หลังทานข้าวเที่ยงแล้ว หนูปลามักจะติดนอนกลางวันจึงนอนหลับอย่างสบายอยู่บนแคร่ตัวเดิมโดยมีคุณยายทวดผู้รักและเอ็นดูเหลนคอยพัดวีไล่แมลงเล็ก ๆ ที่จะมารบกวนเหลนรักออกไป
ระหว่างนั้นเองที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร หม่อมหลวงหนุ่มจึงเอ่ยปากชวนหล่อนเข้าไปเก็บผลไม้ต่าง ๆ ในสวนผลไม้เพื่อจะได้เอาไปฝากคนอื่น ๆ ที่วังเหมวัฒน์
หญิงสาวเองก็เห็นด้วยเนื่องจากหล่อนมีความรักและผูกพันกับสวนผลไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หล่อนตอบรับอย่างกระตือรือร้น ทำท่าจะผละลงจากแคร่ไป ทว่า...
"หนูยิหวา ยายว่าหนูเปลี่ยนชุดเสียหน่อยเถอะลูก เดี๋ยวยายจะหาชุดให้เปลี่ยน "
ผู้สูงวัยที่นั่งบนแคร่ร้องบอก ทำให้หญิงสาวพลอยนึกขึ้นมาได้ว่าชุดกระโปรงที่หล่อนใส่มานี้ คงทำให้เกิดความไม่สะดวก กระโปรงบานพลิ้วอาจจะไปเกี่ยวกิ่งไม้ได้นั่นเอง หล่อนยิ้มแหยอย่างเห็นด้วย ก่อนจะนึกขึ้นมาได้อีกอย่างว่า หากได้รองเท้าแตะอีกคู่ก็คงดีเช่นกัน
"งั้น ยิหวาขอยืมรองเท้าคู่นั้นใส่ด้วยนะคะ" หล่อนบอกพลางชี้ไปยังรองเท้าแตะคู่หนึ่งที่ยังวางอยู่ตรงนั้น
"ได้สิลูก ได้ ๆ" จากนั้นผู้สูงวัยจึงรีบไปหาชุดมาให้หญิงสาวเปลี่ยนตอนเข้าไปเก็บผลไม้ในสวน ก่อนจะลงมาจากบ้านด้วย เสื้อยืดสีขาวธรรมดาและผ้าถุงผืนหนึ่ง แม้ไม่ใช่กางเกงแต่ก็เหมาะกว่าชุดกระโปรงที่หล่อนสวมใส่นี้ไม่น้อย
ครั้นเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินนำหน้าหญิงสาวไป แต่แล้วก็ชะงัก เมื่อเห็นหญิงสาวพุ่งไปยังทิศทางอื่น เพื่อไปหยิบตระกร้าใบหนึ่งมาถือด้วยอย่างเป็นงาน เขาหันกลับพลางเลิกคิ้วเข้มขึ้นถาม
ปานยิหวานจึงยื่นให้ตะกร้าให้เขาดู พร้อมตอบ "ก็คุณจะเก็บผลไม้นี่คะ เราก็ต้องมีตะกร้าเอาไว้ใส่ผลไม้สิ"
เขาทำท่านึกได้ จึงรีบพยักหน้ารับทันที "อ้อ! จริงด้วยสินะ" ก่อนจะรับตะกร้าที่หล่อนยื่นให้มาถือ แล้วก็ออกเดินนำหน้าหญิงสาวไป
และจู่ ๆ เขาก็พาหล่อนมาหยุดอยู่ตรงร่องน้ำที่มีเรือลำหนึ่งผูกอยู่กับหลักบนฝั่งเอาไว้ด้วย และหากกะด้วยสายตาร่องน้ำนี้คงกว้างราวสามเมตรกว่า ๆ
หญิงสาวรีบถามทันที เขาคงไม่คิดจะพายเรือนี่ไปตามร่องน้ำของสวนหรอกนะ
"ทำไมเราถึงไม่เดินเก็บล่ะคะ" หล่อนถาม ดวงตาคู่งามฉายความแปลกใจไม่น้อย แต่...
