ตอนที่ ๓ เดินทางไปสู่... (๕๐%)

1399 Words
หญิงสาวค่อย ๆ เปิดประตูออกจากห้องนอนของมารดา  โดยที่ในมือถือสิ่งของบางอย่างที่แอบเข้าไปค้นหาจากห้องนอนของท่าน ติดมือมาด้วย พอปิดประตูลงเรียบร้อย  จึงเดินตรงไปยังคนทั้งสามที่ยังนอนรับสายลมเย็น ๆ ตรงเฉลียงบ้าน พร้อมกับทอดมองท้องฟ้ายามค่ำคืนไปด้วย เสียงบทเพลงสุนทราภรณ์ที่ดังคลอกับสายลมพลิ้วไหวเอื่อย ๆ ยามค่ำคืน  บ่งบอกให้รู้ว่าคงมาจากวิทยุที่บิดาหล่อนชอบนำมาเปิดฟังข่าวสารบ้านเมือง หรือไม่ก็ฟังเพลง พูดถึงวิทยุ แม้สมัยนี้จะมีกระแสไฟฟ้าตามบ้านเรือนมากขึ้นแล้ว  แต่ยังถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ในชนบทจึงมีเพียงบางหลังที่เปิดไฟสว่างจ้าเท่านั้น  ซึ่งผิดกันกับบ้านหลังนี้เนื่องจาก มารดาหล่อนให้เหตุผลว่า  ไม่ค่อยชินกับแสงไฟจ้าเช่นกลางวันอย่างนั้น  ทำให้ท่านรู้สึกร้อนรุ่มนอนไม่ค่อยหลับ  ท่านจึงนิยมใช้แสงไฟจากจากตะเกียงเจ้าพายุอยู่ และอีกอย่างบิดาหล่อนเคยบอกว่า ถ้าจะออกมารับลมตรงเฉลียงบ้าน ควรจะใช้ตะเกียงไฟเจ้าพายุดีกว่า เผื่อจะได้มองเห็นแสงจากดวงเดือนและดาวที่จับตัวกันเป็นแพยาวไปบนนภากาศอย่างชัดเจนขึ้น  ซึ่งตัวหล่อนเองก็เห็นตามนั้น ปกติตรงเฉลียงบ้านกลางคืนนอกจากจะมีให้มารดาหล่อนพักผ่อนหย่อนกายในยามค่ำคืนแล้ว  บางวันถ้าหากงานในตอนกลางวันคั่งค้าง ท่านมักจะนำมาทำต่อที่นี่อีกด้วย แต่คงไม่ใช่คืนนี้ เพราะดูเหมือนท่านจะมีหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่กำลังทำอยู่นั่นคือ การเอาตักเป็นหมอนนุ่ม ๆ ให้กับเจ้าปลาน้อยได้หนุนนอนนั่นเอง หล่อนสืบเท้าเข้าไปหาคนทั้งสามพลางนั่งลงใกล้มารดา ผมยาวประบ่าหล่อนไม่ได้ปล่อยสยายเพียงแค่รวบต่ำ จึงเผยเห็นใบหน้าเรียวรูปไข่ของหล่อนได้ดีขึ้น ปานยิหวายิ้ม ขณะทอดสายตามองหลานรักที่กำลังหลับอย่างเป็นสุขตรงหน้า พลางให้นึกถึงความวิเศษอย่างหนึ่งที่ติดตัวเจ้าปลาน้อยมานั่นก็คือ หนูปลาของพวกหล่อนไม่ใช่เด็กเลี้ยงยากอะไรเลย แกเป็นเด็กเลี้ยงง่ายมาตั้งแต่เกิด จะมีร้องไห้จ้า  ก็แทบนับครั้งได้  ซึ่งก็เป็นเฉพาะเวลาที่เกิดป่วยไข้ หรือไม่สบายตัวเท่านั้น บัดนี้กำลังมีมืออวบของมารดาลูบลงศีรษะหลาน ตามด้วยคำพูดของเจ้าของมืออีก "วันนี้ไปเล่นกับปู่มาเหงื่อเหนอะหนะเชียว แม่เลยสระผมให้อีก ทั้งที่เมื่อวานก็เพิ่งสระไป" ผู้เป็นปู่ที่ถูกเอ่ยถึง