ตรงโต๊ะอาหารที่ทำมาจากไม้สักทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ที่สามารถให้ผู้คนนั่งรับประทานได้ถึงสิบคนได้ตั้งอยู่กลางห้องอาหารของตึก แต่ตอนนี้มีสมาชิกนั่งร่วมกันแค่ห้าคน ตรงหัวโต๊ะ จะเป็นระตีผู้อาวุโสที่สุดนั่ง โดยทางขวามือของระตี จะมีที่ว่างที่มีการวางจาน ช้อน ส้อม และแก้วน้ำเช่นเดียวกันกับที่นั่งคนอื่น ๆ และถัดไปอีกคือทรานั่งขงเพียงเดือนบุตรสาวคนเล็กของระตี
ส่วนหม่อมหลวงหนุ่มจะนั่งอีกด้านโดยมีหลานสาวตัวน้อยนั่งติดกับเขาและถัดมาก็เป็นที่นั่งของปานยิหวาอีก
หญิงสาวนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ก็มองไปที่ว่างตรงนั้น ซึ่งหล่อนก็เข้าใจว่า ยังเหลือสมาชิกอีกคนในตึกที่ยังไม่ได้ลงมา ขณะที่กำลังคาดเดา เสียงของเพียงเดือนก็เอ่ยขึ้นเหมือนตอบคำถามแก่หล่อนเสียเองว่า
"อ้อ ลืมบอกค่ะ พี่ดาวบอกว่าไม่ขอลงมารับทานค่ะ" บอกแล้วก็มองหน้าปานยิหวาคล้ายไม่ชอบใจ "...ปกติพี่ดาวก็ไม่ค่อยลงมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยอยู่แล้ว ยิ่งมีคนอื่นมาอยู่ด้วย พี่ดาวคงยิ่งไม่อยากลงมา"
หม่อมหลวงหนุ่มเหมือนจะทำเพียงแค่รับทราบเงียบ ๆ และไม่ว่าอะไร คล้ายกับมีความเกรงใจต่อคนที่นั่งตรงหัวโต๊ะไม่น้อย เขาเพียงแต่หันมาบอกหล่อนด้วยน้ำเสียงขรึม ๆ "พี่ดาว หรือเพียงดาว ลูกสาวอีกของคุณน้าระตี"
จากนั้นระตี ก็ส่งสัญญานให้หญิงรับใช้เริ่มตักข้าวลงจานแต่ละคน ยกเว้นที่นั่งว่าง ๆ ตรงนั้น
เป็นอันว่าหล่อนเลยไม่ได้เห็นหน้าและรู้จักสตรีที่เป็นพี่สาวของเพียงเดือน ที่ชื่อเพียงดาวนั่นเอง
พอเริ่มรับประทานอาหาร บรรยากาศของโต๊ะก็เป็นไปอย่างเงียบเฉียบ จะมีแต่เสียงหล่อนที่คอยกำกับหลานสาวตัวน้อยเบา ๆ ระหว่างทานอาหารเท่านั้น จากนั้นหญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าราบเรียบของแต่ละคนแล้ว ปานยิหวาจึงสัมผัสได้ว่า มีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความสัมพันธ์ของคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนี้อย่าง 'ลึก' และ 'เย็นเฉียบ' แต่ความลึกและเย็นเฉียบนั้น คืออะไรล่ะ หล่อนก็ไม่สามารถรู้ได้
ให้ตายเถอะ! หล่อนไม่ชอบบรรยากาศการทานข้าวร่วมกันแบบนี้เอาเสียเลย กว่าจะกลั้นใจทาน และให้หลานสาวตัวน้อยทานจนอิ่มเรียบร้อย หล่อนก็รู้สึกพะอืดพะอมมากกว่าจะเอร็ดอร่อยอย่างที่ได้คาดเอาไว้เสียอีก
.
หลังผ่านการรับประทานอาหารเย็นร่วมกันเป็นมื้อแรกที่ได้มาอาศัยที่วังนี้ ปานยิหวาก็รีบพาตัวหลานสาวออกจากบรรยากาศอันน่าอึดอัดใจนั้นทันที
ความร้าวลึกบางอย่างของคนที่นี่ หล่อนว่าอย่างน้อยต้องมีมากกว่าหนึ่งเรื่อง ถ้าให้เดาเรื่องแรก ก็คงเป็นเรื่องภรรยาหลวง ภรรยาน้อยพวกนั้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ หล่อนนึกไม่ออก ซึ่งหญิงสาวตั้งใจว่าในวันรุ่งขึ้น หล่อนจะรีบไปหาอรจิราที่ร้าน เพื่อให้เพื่อนสาวได้เล่าเรื่องที่วังนี้ให้หล่อนได้ฟังพอที่จะมีความกระจ่างมากนี้
หลังจากพาหลานสาวตัวน้อยสวดมนต์ไหว้พระแล้ว ปานยิหวาก็กล่อมให้หลานสาวนอน ครั้นอีกฝ่ายหลับสนิท หล่อนจึงลงจากเตียง เปิดกระเป๋าสีน้ำตาลใบใหญ่ และยกอุปกรณ์ที่มักจะใช้นั่งทำงานก่อนนอนขึ้นมาวางลงบน โต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่ตั้งใกล้กับหน้าต่าง
อุปกรณ์ที่หล่อนมักจะใช้ทำงานได้แก่ เครื่องพิมพ์ดีด กระดาษเปล่า สมุด และดินสอนั่นเอง ขณะเดียวกันก็เกิดสายลมพัดกรูเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้กระดาษเปล่าที่หล่อนยกมานั้นปลิวไปว่อน หญิงสาวจึงรีบเดินไปปิดหน้าต่างทันที
ขณะเอื้อมมือไปยังบานหน้าต่าง สายตาหล่อนก็มองเห็นหลังคาของเรือนขนมปังขิงหลังนั้น ที่โพล่อยู่เหนือแมกไม้ พลางคิดว่า หล่อนชอบเรือนหลังนั้นมากกว่า หากเป็นไปได้ และชายหนุ่มไม่อะไรว่า บางทีหล่อนอาจจะขอไปอาศัยอยู่กับหนูปลาที่นั่นแทน บอกตรง ๆ บรรยากาศของคนที่นี่ แม้ตึกใหญ่ที่หล่อนพักจะใหญ่โต โอ่อ่ามากแค่ไหน หล่อนก็ไม่ปรารถนาจะอยู่ร่วมกับคนเหล่านี้เลย
เกิดเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเบา ๆ ทำให้หล่อมลืมเรื่องจะปิดหน้าต่าง ปานยิหวาหมุนตัวและสาวเท้าไปเปิดประตูห้องนอน ก็เห็นหญิงรับใช้คนเดิมที่มารับหล่อนและหลานคนแรกที่มาถึง อีกฝ่ายถือถาดของว่างอยู่ในมือข้างหนึ่งด้วย ก่อนจะบอกหล่อนว่า
"คุณช้างให้นำนมและขนมปังมาให้ค่ะ เกรงว่าคุณจะหิว"
ปานยิหวารีบหลบสายตาทันที ก่อนจะขอบคุณอย่างเก้อกระดาก เขารู้ได้อย่างไรว่าหล่อนเริ่มหิวขึ้นมาอีกแล้ว ความจริงก็เป็นเพราะบรรยากาศของโต๊ะอาหารนั่นเองที่ทำให้หล่อนทานอะไรไม่ค่อยลง ทั้งที่ก่อนหน้าท้องไส้ก็ส่งเสียงร้องประท้วงว่าหิวอยู่มาก
ปานยิหวายื่นมือไปรับถาดจากหญิงสาวคนดังกล่าว แล้วรีบเรียกไว้ เมื่ออีกฝ่ายทำทีจะผละไป "เดี๋ยวค่ะ เราชื่ออะไรหรือ"
"อิฉันน้อมค่ะ เป็นลูกสาวลุงเนียมคนขับรถ"
"อ้อ,,," ปานยิหวาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะถามถึงเรือนหลังที่หล่อนกำลังนึกถึงขึ้นมาก่อนหน้า "เรือนนั้น ไม่มีใครอยู่หรือคะ" หล่อนถามพลาง ก็หันกลับไปมองทางหน้าต่างพลาง
"ไม่หรอกค่ะ" น้อมรีบส่ายหน้าปฏิเสธ แววตาและสีหน้าเริ่มแสดงถึงความหวาดกลัวอะไรบางอย่างที่นั่น "...อย่าว่าแต่อยู่เลยค่ะ พอพลบค่ำมา ก็ไม่มีใครจะกล้าเดินเข้าไปอีกแล้ว" เอ่ยแล้วน้อมก็ทำท่าขนลุกขนพองขึ้น
"หมายความว่ายังไง?"
น้อมขยับปากจะเอ่ยอีก แต่กลับเม้มริมฝีปากเอาไว้เสีย แล้วเอ่ยแค่ "อิฉันพูดไม่ได้ ไม่กล้าค่ะ" ปลายเสียงพึมพำเสียงแผ่วเบา "...กลัวโดนตบปาก"
"หา!" หล่อนได้ยินไม่ถนัด จะถามเพิ่มอีกแต่น้อมก็รีบตัดบท และหนีจากไป
"อิฉันต้องไปแล้วค่ะ"
ปานยิหวาได้แต่มองตามแผ่นหลังของน้อมที่รีบเดินลงจากตึกไปอย่างรวดเร็ว พลางให้อยากรู้ขึ้นมาอีกเรื่องแล้วว่า เรือนที่หล่อนกำลังชมว่าน่าอยู่นั้น ...
เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันนะ!
.