เขาก็ตอบด้วยท่าทางปกติ ด้วยการพยายามซ่อนรอยยิ้มในหน้าเอาไว้ให้มิดชิดที่สุด "เดินเก็บมันร้อน พายเรือไปตามร่อง ตามคูดีกว่า เย็นสบายดีด้วย"
ปานยิหวาใช้สองมือไพล่หลังเหลือบตามองเรือตรงหน้า พร้อมกับทำท่าถือตัวขึ้น "แต่ฉันไม่พายนะคะ ขี้เกียจ"
"ผมพายเองอยู่แล้ว"
หญิงสาวยืดตัวขึ้นเล็กน้อย มองเขาด้วยความประหลาดใจ "คุณพายเรือเป็น?"
"คุณก็อย่าลืมสิ สมัยเด็ก ๆ ผมติดตามคุณแม่มาที่นี่บ่อย ๆ ว่ายน้ำได้ พายเรือคล่อง ก็จากสวนคุณตาและคุณยายนี่แหละ"
เมื่อหม่อมหลวงหนุ่มอธิบายให้หล่อนสิ้นข้อกังขา ปานยิหวาจึงยอมก้าวลงไปในในเรือลำเปล่า หม่อมหลวงหนุ่มจึงลอบยิ้มอย่างมีเลศนัยเล็กน้อย ก่อนจะก้าวตามหล่อนลงไปในเรือลำนี้อีกคน แล้วเอื้อมมือไปหยิบไม้พายขึ้นมา จากนั้นจึงค่อย ๆ พาเรือลำน้อยให้ลอยไปตามร่องน้ำของสวนต่อไป
ครั้นพายเรือได้สักครู่ เขาก็หยุดเรือเอาไว้นิ่ง ๆ ตรงกลางร่องน้ำที่มีกิ่งไม้แผ่คลุม ฉวยเอาไม้พายวางลงบนตัก แล้วถามหญิงสาวที่กำลังชมสวนเพลินขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
"เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ"
"เรื่องอะไรคะ" ปานยิหวาถามยามเหลียวกลับมามองหน้าชายหนุ่มด้วยความงุนงง
"ก็...เรื่องคนรักของผมนั่นไง คุณไปได้ยินจากไหนมา"
คำถามของเขาทำให้หล่อนต้องเอียงคอครุ่นคิดสักเล็กน้อย
คนรัก ๆ ๆ ๆ เขาหมายถึงคนรักอะไร... อะ! คืนนั้น
ดวงตาคู่หวานของหล่อนเบิกกว้างขึ้นทันใด นึกไม่ถึงว่าเขาจะวกมาถามเรื่องนี้อีก นึกว่าจะลืมไปแล้วขนาดหล่อนยังลืมไปแล้วเลย
ริมฝีปากระเรื่อนั้นเม้มเข้าด้วยกัน กลอกดวงตาหวานไปมาดูหลุกหลิกมีพิรุธอยู่ในดวงตาคมปลาบคู่ตรงหน้า หล่อนจะบอกเขาได้อย่างไรว่าไปได้ยินมาจากปากของอรจิรา ขืนบอกออกไปความเป็นได้แตกกันพอดี
"คือ..."
