและเพราะเหล้าทำให้ฉันอยู่ในสภาพนี้ ฉันไม่ได้ตอบอะไรมัน เอาแต่จ้องนัยน์ตาสีเข้มนั่นไม่ละ ไอ้นุ่นทำท่าจะอ้าปากเตือนสติฉันอีก แต่ก่อนที่มันจะพูดอะไรออกมา ฉันก็หยุดทุกคำพูดของมันเอาไว้ด้วยการฉกฉวยริมฝีปากของคนร่างสูงกว่า
ตอนแรกฉันไม่คิดจะจูบมันหรอก แต่ฉันไม่อยากฟังคำว่าเพื่อนรอบที่ล้านสี่จากปากของมัน...
ฉันรำคาญ