เมื่อเดินตามร่างสูงกลับมาถึงบ้าน หลานสาวตัวน้อยของหล่อนและของเขาก็ตื่นแล้ว ด้วยท่าทางแจ่มใสทีเดียว และกำลังนั่งเล่นใกล้กับคุณยายทวดของตัวเอง ครั้นเห็นหล่อนและลุงช้าง หนูปลาก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มแฉ่งให้ ปานยิหวาจึงถามเจ้าตัวเล็กว่า
"ตื่นแล้วหรือหนูปลา"
"ค่า..."
"ดูนี่ซีคะ ปลาตะเพียนคุณยายทวดทำให้ หลายตัวเลยค่า"
ปานยิหวายิ้มรับก่อนจะทรุดนั่งลงบนแคร่ พลางใช้มองแขนโอบลำตัวเล็ก ๆ เข้าไว้...มิน่าหนูปลาถึงได้อารมณ์ดีนักเพราะใกล้ ๆ ก็มีคุณยายทวดกำลังสานปลาตะเพียนด้วยใบมะพร้าวอ่อนหลายขนาดต่างกันเพื่อไว้ให้เหลนเล่น
"ตัวนี้คือแม่ปลา ส่วนตัวเล็กตัวน้อยคือลูกปลาตะเพียนค่า"
ปานยิหวาลูบศีรษะหลานพลางก้มจูบลงศีรษะเล็ก ๆ นั้นตาม เมื่อเห็นหลานมีความสุขหล่อนก็พลอยมีความสุขด้วย ทำให้พอจะลืมเรื่องขุ่นข้องใจต่อหม่อมหลวงหนุ่มไปได้บ้าง แต่กระนั้นหล่อนก็ยังมีอาการกะบึงกะบอนอยู่ยังไม่หายโกรธเสียทีเดียว ว่าแล้วก็ชำเลืองไปทางร่างสูงที่กำลังล้วงกระเป๋ากางเกงมองหล่อนและหลานสาวด้วยสายตาพราวระยับ จากนั้นเสียงทุ้มก็ดังขึ้นบอกหล่อนว่า
"เดี๋ยวเรารอผลไม้จากคุณตาก่อนแล้วค่อยกลับนะ เพราะคุณตายังไม่กลับมาเลย"
ปานยิหวาเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปช่วยเรียงปลาตะเพียนตามขนาดใหญ่ไปหาเล็กที่ถูกสานมาจากใบมะพร้าวกับหลานปลาต่อ
"นี่ลูกตะกร้อ..." ยามคุณยายทวดที่เงยหน้าขึ้นจากทางมะพร้าวที ก็จะได้ของเล่นชิ้นหนึ่งส่งมาให้เหลนที คราวนี้ก็เป็นลูกตะกร้อเล็ก ๆ ที่ทำมาจากใบมะพร้าว แล้วนำมาถูกผูกติดด้วยก้านมะพร้าวอีกที หนูปลาจึงยื่นมือเล็ก ๆ ไปถือลูกตะกร้อที่คุณยายทวดทำให้ ก่อนจะแกว่งไกวให้ลูกตะกร้อไหวไปมาเพื่อให้คุณอาสาวดูด้วยอย่างเพลิดเพลิน
"ลูกตะกร้อ หนูปลาจะเอากลับไปด้วยนะคะ" เจ้าตัวเล็กเงยหน้ายิ้มแฉ่งอวดลูกตะกร้อในมือ ปานยิหวาจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอีก
และระหว่างที่ี่รอให้คุณตากลับกัน สักพักเริ่มจึงรู้สึกกันแล้วว่าท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม โดยมีลมพัดต้นไม้ใบหญ้าให้ไหวเอนไปมาเป็นระยะ ๆ
"อ้าว! อยู่ดี ๆ ฝนฟ้าก็ทำท่าจะตกขึ้นมาเสียอย่างนั้น" ผู้อาวุโสเอ่ยพลางเงยขึ้นหน้ามองท้องฟ้า ไม่ทันขาดคำสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาจนเกิดเสียงดังซู่ซ่าขึ้น
"ถ้าฝนตกหนักอย่างนี้ เดินกลับไปที่รถก็ลำบาก..." ชายหนุ่มพึมพำ ก่อนจะหันกลับมาบอกหล่อนว่า "เราคงต้องนอนค้างที่นี่กันแล้วล่ะ"
ปานยิหวาเงยหน้ามองท้องฟ้าตาม ก่อนจะหันมามองเขาอย่างไม่เห็นด้วย "รอให้ฝนหยุดแล้วเราค่อยกลับก็ได้นี่คะ"
"กว่าฝนจะหยุดก็คงมืดไปหมดแล้ว เราเดินออกไปจะลำบากมาก ยิ่งกลางคืนงูเงี้ยวเขี้ยวขอก็เยอะด้วย มันอันตราย" เขาให้เหตุผลกลับ
ปานยิหวาเริ่มกังวล ถ้านอนค้างที่นี่คืนนี้นอกจากเสื้อผ้าที่จะใส่ผลัดเปลี่ยนของทุกคนแล้ว ก็ยังมีเรื่องงานเขียนของหล่อนอีกด้วย เพราะหล่อนต้องกลับไปปั่นงานเขียน เพราะวันมะรืนก็ต้องไปส่งต้นฉบับเรื่องใหม่ให้พี่เสกสรรค์ แค่วันนี้ที่มาเที่ยวกับเขาก็ได้เบียดบังเวลาที่หล่อนจะใช้ทำงานไปส่วนหนึ่งแล้ว หล่อนจึงกังวลเล็ก ๆ ตั้งแต่ที่เขาบอกว่าจะพาหล่อนและหนูปลามาที่นี่
"แล้วเสื้อผ้าที่เราจะใส่เปลี่ยนคืนนี้ล่ะคะ" หล่อนปรารถเรื่องเสื้อผ้า พลางหันไปมองหม่อมหลวงหนุ่มที่ดูมีความวิตกกังวลอยู่เช่นเดียวกัน
ผู้อาวุโสที่อยู่ใกล้ ๆ ก็พลอยครุ่นคิดตาม ก่อนจะร้อง อ้อ...ออกมาดัง ๆ "อ้อ! ยายนึกออกแล้วล่ะลูกว่าจะหาเสื้อผ้าที่ไหนมาให้เปลี่ยน"
ตอนนี้...เม็ดฝนที่โปรยปรายจากฟ้าเริ่มบางเบาแล้ว กระนั้นก็ทำให้ปานยิหวาและเขากลับไม่ได้อยู่ดีด้วยเหตุผลที่ว่าความอันตรายยามกลางคืนที่ต้องเดินผ่านสวนซึ่งอาจจะมีสัตว์จำพวกงูหรือแมลงป่องที่แฝงตัวในอยู่สวน ถึงตอนนี้คุณตาของเขาก็กลับมาพร้อมกับกระบุงที่ใส่ผลไม้หลายอย่าง ที่ให้คนงานที่สวนแบกมาวางไว้อีกด้วย
ตามบ้านพักกลางสวนเริ่มเปิดไฟให้สว่างขึ้น เสียงจิ้งหรีดก็ร้องประสานเสียงกับเสียงกบดังระงมไปหมด ตอนนี้ปานยิหวา เขาและหนูปลาได้ตามคุณยายขึ้นมาบนบ้านหลังนี้ที่มีห้องนอนสองห้องและห้องโถงกว้าง ๆ
คชาธารยกheebใส่เสื้อผ้าใบหนึ่งออกมาจากห้องนอนของคุณตาคุณยายของเขาวางลงไว้ตรงหน้า จากนั้นผู้อาวุโสจึงใช้กุญแกเปิดหีบไม้ออก เพื่อเผยให้ข้าวของที่อยู่ด้านในหีบที่ประกอบด้วยเสื้อผ้าเป็นหลัก
"ดีใจจริง ๆ ที่ยายได้เก็บเสื้อผ้าพวกนี้เอาไว้ เห็นมั้ย วันนี้ก็ได้เอาออกมาใช้อีก"
หญิงสาวมองหีบไม้ที่มีเสื้อเด็กผู้หญิงและผู้ชายอยู่ คุณยายหันมาบอกที่มาที่ไปเพิ่มอีกว่า
"ของตาช้างและนกยูงน่ะ สมัยที่ตามแม่ของเขามาค้างที่นี่ก็ลืมทิ้งเอาไว้ ยายก็คอยเก็บรักษาไว้ให้หลาน นานไปก็พากันโต ๆ ไม่ได้ใส่แล้ว ยายก็ไม่อยากทิ้งหรือให้คนอื่น เพราะรักหลาน จึงเก็บเอาไว้อย่างนี้ล่ะนะ"
ปานยิหวาพยักหน้าด้วยความเข้าใจก่อนจะทรุดนั่งลงตรงหน้าหีบไม้ใบใหญ่ เพื่อเลือกชุดให้หนูปลาเปลี่ยน เวลาเดียวกันนั้นผู้อาวุสก็โดนกลับเข้าไปในห้องนอนตน สักครู่จึงกลับออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าอีกหนึ่งชุด
หลังจากเลือกเสื้อผ้าให้หนูปลาได้ หล่อนก็ปิดหีบลงตามเดิม แล้วผู้สูงวัยก็ยื่นเสื้อผ้าชุดหนึ่งมาให้อีก "นี่ของแม่ตาช้าง ถ้าไม่รังเกียจว่าเคยเป็นของคนตาย..."
"ไม่ค่ะ ! ยิหวาใส่ได้" หล่อนรีบปฏิเสธ ก่อนจะยื่นมือไปรับเสื้อผ้าของมารดาเขามา ดังนั้น ค่ำนี้ปัญหาเรื่องเสื้อผ้าที่จะใส่เปลี่ยนก็คลี่คลายลง เพราะสำหรับคชาธารได้หมดปัญหาในเรื่องนี้ไปตั้งแต่แรก เนื่องจากเขามักจะมาค้างที่นี่บ่อย ๆ จึงทำให้มีชุดเสื้อผ้าของเขาประจำที่นี่อยู่ด้วย
หลังจากพาหลานอาบน้ำกันเรียบร้อย หล่อนและหลานปลาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าผืนใหม่ในห้องนอนอีกห้องที่มีไว้ให้คนอื่นมาพัก หญิงสาวจึงเปิดประตูห้องออกมาด้วยเสื้อผ้าฝ้ายแขนสั้นกับผ้าซิ่นของมารดาหม่อมหลวงหนุ่ม ครั้นเขาเห็นหล่อนที่อยู่ในชุุดของผู้เป็นมารดา ดูเหมือนดวงตาคมปลายของเขาจะมีอาการตะลึงเล็กน้อย
"เสื้อตัวนี้...ผมดีใจที่คุณได้ใส่"เขาเอ่ยดวงตาวาวระยับประสมทั้งดีใจบางคราก็สะท้อนความเศร้าโศกออกมาด้วย
"ค่ะ" หล่อนตอบรับอย่างสั้น ๆ ก่อนจะมองหนูปลาพร้อมบอกว่า "เดี๋ยวเราไปหาคุณยายทวดที่ครัวกันนะ"
"ค่า"
หล่อนจะเดินผ่านร่างสูงนั้นไปเฉย ๆ แต่เขาก็เข้ามาดักหน้าเอาไว้ พลางเอ่ยสุ้มเสียงอย่างอ่อนใจตาม "ยังไม่หายโกรธผมเรื่องเมื่อบ่ายอีกเหรอ"
ดวงตาคู่งามตวัดผ่านใบหน้าหล่อเหลาที่มีแววจืดเจื่อน ก่อนจะบอกว่า "ก็คุณมันเจ้าเล่ห์ ฉันเริ่มไม่ไว้วางใจคุณแล้วค่ะ" เอ่ยอย่างงอน ๆ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ จึงรีบตวัดสายตามองเขาเขม็งอีก "หรือว่าวันนี้ คุณได้วางแผนเอาไว้ทั้งหมด แม้กระทั่งให้ฉันและหนูปลาต้องนอนค้างที่บ้านสวนของคุณตาและคุณยายของคุณด้วย"
ใบหน้าของหม่อมหลวงหนุ่มแสดงความตกใจออกมาบ้าง "จะบ้าเหรอ! ถ้าพูดถึงขนาดนี้ คุณก็เหมารวมว่าฟ้าฝนที่ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตาเมื่อบ่ายจนถึงหัวค่ำก็เป็นฝีมือของผมอีกด้วยสินะ"
หล่อนย่นจมูกกลับอย่างหมั่นไส้ พลางบอก "ใครจะไปรู้ ตอนนี้ฉันระแวงคุณไปหมดแล้วค่ะ แค่คุณขยับตัวนิดหนึ่ง ฉันก็อยู่ไม่เป็นสุขแล้ว"
เขาหัวเราะขันออกมาคำหนึ่งกับคำพูดคำจาของหล่อน ไม่ได้ปฏิเสธหรือต่อปากต่อคำเพิ่ม แค่ขยับเท้ามาใกล้ตัวหล่อนที่มีกลิ่นสบู่หอมฟุ้งหนึ่งก้าว แล้วเอาสิ่งที่ถืออยู่ด้านหลังยื่นมาตรงหน้าของหญิงสาว
"นี่พอจะทำให้หายโกรธได้มั้ย" เขากล่าวพลางยื่นของสองสิ่งมาให้หล่อนตรงหน้า เพื่อการง้องอน ไถ่โทษ