ดวงตาของผู้สูงวัยทั้งคู่มองชายหนุ่มที่หยุดอยู่ตรงหน้า เห็นชัดว่าในประกายแววตาทั้งสองของเขากำลังมีแวววูบไหวยามจดจ้องมองไปยังเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่ปานยิหวากำลังอุ้มอยู่
เพียงเห็นใบหน้า ใจนั้นก็สั่นวูบทั้งที่เป็นผู้ชายจิตใจควรจะแข็งแกร่ง เท้าทั้งสองของที่ก้าวอย่างช้า ๆ ช่างบังคับได้ยากเหลือเกินที่จะทำให้มั่นคง เพราะใบหน้าหลานสาวที่ตนเพิ่งจะได้เห็นเพียงครั้งแรก ก็ช่างละม้ายกับใบหน้าของน้องสาวอันเป็นที่รักของตนในวัยเยาว์เสียเหลือเกิน ความแข็งแกร่งใด ๆ ในจิตใจจึงมลายสิ้น
ปานยิหวาค่อย ๆ วางร่างเล็กนั้นลงกับพื้น ก่อนจะบอกเด็กน้อยที่ดวงตากำลังสนใจแต่ตั๊กแตนในมือคุณอาสาวอยู่ว่า
"นั่น คุณลุงของหนูปลาอย่างไรเล่า เดินไปหาคุณลุงของหนูปลาเสียลูก"
เด็กน้อยละสายตาจากถุงใส ๆ ใส่ตั๊กแตน พลางเอียงคอน้อย ๆ คล้ายกำลังสงสัยไปในตัว ก่อนจะย้อนถามผู้เป็นอา ที่สามารถเรียกความสะเทือนใจจนผู้ใหญ่ต้องน้ำตาคลอขึ้นมาอีกระลอก
"ลุงช้าง คุณลุงช้างที่แม่นกยูงบอกว่าใจดีที่สุด ใช่มั้ยคะ อายิหวาขา"
ปานยิหวาพยายามกลั้นน้ำตาแล้วพยักหน้า "ใช่ ไปสิจ๊ะหนูปลา ไปหาคุณลุงของหนู"
เด็กน้อยสบตากับผู้เป็นอาอีกครั้ง พร้อมเหลียวมองไปยังร่างสูงใหญ่ตรงหน้า แม้ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ความทรงจำเล็ก ๆ ที่มารดาเฝ้าสอนว่า
'คุณลุงช้างใจดีที่สุด แม่นกยูงรักคุณลุงช้างมาก หนูปลาต้องรักและเชื่อฟังคุณลุงช้างนะลูก'
'เข้าใจแล้วค่า หนูปลาจะรักและเชื่อฟังลุงช้าง'
เท่านั้นเองเท้าสองข้างเล็ก ๆ จึงค่อย ๆ เดินตรงไปหาร่างสูง ที่ค่อย ๆ ย่อตัวลงรับ พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสดใสร่าเริง
"สวัสดีค่า คุณลุงช้าง" เด็กน้อยยกมือไหว้บุรุษตรงหน้าอย่างที่ผู้ใหญ่ไม่ต้องได้บอกกล่าว
หม่อมหลวงคชาธารยิ้มอย่างเป็นสุขขณะรับไหว้กลับ ก่อนจะค่อย ๆ วางสองมือลงประคองไหล่เล็ก ๆ ตรงหน้า
หนูปลา
หรือ
มัสยา
เป็นเด็กผู้หญิงที่อายุสี่ขวบ ผมยาวสยายถูกรวบอย่างเรียบร้อย ใบหน้ามีแก้มทั้งสองข้างสีแดงระเรื่อเพราะเพิ่งโดนแดดมา มือหนาค่อย ๆ เลืีอนมาแตะประคองใบหน้าจิ้มลิ้มตรงหน้า
"เหมือน เหมือนมาก หนูปลาเหมือนคุณแม่ของหนูตอนเด็กมาก ๆ"
เขาดึงลำตัวเล็ก ๆ นั้นเข้ามากอด ก่อนจะอุ้มแล้วลุกขึ้น
"ลุงช้างคนนี้จะพาหนูปลากลับ กลับบ้านของเรากันเถอะนะ"
"บ้าน บ้านที่ไหนคะ ก็นี่อย่างไรล่ะคะบ้านหนูปลา" เด็กน้อยถามกลับอย่างใสซื่อ
ผู้อาวุโสทั้งสองถึงกับต้องรีบกลั้นน้ำตาเอาไว้ ใจหวิวลงทุกขณะ เพราะคิดว่าเขาจะเอาตัวหลานสาวไปจากอกเสียแล้วจริง ๆ
ชายหนุ่มชายตามองใบหน้าคนทั้งสามตรงหน้า แม้จะรูัว่าเป็นเรื่องทำให้ทุกคนเศร้าใจ แต่เขาก็ทิ้งหลานสาวไว้ที่นี่ไม่ได้เช่นกัน
.
