มิรินถึงคฤหาสน์ราวตีหนึ่งครึ่งเวลานั้นดันเต้ออกจากห้องเชือดพอดีจึงโดนเรียกเข้าห้องทำงานต่อ
“…ให้ฟลอเรนซ์เป็นสุสานของมัน…ช่วยกันต้อนมันให้จนมุม…ท่านจะเคลียร์ทางให้หลังเสร็จภารกิจ…ก็ประมาณนี้ค่ะดอน” เธอแปลบทสนทนาให้ฟัง
มาเฟียหนุ่มสวมชุดคลุมยาวสีดำที่ดูไม่ค่อยรัดกุมนัก สาบชุดแหวกลึกถึงสะดือเผยให้กล้ามหน้าอกหนาเรื่อยมาจนถึงซิกแพคแน่น มิรินได้แต่ภาวนาให้เชือกแน่นพอ ไม่งั้นอาจได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น
“หึ สุสานงั้นเหรอ” เขาโคลงแก้วที่มีของเหลวสีอำพันแล้วกระดกลงคอ
“แกรู้หรือเปล่าฉายาหมาป่าคลั่งฉันได้มาจากอะไร”
“ทราบค่ะ” หนังหมาป่าผืนใหญ่แขวนประดับบนผนังคือหลักฐานชั้นดี แต่มันคือผลพวงจากตระกูลวากเนอร์ทั้งสิ้น
“ฉันจะส่งพวกมันไปนรก”
“แต่ดอนคะ การฆ่าไม่ใช่ทางออกเสมอไปหรอกค่ะ น่าจะมีวิธีที่ดีกว่านั้นนะคะ” ตายล่ะ…อยากตีปากตัวเองที่เผลอพูดไม่คิดอีกแล้ว
ร่างสูงหันมาทำตาขวาง ก้าวหนัก ๆ มายืนค้ำร่างบางที่นั่งเป็นรูปปั้นแถมช่วงล่างดันอยู่ระดับเดียวกับใบหน้าของเธออีก
“แกสอนฉันเหรอ”
“ระ รินไม่กล้าสอนค่ะ เอ่อ…ลองให้โอกาสพวกเขาดูสิคะจะได้เป็นบุญคุณแบบเดียวกับที่ดอนราอูลเคยทำ โอ๊ย! ปล่อยเถอะค่ะรินเจ็บ” แขนเล็กถูกคว้าหมับเข้าให้
“ว่าไงนะ!” ดันเต้โน้มตัวลงมาจนหน้าคมคายอยู่ห่างจากหน้าหวานแค่คืบ ดวงตาเบิกโตเหมือนนักล่าที่จะขย้ำเหยื่อให้ขาดใจตาย
ช่างกล้านักที่เปรียบเทียบเขากับราอูล เดอลูก้า มาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของอิตาลี
“ฉันด้อยกว่าปาป้าเหรอวะ”
“ขออภัยค่ะดอน ได้โปรดปล่อยรินเถอะค่ะ โอ๊ย รินเจ็บค่ะ” ยังดีที่ยอมปล่อยมือไม่งั้นแขนคงหักสองท่อนไปแล้ว
ดันเต้เงียบไปชั่วครู่เพราะคำว่าโอกาสมันไปสะกิดแผลในใจ
ชีวิตในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าคือขุมนรกที่แท้จริง ตอนอายุ 4 ขวบถูกจับขังห้องมืดข้ามวันข้ามคืนเพื่อทดสอบจิตใจ พออายุ 5 ขวบก็คุ้นเคยกับการใช้ความรุนแรงของพี่เลี้ยง
กระทั่งอายุ 6 ขวบได้รับการอุปการะแต่ยังต้องขับเคี่ยวกับลูกแท้ ๆ ของราอูลมาตลอด ถ้าพ่อเลี้ยงไม่ให้โอกาสให้ป่านนี้คงเน่าตายเหมือนหมาข้างถนนไปแล้ว
ชีวิตในวัยเด็กแตกสลายอย่างไม่มีชิ้นดี
“เอ่อ…ดอนคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วรินขอตัวกลับห้องนะคะ” แต่ดันเต้กลับยืนขวางทาง
“แกเป็นใคร”
“รินเองค่ะ”
“แกเป็นใครตอนที่ฉันตาย” ตายเเหรอ? ทำไมพูดเหมือนรู้บทสรุปตัวเอง
“รินไม่รู้ว่าดอนพูดเรื่องอะไร อุ๊ย!” มิรินหลุบตาอย่างหวาดเกรงจนถูกคนตัวโตคว้าคางเงยหน้า เธอไม่กล้าแม้จะขัดขืนเพราะกลัวเขาเปลี่ยนไปบีบคอแทน
“แกรู้มากไปว่ะ”
“ทุกคนก็รู้เรื่องของดอนทั้งนั้นล่ะคะ”
“แกเป็นใครกันแน่!”
“เป็น…เป็นคนที่ดอนเชื่อใจได้ก็แล้วกันค่ะ อื้อ…” จู่ ๆ เขาก็บดปากเล็กถูกนิ้วโป้งเคล้ากลิ่นซิกก้าจนเริ่มเจ็บ เธอเบี่ยงหลบแต่ไม่เป็นผลเลยกัดนิ้วไปหนึ่งที
“อีนี่!!!”
ดันเต้ผละออก คว้าเหล้าขึ้นมากระดก
“รินขออภัยค่ะ ถ้าทำอะไรให้ดอนไม่พอใจ อุ๊ปส์!”
มาเฟียหนุ่มดึงมิรินมาประกบปากแล้วคายน้ำขมปี๋ใส่แล้วละเลงลิ้นต่อ ร่างบางแสบคอจนเกือบสำลักพยายามดิ้นหนีแต่ยิ่งต้านยิ่งถูกรัดแน่นกว่าเดิม
แต่ด้วยความอ่อนล้ากับฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้สติพร่าเลือนอย่างรวดเร็ว
จนมารู้สึกตัวตอนบ่ายของอีกวัน มิรินต้องบ้วนปากดื่มน้ำหลายอึกกว่ารสขมจะจาง โชคยังดีที่เจ้านายไม่หน้ามืดทำอะไรมากกว่านี้
“จูบแรกสินะ ไม่เห็นจะโรแมนติกเหมือนในหนังเลย” เธอตระหนักว่าเขารับมือยากกว่าที่คิด สิ่งที่รู้จากนิยายเทียบไม่ได้กับเรื่องจริงที่เจอ
กลับโลกปัจจุบันได้ขอดักตีหัวนักเขียนสักที
“เมื่อคืนเขาพูดเหมือนรู้ว่ารินมาจากโลกอื่นแล้วรู้จุดจบของตัวเองเลย” แค่พูดลอย ๆ ก็มีข้อความตอบกลับบนนาฬิกา
‘อย่าถือคนเมาเลย เอาน่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปนะ’ ระบบเลี่ยงที่จะตอบความจริงและไม่บอกเรื่องที่มันได้ช่วยมิรินเมื่อคืน
“นี่เราแพ้แอลกอฮอล์สินะ” เพราะมีรอยจ้ำจาง ๆ บนต้นขาของเธอ