ก็ค่อย ๆ ยันกายจากหมอน แล้วลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ เพื่อถามบุตรสาวที่เหลือเพียงคนเดียวต่อ  "ว่าอย่างไร เราตัดสินใจได้หรือยังลูก" หล่อนรู้ความหมายจากคำถามของบิดา  จึงพยักหน้าช้า ๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบศีรษะเจ้าตัวเล็กที่นอนอย่างเป็นสุขก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาบิดาและมารดา และตอบว่า "ก็คงต้องไปค่ะ ดีเสียอีก อยู่ทางโน้นเวลาหวาจะส่งงานอะไรก็ว่องไวกว่าอยู่ทางนี้ และ...เวลารับเงินก็ได้รับเร็วกว่าด้วย" ตอบพลางยิ้มแต้ขึ้นยามพูดถึงเรื่องค่าตอบแทนจากการทำงานอย่างหนึ่งของหล่อน "ก็ดีแล้วลูก" บิดาหล่อนพยักหน้า "พ่อกับแม่คุยกันอยู่ว่า อยากให้ลูกตัดสินใจเช่นนี้มากกว่า" "แม่และพ่อทำใจได้แล้วหรือคะ" "ทำไม่ได้ก็ต้องทำ" ตอบพลางถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ "แต่พอหวาบอกว่าจะไปดูแลหลานด้วย ก็พากันสบายใจขึ้นมาก  มีสายตาของหวาคอยดูหลาน ก็เท่ากับพ่อแม่ได้เห็นหลานตลอด" ปานยิหวาดีใจที่การตัดสินใจของหล่อนในครั้งนี้ เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกของบิดาและมารดาเสียครึ่งหนึ่งแล้ว "ว่าแต่ ในมือนั่นอะไร" บิดาหล่อนถาม พลางมองดูของในมือที่เป็นกระดาษแผ่นบาง ๆ อยู่สองแผ่นที่คล้ายรูปถ่าย หล่อนยิ้มก่อนจะหงายรูปถ่ายสองใบให้คนทั้งคู่ดู "หวาอยากได้รูปของพ่อและแม่ติดตัวไปด้วย จึงไปค้นหาในห้อง นี่ยังไงล่ะคะรูปแม่สมัยสาว ๆ สวยเชียว" หล่อนเอ่ยพลางชูรูปถ่ายใบนั้นของผู้เป็นแม่เมื่อสมัยสาว ๆ ขึ้นมาให้คนทั้งสองดู ซึ่งสมัยมารดาหล่อนยังสาว ถือว่าเป็นสาวสวยทีเดียว  แถมยังแต่งตัวสดใสด้วยชุดกระโปรงเลยเข่าลายดอกทั้งตัว  ตอนนั้นท่านไว้ผมยาวแล้วรวบยกสูงมีรอยยิ้มละไมประดับบนใบหน้าอิ่มอีก  เสียดายที่รูปถ่ายสมัยนี้ยังเป็นสีขาวดำ หล่อนเลยไม่ทราบว่าชุดกระโปรงที่มารดาหล่อนใส่อยู่สีอะไร จากนั้นจึงวางรูปใบแรกลง แล้วหยิบรูปอีกใบขึ้นมา  ในรูปเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดเครื่องแบบทหารอากาศและกำลังยืนใกล้กับเครื่องบินรบลำหนึ่ง! "รูปของคุณพ่อมีโก้เก๋อยู่หลายใบ ทำไมไม่นำมาประดับไว้ตามผนังบ้านบ้างคะ หวาจะได้อวดคนได้หน่อยว่ามีพ่อเป็นถึง..." มารดาอมยิ้มพลางส่ายหน้า ก่อนจะเหลือบมองดูใบหน้านิ่งสงบของผู้เป็นสามีเล็กน้อย แล้วเอ่ยแทนเจ้าตัว "นิสัยพ่อของเราเป็นอย่างไร หวาไม่รู้หรือ" "รู้สิคะ ไม่ชอบเปิดเผยตัว ชอบความสงบ สมถะเป็นที่สุด จึงเหมือนกับคุณแม่อย่างไรล่ะคะ บอกไปใครจะเชื่อว่าเคยเป็นถึง..." ผู้เป็นแม่ที่รู้ว่ากำลังโดนบุตรสาวกระเซ้าก็รีบตวัดมือข้างหนึ่งไปหวดลงบนต้นแขนกลมกลึงเบา ๆ หนึ่งที "หื้อ! พอเถอะ เรื่องสมัยก่อน พ่อและแม่ไม่อยากพูดถึงอีกแล้ว ให้คนที่นี่รู้กันแต่ว่า เป็นแม่อ่อน และพ่อนินทร์ก็พอแล้ว ว่าแต่คืนนี้ หวาไม่ทำงานหรือลูก" ที่ถามอย่างนี้ เพราะปกติพอหัวค่ำมาหน่อย  คนทั้งคู่มักจะได้ยินเสียงกดแป้นพิมพ์พิมพ์ดีดดังเล็ดลอดออกมาจากห้องนอนบุตรสาวแล้ว "ทำค่ะแม่ อ้อ!  พูดเรื่องทำงาน  หวาเพิ่งโทร. เลขไปขอให้ยัยอรส่งเครื่องพิมพ์ดีดรุ่นใหม่มาให้  คงจะมาถึงอีกหลายวัน  และพอมาถึงก็คงไม่ได้ใช้ที่นี่ ก็คงต้องหอบเอากลับไปใช้ที่โน่นด้วย  นี่ถ้าหวารู้ว่าจะต้องได้ไปอยู่กรุงเทพฯ คงไม่ต้องให้ยัยอรลำบากและเสียเวลาส่งมาก็ได้" "หวาอยู่ที่โน้นพูดไปก็เหมาะสมและลงตัวแล้ว งานก็ไม่ต้องคอยส่งทางไปรษณีย์ให้ยุ่งยาก" "ก็ใช่สิคะ อะไรจะพอดีเป๊ะ" ปานยิหวาพูดไปเรื่อย ๆ ก่อนจะหลุบตามองหลานสาวที่เริ่มส่งเสียงกรนเบา ๆ ออกมา  "อีกอย่าง ไม่กี่วันบอสก็จะกลับจากอังกฤษแล้ว พอดีเลยค่ะ ทำงานไป ดูหนูปลาไปด้วย" หล่อนเอ่ย โดยไม่ได้จับสังเกตสายตาของบุพการีที่ทั้งสองคอยส่งสายตาเหลือบมองกันเป็นระยะ ๆ ก่อนที่ผู้เป็นสามีจะเอ่ยขึ้นมาว่า  "หวาไม่คิดหรือลูกว่า เหมือนมีบางอย่างได้ขีดเส้นลิขิตชะตาชีวิตของคนเราเอาไว้แล้ว" หล่อนค่อย ๆ  ช้อนสายตาขึ้นมามองใบหน้าอันราบเรียบของบิดาและมารดา   ที่ท่านพูด  พูดราวกับต้องการสื่อบางเรื่องให้หล่อนรู้  และแล้ว ...ใบหน้าหล่อเหลาของหม่อมหลวงหนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มนุ่ม ๆ ตรงมุมปากก็ผุดมาให้หล่อนนึกถึง จู่ ๆ หัวใจหล่อนเริ่มเต้นแรง...  ปานยิหวาจึงตัดบทเสียเองพร้อมกับก้มเก็บของตาม  "ดึกแล้ว หวากลับไปทำงานที่ห้องนอนต่อดีกว่าค่ะ" ก่อนจะไปก็ก้มจูบลงตรงหน้าผากของหลานสาวเสียหนึ่งที แล้วรีบลุกหนีไปอย่างทันใด อย่างต้องการหลีกหนีสายตาสองคู่ที่ทำราวกับได้มองทะลุเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจของหล่อนไปแล้วกระนั้น!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD