ตอนที่ ๕ จรุงจิต (๘๐%)

2192 Words
ขณะนั้นระตีได้เดินมาสมทบกับลูกสาว พลางทำตามคำแนะนำที่เพียงเดือนว่ามา  โดยการสูดเอาลมหายใจเข้า ก่อนจะทำท่าตกใจคล้าย ๆ คนเป็นลูก "แม่เองก็ได้กลิ่นอะไรตุ ๆ คล้ายกลิ่นอะไรนะลูกเดือน" "ก็กลิ่นหญ้า กลิ่นฟางอย่างไรล่ะคะคุณแม่ ทำไมเราสองคนมายืนอยู่ตรงนี้ กลิ่นฟาง กลิ่นหญ้ามันเหม็นฉุนขึ้นมาอย่างนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยได้กลิ่นอะไรแบบนี้เลย" "จริงด้วยลูกเดือน  ทำไมกลิ่นเหม็นรุนแรงแบบนี้นะ!" ปานยิหวาเริ่มหน้าชาขึ้น   เข้าใจความหมายและกริยาที่ส่อแสดงอาการดูถูกหล่อนและหนูปลาอย่างชัดเจนขึ้น  หญิงสาวพยายามนิ่งงันเข้าไว้  ก่อนจะเหลือบเห็นผลชมพู่ที่หนูปลาได้หยิบมาจากถาดบนโต๊ะอาหารด้วย  หล่อนจึงย่อตัวลงไปหาหลาน พลางเอ่ยขอชมพู่ที่อยู่ในมือเล็ก ๆ ข้างนั้น  ท่ามกลางสายตางุนงงของสองแม่ลูกที่กำลังรับส่งมุกดูถูกผู้อื่นกันอยู่ "หนูปลา  เอาชมพู่มาให้อาหวาเถอะ  เช้านี้หนูปลากินชมพู่ไปหลายลูกแล้วนะคะ" หลานสาวเองก็ไม่รู้เรื่องอะไร แต่ในเมื่อคุณอาขอ ก็ยอมยื่นให้ "นี่ค่ะ อาหวา" หล่อนรับชมพูขึ้นมาแล้วยิ้ม ก่อนจะเดินผ่านหน้าสองแม่ลูกตรงไปยังถังขยะพร้อมปาชมพู่ลูกนั้นลงไป แล้วจึงเดินกลับมาหาหลานรัก ทำทีเป็นสั่งสอนไปด้วยว่า "อย่ากินเยอะเลยนะชมพู่เนี่ย" "ทำไมล่ะคะ?" เด็กน้อยเอียงคอมองอย่างสงสัย "เพราะหนูกินเข้าไปมาก ๆ เดี๋ยวมันจะส่งกลิ่นเหม็นออกมาจากเนื้อตัวได้  เพราะคนเราถ้ากินอะไรเข้าตัวไปมาก ๆ มันจะได้กลิ่นแต่สิ่งนั้นออกมาจากตัวของคนกินอย่างไรล่ะคะ...อาหวาไม่ได้กินก็จะไม่ได้กลิ่นชมพู่  แต่หนูปลากินเองจะได้แต่กลิ่นชมพู่นะ" หล่อนเหลือบแลไปยังใบหน้าคนทั้งสองที่กำลังงุนงงครุ่นคิดตามคำพูดหล่อนอยู่  ก่อนจะรีบตัดบท เมื่อรถยนค์อีกคันกำลังเคลื่อนมาจอดตรงหน้า "ไป ลุงเนียมเอารถมาจอดแล้ว" จากนั้นก็จูงมือหลานรักไปขึ้นรถอีกคันตรงหน้าทันที ทิ้งให้เพียงเดือนและมารดาครุ่นคิดตีความคำพูดของหญิงสาวตามลำพัง  ก่อนที่ผู้เป็นลูกจะขยับตัวเข้าไปถามมารดาว่า "คุณแม่  ที่แม่นั่นพูดกับหลานมัน  หมายความว่ายังไงคะ" "จะหมายความว่ายังไงล่ะ! ก็นังผู้หญิงคนนั้น มันว่าเราสองคนคงกินหญ้ากินฟางเข้าไปกันเองน่ะสิ ถึงได้แต่กลิ่นหญ้ากลิ่นฟางออกมา" เพียงเดือนต้องนิ่งต่อไปอีกเล็กน้อย  สุดท้ายจึงได้ก่นด่าอย่างเจ็บแค้นออกมา  "มันระร้ายกาจ!  นังผู้หญิงบ้านนอก บ้านป่า!" "ลุงเนียมจอดตรงนี้แหละค่ะ" ปานยิหวาบอกคนขับรถที่หม่อมหลวงหนุ่มผู้นั้นได้มอบหมายหน้าที่ขับรถให้หล่อนและหลานสาวในวันนี้  หล่อนให้รถยนต์คันสีหม่นจอดตรงฝากหนึ่งของถนน โดยฝั่งตรงกันข้ามจะเป็นซอยหนึ่งที่หล่อนจะเดินเข้าไปทำธุระบางอย่าง "ให้ผมขับเข้าไปจอดในซอยก็ได้นะครับ คุณและคุณหนูจะได้ไม่ต้องเดิน" "ไม่เป็นไรเลยค่ะ ลุงเนียมจะได้ไม่ต้องเสียเวลากลับรถไปมาอีก หวาเดินข้ามถนนแล้วเข้าไปในซอยนั้นก็ไม่ไกลหรอกค่ะ  แล้วเดี๋ยวหวาและหนูปลาจะรีบกลับมา"  หล่อนกล่าวอีกครั้งพลางหยิบซองสีน้ำตาลนั้นมาด้วย ก่อนจะจูงมือหลานสาวเตรียมเปิดประตูรถลงไป "ครับ ตามสบายเลยครับ ผมรอได้" เนียมคนขับรถกล่าว จากนั้นปานยิหวาจึงจูงมือหลานสาว แล้วเดินหายเข้าไปภายในซอยเล็ก ๆ ตรงหน้า . 'สำนักพิมพ์อักษรสวรรค์' ปานยิหวาเงยหน้ามองป้ายสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ชื่อดังแห่งหนึ่งที่ที่สลักด้วยไม้แผ่นใหญ่ และถูกติดให้อยู่เหนือศีรษะหล่อนขึ้นไป  ก่อนจะผลักประตูกระจกแล้วเดินเข้าไปภายในพร้อมหลานสาวตัวน้อย ภายในสำนักพิมพ์มีหลายคนก็กำลังง่วนอยู่กับการทำงานตรงหน้า แต่ละโต๊ะมีแต่กองกระดาษตั้งเป็นปึก ๆ  จากนั้นใครคนหนึ่งที่อยู่โต๊ะด้านในสุดได้เงยหน้าขึ้นจากงานมา  ทันทีที่เห็นว่าเป็นหล่อน  เขาคนนั้นก็รีบทักปานยิหวาด้วยน้ำเสียงแห่งความดีใจทันที "อ้าว...หวา!" "สวัสดีค่ะพี่เสก" หล่อนรีบยกมือไหว้ชายคนดังกล่าวที่มีรูปร่างค่อนข้างท้วม เสกสรรค์คือ คือกองบรรณาธิการสำนักพิมพ์แห่งนี้ และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์นี้ด้วย เขาคือรุ่นพี่ในคณะของปานยิหวา สมัยที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย "หวาเอางานมาส่งค่ะ" หล่อนกล่าวก่อนจะชูซองกระดาษสีน้ำตาลในมือด้วยรอยยิ้มกริ่ม ครั้นอีกฝ่ายเห็นเข้าจึงเห็นแสดงอาการตาลุกวาว แล้วสายตาจึงจรดเข้ากับร่างเล็ก ๆ  ที่หล่อนพาเข้ามาในสำนักพิมพ์แห่งนี้ด้วย "นี่...คือ" "อ้อ หลานสาวค่ะพี่เสก ลูกสาวพี่ชาย หนูปลา" หล่อนแนะนำแล้วก็บอกให้หนูปลาสวัสดีอีกฝ่าย "หนูปลา สวัสดีลุงเสกสิคะ" "สวัสดีค่า ลุงเสก" หลานสาวตัวน้อยทำตามอย่างว่าง่าย ไม่มีอาการงอแงออกมาให้เห็น เสกสรรค์มองใบหน้าเล็ก ๆ นั้นแล้วก็หัวเราะอย่างชอบใจขึ้น "แหม เรียกลุงเชียว ฮ่า ๆ ๆ" ก่อนจะเชิญหญิงสาวให้มานั่งคุยกันเรื่องงานต่อไป  "มา ๆ มานั่งคุยกันตรงนั้นดีกว่า" หลังจากนั่งลงกับเก้าอี้ ปานยิหวาก็นำของในมือวางลงบนโต๊ะ โดยที่มีมืออวบอูมของเสกสรรค์รับซองสีน้ำตาลนั้นไปเปิด พลางหยิบกระดาษปึกนั้นขึ้นมาเปิดดูคร่าว ๆ ด้วยสีหน้ายินดี สักครู่ จึงวางลงบนโต๊ะตามเดิม  แล้วเงยหน้าขึ้นมาบอกปานยิหวาต่อ "เดี๋ยวพี่จะตรวจสอบความเรียบร้อยอีกที แต่...คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง ทำงานกับหวามาหลายเรื่องรู้ว่าหวาละเอียดรอบคอบมาก" เป็นอันว่างานที่อยู่ในซองสีน้ำตาลนั้นก็คือ ต้นฉบับที่ปานยิหวานำมาส่งให้กับสำนักพิมพ์แห่งนี้ เพราะหล่อนเป็นนักเขียน ที่มีงานเขียนนวนิยายลงเป็นตอน ๆ ให้กับนิตยสารฉบับหนึ่งของสำนักพิมพ์นี้ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และครั้นนวนิยายของหล่อนที่ลงในนิตยสารจนจบแล้ว ทางสำนักพิมพ์ก็นำต้นฉบับไปตีพิมพ์รวมเล่มให้กับหล่อนอีกที "ก่อนหน้ามีแต่คนโทร. เข้ามาที่สำนักพิมพ์จนโทรศัพท์สายแทบไหม้ ถามว่าสองตอนสุดท้ายของคุณ จรุงจิต เป็นยังไง  เรียบร้อยหรือยัง พระเอกนางเอก จะได้แต่งงานกันมั้ย หรือพระเอกจะต้องตาย" เสกสรรค์เล่าถึงความนิยมอย่างมากมายที่ปานยิหวาได้รับจากบรรดาผู้อ่านที่ชื่นชอบนวนิยายของหล่อน ในนามปากกาที่ชื่อว่า จรุงจิต ที่เป็นนามปากกาที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนี้ หลายผลงานของนักเขียนคนนี้ ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนต์และละครดังมาแล้ว  แต่แม้จะมีคนรู้จักนักเขียนที่มีนามปากกาว่า จรุงจริต มากมาย  แต่ก็ยังมีอยู่น้อยคนเท่านั้นที่รู้ว่า 'จรุงจิต' คือปานยิหวา เนื่องจากหญิงสาวตรงหน้า ไม่ชอบเปิดเผยตัวตนให้กับใครรู้มาก  โดยมีหลายคนที่โทร. เข้ามาสอบถามยังสำนักพิมพ์ด้วยความชื่นชอบนักเขียนคนนี้ มักจะจินตนาการไปต่าง ๆ นานาว่า จรุงจิต คือ ผู้หญิงที่น่าจะมีอายุราว ๆ สี่สิบปีขึ้นไปจนถึงหกสิบปีเลยด้วยซ้ำ แต่ใครจะเชื่อว่านามปากกานี้ จะเป็นเพียงหญิงสาวที่มีอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ เท่านั้นเอง หญิงสาวหัวเราะเสียงใสขึ้นมาทันที หลังจากฟังเสกสรรค์เล่าถึงความนิยมในงานเขียนของหล่อนที่มีมากถึงขั้นว่าล้นหลามกันเลยทีเดียว  "ถึงขั้นนั้นเชียวหรือคะ" "นี่ ยังไม่นับ จดหมายเป็นตั้ง ๆ อีกนะที่เขียนเข้ามาหา คุณป้าจรุงจิต..." เสกสรรค์กระเซ้า ก่อนจะชี้ไปยังกล่องกระดาษใบหนึ่งที่มีไว้ใส่จดหมาย ที่เขียนมาหานักเขียนที่พวกเขาชื่นชอบผ่านสำนักพิมพ์ "เดี๋ยวหวาก็เอาไปอ่านและตอบเองก็แล้วกัน  บางคนก็คงอยากได้ลายเซ็นต์คุณป้าจรุงจิตด้วย  ว่าแต่จะเขียนตอบไหวหรือนั่น" "ไม่ไหวก็ต้องไหวแล้วค่ะ เขาอุตส่าห์ชื่นชอบ ชื่นชมผลงานเรา" ตอบไป ทั้ง ๆ ที่เห็นกล่องที่บรรจุจดหมายที่มีเข้ามาหาหล่อนแล้วก็นึกหวั่น ๆ ว่าจะตอบไม่ทัน ทว่า ปานยิหวาก็ต้องทำ  เพราะจดหมายทุกฉบับ ข้อความทุกข้อความที่ส่งผ่านมายังสำนักพิมพ์จะถึงมือหล่อนหมด หล่อนใส่ใจนักอ่านมากทีเดียว เพราะบางรายนอกจากจะมีจดหมายแล้ว บางทีก็ยังแวะเวียนมาที่นี่ หรือส่งขนม ผลไม้ผ่านสำนักพิมพ์มาให้หล่อนอยู่เสมอ ยิ่งช่วงใด ที่นวนิยายหล่อนใกล้จะจบก็จะมีของฝากเข้ามามาก  ซึ่งเป็นหน้าที่ของเสกสรรค์ที่หล่อนมอบหมายให้เขานำของเหล่านั้นแจกจ่ายให้คนที่สำนักพิมพ์ไปจนหมด "มีขนมด้วย รายนี้เอาเข้ามาให้เองที่สำนักพิมพ์ตอนเช้า มาแล้วก็ถามหาตอนใหม่จากคุณป้าจรุงจิตด้วย แต่พี่ไม่รู้ว่าหวาจะเข้ามาเลยแจกให้คนอื่น ๆ ไปทานกันจนหมด" "ตามสบายเลยค่ะ  แจกจ่ายคนอื่นไปได้ พี่เสกก็ทำไปเลย  อ้อ!"  หล่อนนึกขึ้นมาได้อีกเรื่องที่จะต้องบอกกล่าวอีกฝ่าย "...ช่วงนี้หวาจะอยู่ที่กรุงเทพฯ  ไปสักระยะหนึ่ง คงทำให้มีความสะดวกในการส่งงานให้สำนักพิมพ์อีกมากเลย" "ไม่มีโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อกันเลยหรือ" เสกสรรค์ถามแทรก ปานยิหวาดูลังเล เพราะที่หล่อนอยู่ถ้าจะโทร. ก็ต้องโทร. เข้าที่วังเหมวัฒน์ ซึ่งหล่อนไม่อยากให้ใครที่นั่นรู้ว่าหล่อนเป็นนักเขียนที่มีนามปากกาว่า...จรุงจิต  "ไม่ดีกว่าค่ะ คือหวาว่าคงไม่สะดวก ที่จะใช้โทรศัพท์จากที่ที่หวาพัก  หวาเกรงใจเจ้าของบ้าน  เอาเป็นว่าหวาจะเข้ามาที่สำนักพิมพ์ให้บ่อยขึ้น  ถ้ามีงานหรืออะไรก็คงไม่ตกหล่น" เสกสรรค์พยักหน้ารับทราบ ก่อนจะเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามถึงผลงานเรื่องใหม่ที่จะนำมาลงตีพิมพ์ต่อเรื่องที่ใกล้จะจบอีกสองตอนนี้ต่อ "ว่าแต่เรื่องใหม่ของหวามีหรือยัง เพราะพี่จะได้ตอบบรรดาแฟน ๆ หนังสือของหวา เวลาเขาโทร.มาถามถึงผลงานใหม่ของคุณป้าจรุงจิต" หญิงสาวหัวเราะคิกอย่างอารมณ์ดีอีก ก่อนจะพยักหน้าแล้วตอบ  "มีแล้วค่ะ  ตอนนี้หวาวางโครงเรื่องไว้เรียบร้อยแล้ว" "ดีจริง" เสกสรรค์ทำหน้าโล่งใจที่ปานยิหวาจะมีผลงานเรื่องใหม่ต่อเลย เพราะความนิยมที่มีต่องานเขียนปานยิหวา ทำให้สำนักพิมพ์พลอยมีชื่อเสียงไปด้วย "งั้น หวาต้องขอตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวกล่องเก็บจดหมายนั้นรบกวนพี่เสกให้ใครก็ได้ช่วยยกตามหวาไปขึ้นรถที หวาไม่สะดวกยกเลย ต้องจูงมือหนูปลาข้ามถนนกลับด้วย" ปานยิหวาเอ่ยแล้วตัดบท เพราะหล่อนจะต้องไปหาอรจิราต่อที่ร้านเสื้อ "ได้สิได้"  เสกสรรค์รับคำ ก่อนจะนึกถึงเรื่องที่สำคัญเรื่องนี้ขึ้นมา  "...อ่ะ เดี๋ยวนะ"  พอนึกขึ้นมาได้จึงเดินเข้าไปภายในห้องแห่งหนึ่งซึ่งกั้นเป็นส่วนตัวจาก โต๊ะทำงานจากคนอื่น ๆ สักครู่ก็เดินออกมาพร้อมกับซองจดหมายซองหนึ่งที่ภายใน มีอะไร ปานยิหวาก็ทราบดี "นี่ค่าต้นฉบับรับไปด้วยเลย พี่เบิกจากฝ่ายบัญชีมาให้ล่วงหน้าเลยล่ะ" ปานยิหวายกมือไหว้  พลางรับซองที่มีเงินปึกหนึ่งขึ้นมาถือ หล่อนทำท่าจะลุกขึ้นก็ถูกเสกสรรค์ดุทันที "หวานี่ยังไงนะ  ก็ช่วยเปิดนับเงินดูหน่อยเถอะ ดูสิว่าครบมั้ย" หล่อนยิ้มแหยเล็กน้อยที่ถูกดุ  เพราะการจ่ายค่าตอบแทนที่ผ่านมา สำนักพิมพ์ก็จ่ายให้ครบทุกครั้ง อีกประการหล่อนไว้ใจรุ่นพี่คนนี้ดี แต่เพื่อความสะบายใจต่อทั้งสองฝ่าย หล่อนจึงเปิดเอาเงินจำนวนนั้นขึ้นมานับ ก่อนจะซุกกลับเข้าไปในซองตามเดิม พร้อมบอกว่า  "ครบค่ะ  ถ้าอย่างนั้นหวาและหนูปลาลานะคะ" จากนั้นก็บอกให้หลานสาวตัวน้อยไหว้ลาคนตรงหน้า แล้วทั้งสองก็เดินออกจากสำนักพิมพ์ไป เนื่องจากหล่อนต้องรีบไปหาอรจิราที่ร้านเสื้อต่อ เพราะหล่อนอยากจะทราบเรื่องภายในวังเหมวัฒน์จะแย่อยู่แล้ว...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD