ทำไมฉันต้องมาทำอะไรอย่างนี้ด้วยวะเนี่ย ไอ้หลิวมันนัดฉันที่ร้านนั่งเล่น ห่างจากหอไอ้นุ่นเป็นล้านกิโลเมตร แต่ฉันดันหาข้ออ้างมานอนง่อยๆ อยู่ที่หอมันเนี่ยนะ ฉันก็ยอมรับแหละว่าฉันอยากได้ไอ้นุ่น แต่ฉันก็ไม่ได้ชอบมันมากขนาดนั้นสักหน่อย
แต่ก็เอาเถอะ... ฉันถอนหายใจยาวให้กับตรรกะสิ้นคิดของตัวเอง พลางมองคนร่างสูงที่กำลังยืนไขกุญแจห้องนิ่งๆ ไม่นานมันก็เปิดประตูเผยให้เห็นสภาพห้องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสิ่งมีชีวิตใดๆ อาศัยอยู่ได้ ไอ้นุ่นเหมือนรู้ทันว่าฉันจะพูดอะไรมันเลยเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ห้องรกหน่อยนะ”
ฉันเงียบพลางกวาดนัยน์ตามองไปรอบๆ มันปูเตียงด้วยผ้าปูสีน้ำเงิน ผ้านวมก็สีน้ำเงินดูเข้าชุดกันดี ตู้หนังสือเต็มไปด้วยการ์ตูนและนิยาย ส่วนหนังสือเรียนดันกองระเกะระกะอยู่ข้างเตียงฝั่งซ้าย เสื้อผ้าพาดไว้อยู่ทุกที่ที่จะพาดได้ ไม่เว้นแม้แต่กางเกงบ็อกเซอร์ที่พาดหราอยู่ด้านหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ซึ่งตรงกับตำแหน่งสายตาฉันพอดี
“ไม่หน่อยละมั้ง นี่เก็บห้องครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่เนี่ย”
“บ่นไรเยอะแยะ เป็นเมียรึไง” มันว่าพลางมายืนอยู่ใกล้ๆ รู้สึกได้ว่าหน้าอกของมันกำลังทาบกับแผ่นหลังฉันอยู่
“ก็อยากอยู่” ฉันพูดจบปุ๊ป มันก็โบกหัวฉันดังป้าปอย่างไร้ความเมตตาปราณี ฉันเบ้หน้าพร้อมคิดในใจว่าถ้าฉันเป็นมากกว่านี้เมื่อไหร่ ฉันจะเอามันให้หนัก!
“พูดแค่นี้จำเป็นต้องทำร้ายกันขนาดนี้ปะ?”
“ก็เห็นทำหน้าตามีเจตนาพิเศษ” มันหัวเราะก่อนจะเบียดตัวแทรกเข้าไปในห้องพลางวางของแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า ใบหน้าดุๆ ของมันแอบลอบมองฉันนิดหน่อยก่อนจะใช้นิ้วเท้าชี้ไปที่โซฟาใกล้ๆ
“ไอ้นัทไปนอนตรงโซฟานู่นไป”
แหม นิ้วมือเป็นง่อยถูกเวลาเหรอถึงได้ใช้เท้าชี้เนี่ย!
“เออ คิดว่าจะไปนอนบนเตียงด้วยรึไง”
“คิด” มันตอบเสียงเรียบแต่เหมือนเอามีดมาแทงหน้าอกฉันซ้ำ
แหม เห็นหน้าตาไม่น่าฉลาด ก็ดันรู้ทันกันได้ แต่เรื่องอะไรฉันจะต้องวิ่งเต้นไปกับสิ่งที่มันพูด ฉันยังคงนิ่งสงบสยบความพิรุธก่อนจะบ่นอุบกับอุณหภูมิอากาศประเทศไทยที่มาไกลจนเกือบสี่สิบองศา
“ร้อนว่ะ” ฉันพูดก่อนจะปลดเข็มขัดและดึงเสื้อออกจากกระโปรง ตามด้วยปลดกระดุมเสื้อเม็ดบน พลางพยายามทำให้มันเย็นขึ้นด้วยการกระพือคอเสื้อไปมา
จุดประสงค์แรกคือฉันอึดอัด จุดประสงค์รองคืออ่อย ถึงจะไม่ค่อยได้ผล แต่มันก็ต้องมีหวั่นไหวไปกับท่าทีธรรมชาติของลูกผู้หญิงบ้างแหละน่า เนื้อหนังมังสาวับๆ แวมๆ ข้างในเสื้อฉันก็ออกจะขาวอยู่พอตัวนะ
“เปิดแอร์ดิ สวิทซ์อยู่ตรงโต๊ะคอม” มันว่าแล้วก็ใช้เท้าชี้อีก
“เจ้าของห้องก็ควรบริการแขกปะนุ่น”
“ร้อนก็เปิดเองสิ ไม่ได้เป็นง่อยนิ”
อืม... ดูมันดิ แคร์ฉันมาก ฉันเห็นขอบเขตความหวังที่ฉันกับมันจะได้ร่วมหัวจมท้ายกลายเป็นแฟนกันเลยอ่ะ ฉันกลอกตาแต่ก็จำใจเดินไปเปิดเองแต่โดยดี
“แล้วนี่จะไม่ไปเที่ยวกับไอ้หลิวจริงเหรอวะ?” ฉันโพล่งขึ้นเพื่อหาเรื่องสนทนาก่อนจะชายนัยน์ตาไปยังร่างสูงที่นอนแผ่อยู่กลางเตียงมันเงียบไปนิดนึงแล้วมองฉัน
“ขี้เกียจ ทำไม อยากให้ไปด้วยเหรอ?” มันยิ้มหวานแล้วหัวเราะเมื่อเห็นฉันทำหน้าบอกบุญไม่รับ ไอ้ที่อยากให้มันไปด้วยอ่ะใช่ แต่ไอ้ท่าทีสำคัญตัวเองมากเกินของมันทำให้ฉันหมั่นไส้
ความจริงมันไม่ไปก็ดีนะ ฉันจะได้ส่องผู้ชายได้อย่างสบายอกสบายใจ คนหน้าตาน่ารักกว่ามันมีเป็นล้าน ฉันไม่ได้แคร์มันขนาดนั้นหรอก ฉันก็แค่คิดว่าพวกเราน่าจะเข้ากันได้ดี แถมยังโสดทั้งคู่
“นัท” มันโพล่งขึ้นก่อนจะลุกขึ้นนั่งพร้อมมองหน้าฉัน
“อะไร”
“เอาจริง อยากให้ไปด้วยปะ?”
“ไปก็ดี ไม่ไปก็ได้” ฉันตอบเหมือนมันไม่ได้สลักสำคัญเป็นพิเศษ แต่คนร่างสูงก็ยังยิ้มอยู่เหมือนรู้ทันไปซะทุกเรื่อง มันกวักมือไหวๆ เรียกฉันเข้าไปหา
“มานี่”
อะไรของมันวะ? ฉันย่นคิ้วสงสัยแต่ก็เดินไปตามคำกล่าว พอสาวเท้าถึงตรงหน้าคนร่างสูงมันก็เลื่อนสายตามองหน้าฉันที่ยืนค้ำหัวมันอยู่
“ว่ามา” ฉันพูดสั้นๆ ก่อนที่มันจะกวนประสาทฉันด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ฉันรู้ว่ามันชอบแกล้งฉันประจำ แต่นี่มันก็ออกจะเกินไปหน่อย
“ไหนลองก้มหัวอ้อนวอนสิ ถ้าทำดีจะไปด้วย”
“อ้อนวอนไม่เป็นหรอก” ฉันปฏิเสธอย่างไร้เยื่อขาดไยพลางดันหัวไอ้คนลามปามด้วยความรู้สึกหมั่นไส้ มันหัวเราะอย่างนึกสนุกก่อนที่ฉันจะมองมันกลับด้วยนัยน์ตามีเลศนัย
“ทำเป็นแต่อย่างอื่นอ่ะ จะเอามั้ย?” ฉันแกล้งแหย่มันเล่นแต่ยังคงตีสีหน้าจริงจังให้มันวิตกจริตเล่นๆ หวังว่ามันจะด่าฉันและหงุดหงิดตัวเองไปอีกเช่นเคย ทว่าคราวนี้ปฏิกิริยาตอบกลับที่ได้รับมีแค่รอยยิ้มหวานกับการที่มันยื่นมือหนาๆ นั่นมาจับแขนฉันไว้ข้างนึง
เพราะความเงียบทำให้บรรยากาศแปลกไป ฉันเลยหวั่นใจนิดหน่อย มันคงไม่ทำอะไรเอิกเกริกหรอกมั้ง ไอ้นุ่นโดนฉันแกล้งอ่อยจนมันน่าจะชินได้แล้ว ฉันคิดแบบนั้นจนกระทั่งมันโพล่งขึ้นมา
“เอาสิ”
พรึ่บ!
ไม่ทันขาดคำ แรงดึงก็กระชากแขนฉันข้างนึงลงไปกระแทกเข้ากับตัวมันจนล้มลงไปกองทับกันในสภาพที่น่าอนาถสุดๆ กระโปรงทรงเอของฉันเลิกขึ้นสูงขึ้นมานิดหน่อยรู้สึกได้ถึงความตึงรั้ง ร่างสูงของคนที่อยู่ด้านล่างนอนแน่นิ่งเมื่อหน้าฉันแนบไปกับหน้าอกของมัน
จุกฉิบ... ฉันสบถ จริงๆ ฉันจะลุกขึ้นเลยก็ได้ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอเนียนเอาหน้าแนบนมมันแป๊ปนึงเพราะรู้สึกดีไม่หยอกกับแผ่นอกแข็งๆ และเสียงหัวใจเต้นเบาๆ
เออ แบบนี้มันฟินดีจัง ชอบๆ
“มันเจ็บนะ ไอ้นุ่น” เนียนอยู่ได้แป๊ปนึงฉันก็ดันตัวเองขึ้น แต่ แต่ แต่ค่ะ ฉันไม่ลุกขึ้นยืนนะ ฉันยังคงนั่งสวยๆ บนตัวมันแล้วแกล้งไม่รู้แบบใสๆ ทำหน้าเจ็บไปบ่นไปเหมือนนางเอกที่ถูกกระทำ โอ๊ย สวยเหลือเกินไอ้นัทเอ๊ย
“ทำเป็นบอบบาง”
“เออ บอบบางจะตาย ไม่รู้เหรอ?” ฉันว่าก่อนจะสะดุ้งเมื่อคนร่างสูงเอื้อมมือมาแตะบริเวณเอวพลางทำหน้าเหมือนตรัสรู้
“ก็บางใช้ได้”
“เริ่มลามปามละ” ฉันดุ
“ด่าใครอ่ะ ดูตัวเองบ้างนะนัท” มันว่าก่อนจะเหล่สายตามองฉันที่กำลังนั่งอยู่บนตัวมันแถมไม่มีทีท่าจะลุกออก
เฮอะ ไม่ลุกง่ายๆ หรอก ไม่รู้ว่าคราวหน้าฉันจะได้เนียนอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงแบบนี้อีกทีเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นฉันต้องใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์
ไอ้นุ่นถอนลมหายใจยาวก่อนจะเกร็งหน้าท้องลุกขึ้นมาทำให้ตัวฉันเลื่อนไปอยู่บนตัก มันใช้สองแขนเท้าร่างตัวเองไว้ตรงฟูกนอนก่อนจะเอียงคอมองหน้าฉัน เพราะการที่เราอยู่แบบนี้ทำให้ฉันเห็นรอยสักบริเวณลำคอมันชัดขึ้น มันดูน่ากลัวและเท่ผสมกัน
“ยังอีก ยังจะไม่ลงไปอีก” มันดุแต่ใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้ม หึ คนอย่างไอ้นัท ขึ้นแล้วไม่ยอมลงเว้ย! เว้นเสียแต่ว่ามันจะจัดการกระชากคอฉันลงเท่านั้นแหละ! ฉันนั่งบนตักมันท่านี้ มองหน้ามันแบบนี้ ฟินดีออก เรื่องอะไรจะลงไปง่ายๆ โนค่ะ ฉันจะลวนลามมันให้มากที่สุดเท่าที่ชะนีคนนึงจะทำได้
“ไม่ลง อยากให้ลงก็อ้อนวอนสิ” ฉันย้อนมันแล้วยักคิ้วกวนประสาทระบายยิ้มชั่วๆ แสดงให้เห็นถึงชัยชนะ ไอ้นุ่นจิ๊จ๊ะก่อนจะบ่นอุบ
“เป็นสาวเป็นแส้ มานั่งตักผู้ชายในห้องสองต่อสอง” มันพูดเสียงเรียบกำลังเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนเป็นพ่อ“อยากได้ล่ะสิ”
“อยากได้อะไร”