รอจนกระทั่งเขาเล่นกับหลานสาว เพื่อให้ลุงและหลานมีความคุ้นเคยกันให้มากขึ้น จากนั้นปานยิหวาจึงขอตัวเด็กน้อยเพื่อให้มารดาหล่อนพาไปอาบน้ำก่อน เพราะที่นี่ยิ่งค่ำน้ำและอากาศจะเย็นมาก เกรงว่าจะทำให้เจ้าตัวเล็กป่วยได้หากอาบน้ำค่ำเกินไป
หลังจากพาหลานสาวตัวน้อยไปส่งให้ถึงมือมารดาแล้ว หล่อนก็ย้อนกลับมาหาเขา ที่กำลังนั่งอยู่ตรงแคร่ไม้ขนาดใหญ่ แล้วเอ่ยขึ้นแทนทุกคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ว่า
"ฉันรูัว่า ในทางการต่อสู้ พวกเราคงสู้คุณไม่ได้ ..."
หม่อมหลวงคชาธารเบือนสายตากลับมาจ้องใบหน้างามที่มีแววแห่งความทุกข์โศกประดับอยู่
"...แต่ ขอเวลาให้พวกเราได้ทำใจ ได้อยู่กับหนูปลาไปก่อนได้มั้ยคะ เพราะหนูปลาตั้งแต่เกิดมา แกก็เป็นแก้วตาดวงใจของคนที่นี่ พ่อและแม่ เพิ่งจะมีหลานเพียงคนแรก คนเดียว แล้วตอนนี้ หนูปลาจะต้องจากทุกคนไปอยู่เสียที่อื่นแล้ว พวกเรา..."
เขาถอนหายใจ ผุดยืนขึ้นด้วยใบหน้านิ่งขรึมลงไป จนใจหญิงสาวร่ะส่ำหวั่นไหว เขาจะไม่เห็นใจหล่อนก็ไม่เป็นไร แต่มารดาและบิดาหล่อนนี่น่ะสิ
ปานยิหวาจึงให้เหตุผลต่อ "อีกอย่างแกเพิ่งสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไป ถ้าหากแกไปอยู่ที่อื่นตอนนี้ จะเกิดผลกระทบกับแกเป็นอย่างมาก"
"เราทุกคนจึงต้องช่วยกันหาทางออก แต่ถ้าจะทิ้งหลานสาวของผมคนเดียวเอาไว้ที่นานก็จะยิ่งไม่เหมาะ เข้าใจว่าแกยังเล็ก..." เขาเอ่ยพร้อมกับเดินตรงไปยังเมอร์เซเดสคันสีดำที่โก้หรูที่สุดในสมัยนี้ ก่อนจะหยุด พลางหมุนตัวกลับมามองหน้าของหญิงสาวที่เดินตามเขามาอย่างติด ๆ
"ดังนั้น คุณควรจะตามแกไปอยู่ที่นั่นด้วย ควรไปเห็นความเป็นอยู่ของแก แล้วทางนี้จะได้สบายใจด้วย"
ดวงตาหวานใสของหล่อนเบิกขึ้นมาอย่างตระหนก เขาบอกหน้าตายอีกหน คล้ายกับไม่อยากให้หล่อนเห็นในเจตนาอื่นที่แฝงอยู่
"หนูปลาไปอยู่ที่โน่น โดยไม่มีคนที่แกผูกพัน จะทำให้แกปรับตัวได้ยาก ผมจึงอยากให้อาของแก ตามไปดูแลแกก่อนสักระยะพอที่แกจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น ๆ ที่โน่นได้ และโตพอที่จะเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากนั้นเราค่อยมาว่ากันอีกที"
ดวงตาคมปลาบของเขาสบตากับดวงตาหล่อนนิ่ง ความอึดอัดเกิดขึ้นมาชั่วขณะที่ถูกเขามองด้วยสายตาแรงกล้า หล่อนจึงสบตาเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ห่วงหลานก็ห่วง แต่ข้อแนะนำที่เขาว่ามานั้นก็เข้าที อย่างน้อยมีหล่อนคอยไปดูหนูปลาที่นั่น บิดาและมารดาที่อยู่ทางนี้ จะได้พากันสะบายใจขึ้น
ประกายวิบวับบนแววตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น ดูราวมีอิทธิพลกับหล่อนขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ปานยิหวาหลบสายตาเขาเล็กน้อยก่อนจะตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ว่า
"ฉันขอคิดดูก่อนสักระยะ..." เหมือนจะขอยืดเวลาออกไปให้ยาวนานที่สุด ทว่า
"ได้! อีกเจ็ดวันผมจะกลับมาเพื่อรับหนูปลา พร้อมคุณ"
ปานยิหวามองหน้าเขาเต็ม ๆ ดวงตา ท่าทางประกายแววตาวิบวับ พร้อมรอยยิ้มนุ่มนวลตรงมุมปาก บ่งบอกว่าเขาน่ะมั่นใจในตัวเองเสียเหลือเกิน ว่าหล่อนจะต้องไปอยู่ทางนั้นพร้อมหลานสาวแน่ ๆ
"ค่ำแล้ว..." หม่อมหลวงหนุ่มตัดบท พร้อมกับกวาดสายตาคมปลาบมองรอบ ๆ ตัวที่ความมืดเริ่มโรยลงไปทั่ว "คงอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึง... กำแพงเพชรนี่มาเป็นครั้งแรก ไกลกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก"
ปานยิหวาเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อย เห็นจริงดังที่เขาบ่น แล้วชายหนุ่มก็ก้าวไปนั่งในรถยนต์คันตรงหน้า จากนั้นจึงค่อย ๆ ขับออกไป โดยมีร่างบอบบางยืนส่งสายตามองตามด้วยตลอด
หม่อมหลวงหนุ่มตวัดสายตามองตรงกระจกมองหลัง ทอดมองร่างบางนั้นจนกระทั่งร่างนั้นกลืนหายไปความมืดมิด แล้วจิตใจก็หวนนึกถึงหลานสาวตัวน้อยขึ้นมา
ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นช่างเหมือนดวงตาของมยุรีตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด ความโศกอาลัยในตัวน้องสาวเพียงคนเดียวได้ก่อเกิดขึ้น ใจเขาระรานรอนเสียให้ได้ เมื่อได้เห็นหน้าหลานแล้วคล้ายดั่งเห็นน้องสาวตัวน้อยที่เคยวิ่งตามหลังตัวเองต้อย ๆ ไปทั่วตึกใหญ่ในอาณาเขตของวังเหมวัฒน์
แม้จะสงสาร หรือเห็นใจคนที่นี้ แต่ด้วยใบหน้าหลานสาวเพียงคนเดียวได้เหมือนกับน้องสาวตัวเองยามเด็กออกปานนี้ แม้ไม่ได้ใกล้ชิดเลี้ยงดูมา ก็ทำให้เขารู้ผูกพันด้วยอย่างมากมาย จึงไม่สามารถใจอ่อนลงได้เลย
แล้วเขาจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง และมั่นใจด้วยว่า ไม่เพียงแต่เจ้าปลาน้อยเท่านั้นที่จะต้องไปอยู่กับเขาที่วังเหมวัฒน์ หล่อนผู้เป็นคุณอาสาวก็ต้องไปด้วยเช่นกัน
คิดเพียงเท่านี้ ...ความรื่นรมย์บางอย่างก็ก่อเกิดขึ้นมาในหัวใจของเขาเสียแล้ว....