"ถ้าไม่พูดผมก็จะปล่อยเรือเอาไว้อย่างนี้นะ ไม่พายพาคุณกลับไปง่าย ๆ หรอก" ว่าพลางเอาไม้พายมากอด
ปานยิหวาอ้าปากค้าง ตะลึงกับการกระทำของเขา "นี่...คุณช้าง คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ"
"นอนกลางวันดีกว่าอากาศที่นี่ร่มยื่นเย็นสบาย" ชายหนุ่มว่าพลางเหลียวหลังมองหาที่ว่าง ๆ ทำท่าจะเอนตัวลงนอนเสียนี่ ในขณะที่หญิงสาวมัวแต่ตะลึึงค้างกับการกระทำของเขา แล้วดูเขาทำสิ พายเรือมาอยู่ตรงกลางร่องน้ำพอดี หล่อนจะกระโดดขึ้นบนฝั่งก็ไม่ได้ด้วย ขืนพลาดมีอันตกน้ำตกท่าไปได้เลย
"คนเจ้าเล่ห์" หญิงสาวต่อว่า พยายามเอื้อมมือจะไปแย่งเอาไม้พายที่เขากอดมา "เอาไม้พายมาเลย คุณจะหลับก็หลับไปเลยค่ะ"
"ไม่" ว่าพลางขยับไม้พายหนีแล้วกอดแน่นขึ้นอีก ก่อนจะค่อย ๆ เอนหลังลงนอนโดยใช้แขนข้างหนึ่งที่ไม่ได้กอดไม้พายหนุนศีรษะ ไม่สนว่าใจว่าใบหน้าหวานของหล่อนจะเป็นฝืนเป็นไฟขึ้นมาแค่ไหน
"คุณนี่ จริงๆ เลย! คุณช้าง คุณจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะคะ!" หล่อนโวยวายอีก ยามเห็นเขาเริ่มหลับตาลง ท่าทางสบายขึ้นมาเสียอย่างนั้น
"หลับจริงหรือนี่ ..." ปานยิหวาพึมพำขยับตัวเอื้อมมือหมายจะดึงไม้พายมา ทว่ามือหล่อนต้องชะงัก ยามเสียงทุ้มนั้นออกมาจากริมฝีปากของเขา
"ร่องนี้ลึกอยู่ราว ๆ หนึ่งเมตร แต่ตรงกลางร่องจะมีความลึกอยู่ที่เมตรครึ่ง"
ปานยิหวาเผลอเหลียวมองทั้งซ้ายและขวาก่อนจะหันกลับมามองเขาคนที่ยังหลับตาแต่ริมฝีปากยังทำงานได้ดีอยู่
"ถ้าอยากจะลงลุยน้ำไปเองก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ..."
"ลุกขึ้นมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลยค่ะ" มือที่จะแย่งไม้พายกลับ เปลี่ยนเป็นตีลงที่ต้นขาเขาหนึ่งที พลางบอกอีก "ถ้าอยากได้คำตอบ คุณก็ต้องลุกขึ้นมาคุยกับฉันดี ๆ"
คชาธารแกล้งลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง พลางถาม "จริงหรือ"
"ค่ะ " ตอบรับเสียงงอน ๆ แล้วสะบัดหน้าหนี จากนั้นเรือก็มีการขยับไหวขึ้น จนปานยิหวาต้องรีบใช้สองมือจับตรงกาบเรือเพื่อพยุงตัวเอาไว้
เขาลุกขึ้นมานั่งทำท่าเอาการเอางานขึ้นมา พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาการเอางานขึ้นมาอีก "เอาล่ะคุยมาเลย ผมพร้อมแล้ว"
ปานยิหวาเบือนหน้ามามองเขา ถามกลับไปว่า "ทำไมคุณใส่ใจกับเรื่องนี้นักล่ะ ทั้งที่มันผ่านมาแล้วตั้งแต่คืนนั้น"
"ผมเคยบอกคุณแล้วว่าผมจริงจัง ใครจะเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างอื่น ผมจะไม่ว่าอะไรเลย แต่ถ้าเป็นคุณ..." เขามองตอบหล่อนด้วยดวงตาเป็นประกายดูที่มีความลึกซึ้งมากกว่าเดิม จนคนสบอยู่เริ่มหวั่นไหวในตัวเอง
"ฉัน..." ปานยิหวาหลุบตาลงเพื่อหลบดวงตาคู่นั้น ก่อนจะตอบเพียงแค่ว่า "ฉันแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่คาดคิดว่าคุณจะเก็บไปคิดถึงขนาดนี้"
"จริงหรือ" เสียงทุ้มถามกลับอย่างนุ่มนวล ยิ่งเห็นหล่อนหลบสายตาก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู...
"ค่ะ!"
คชาธารได้ยินหล่อนถอนหายใจแรง ๆ ตาม ก่อนที่หล่อนจะช้อนดวงตาคู่หวานขึ้นมาอีก
"ก็..." ปานยิหวาพยายามหาความสมเหตุสมผลมาพูดกับเขา "ก็เดาเอาเอง คุณก็อายุไม่ใช่น้อย ๆ หน้าตาดี แถมมีฐานะทางสังคมที่ดีด้วย ก็ไม่แปลกหรอกค่ะ ที่จะมีคนรักแล้ว"
เขาตวัดมือกอดอก มองหล่อนนิ่งอยู่อึดใจ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า "ผมยังไม่มีใคร"
หล่อนมองใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้า เขากดรอยยิ้มลงตรงมุมปากได้อย่างน่ามองอีกแล้ว พลางบอกหล่อนมาอีก
"ได้ยินแบบนี้แล้ว...คุณคงสบายใจแล้วนะ"
หญิงสาวเผลออ้าปากน้อยๆ อีกหน ละ...แล้วมาเกี่ยวอะไรกับหล่อนเล่า! เขาพูดหน้าตาเฉยตีขลุมเข้าข้างตัวเองเสร็จสรรพได้... เขานี่ บ้าจริง ๆ!
"ได้ยินในสิ่งทึ่ต้องการแล้ว ก็พาฉันกลับเลยค่ะ"ปานยิหวาเปลี่ยนเรื่องทันที เมื่อรู้สึกว่าเริ่มได้ยินเสียงเต้นตึกตักในหัวใจดังกว่าเสียงอื่น ๆ แล้ว
คชาธารยักไหล่ทั้งสองขึ้นด้วยใบหน้าที่ยังเปื้อนยิ้ม ไม่รู้ว่าอากาศเริ่มร้อนขึ้นหรืออย่างไร จึงเห็นผิวแก้มหล่อนมีสีเลือดซับขึ้นอย่างจาง ๆ แล้วมือหนาจึงจับไม้พายขึ้นพร้อมกับเริ่มพายพาหล่อนกลับ กระทั่งกลับมาถึงจุดเดิมจึงบอกหล่อนว่า
"ไปขึ้นไปสิครับ"
ปานยิหวามองรอบ ๆ ตัวด้วยความงุนงง "แล้วเราไม่ต้องเก็บผลไม้หรือคะ"
เขายิ้มพลางส่ายหน้า "ไม่" ก่อนจะค่อย ๆ ยืดตัวขึ้นพลางสาวเท้าเหยียบลงบนพื้น โดยมีหล่อนค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วก้าวตามอย่างระมัดระวัง จากนั้นน้ำเสียงหวานยังถามด้วยความไม่แน่ใจอีกว่า
"ก็ไหนคุณบอกว่าอยากได้..."
"ระหว่างเรานั่งเรือเล่น คุณตาคงใหัคนสวนเก็บให้ผมเรียบร้อยแล้วล่ะ คุณไม่ต้องห่วง"
นั่นเองปานยิหวาจึงรู้ตัวว่า...หล่อนถูกเขาหลอกเข้าแล้ว "คุณช้าง!"
หญิงสาวแวดออกมาอยา่งอดใจไม่ได้ เขาหลอกล่อให้หล่อนนั่งเรือไปกับเขา เพื่อพาไปคาดคั้นเอาเรื่องกับคำพูดที่หล่อนเผลอหลุดปากออกมาในคืนนั้น...เท่านี้เองนี่นะ!
เขาคนนี้ช่าง...
หล่อนไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาต่อว่าเขาอีกแล้ว อยากจะกรีดร้องเอาเรื่องเอาราวหม่อมหลวงหนุ่มผู้นี้ให้ก้องสวน ทว่าเขาก็ก้าวขายาว ๆ เดินหนีหล่อนไปไกลแล้ว ทำให้ปานยิหวาทำได้แค่ต้องเร่งฝีเท้าตาม เพราะขืนช้า ก็กลัวว่าจะหลงอยู่ในสวนผลไม้ที่หล่อนไม่คุ้นเคยแต่เพียงผู้เดียว!