ตอนที่ ๔ วังเหมวัฒน์ (๑๑๐%)

1110 Words
ตรงโต๊ะอาหารที่ทำมาจากไม้สักทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ที่สามารถให้ผู้คนนั่งรับประทานได้ถึงสิบคนได้ตั้งอยู่กลางห้องอาหารของตึก แต่ตอนนี้มีสมาชิกนั่งร่วมกันแค่ห้าคน ตรงหัวโต๊ะ จะเป็นระตีผู้อาวุโสที่สุดนั่ง  โดยทางขวามือของระตี จะมีที่ว่างที่มีการวางจาน ช้อน ส้อม และแก้วน้ำเช่นเดียวกันกับที่นั่งคนอื่น ๆ  และถัดไปอีกคือทรานั่งขงเพียงเดือนบุตรสาวคนเล็กของระตี ส่วนหม่อมหลวงหนุ่มจะนั่งอีกด้านโดยมีหลานสาวตัวน้อยนั่งติดกับเขาและถัดมาก็เป็นที่นั่งของปานยิหวาอีก หญิงสาวนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ก็มองไปที่ว่างตรงนั้น ซึ่งหล่อนก็เข้าใจว่า ยังเหลือสมาชิกอีกคนในตึกที่ยังไม่ได้ลงมา  ขณะที่กำลังคาดเดา เสียงของเพียงเดือนก็เอ่ยขึ้นเหมือนตอบคำถามแก่หล่อนเสียเองว่า "อ้อ ลืมบอกค่ะ พี่ดาวบอกว่าไม่ขอลงมารับทานค่ะ"  บอกแล้วก็มองหน้าปานยิหวาคล้ายไม่ชอบใจ "...ปกติพี่ดาวก็ไม่ค่อยลงมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยอยู่แล้ว ยิ่งมีคนอื่นมาอยู่ด้วย พี่ดาวคงยิ่งไม่อยากลงมา" หม่อมหลวงหนุ่มเหมือนจะทำเพียงแค่รับทราบเงียบ ๆ และไม่ว่าอะไร คล้ายกับมีความเกรงใจต่อคนที่นั่งตรงหัวโต๊ะไม่น้อย เขาเพียงแต่หันมาบอกหล่อนด้วยน้ำเสียงขรึม ๆ "พี่ดาว หรือเพียงดาว ลูกสาวอีกของคุณน้าระตี" จากนั้นระตี ก็ส่งสัญญานให้หญิงรับใช้เริ่มตักข้าวลงจานแต่ละคน ยกเว้นที่นั่งว่าง ๆ ตรงนั้น เป็นอันว่าหล่อนเลยไม่ได้เห็นหน้าและรู้จักสตรีที่เป็นพี่สาวของเพียงเดือน ที่ชื่อเพียงดาวนั่นเอง พอเริ่มรับประทานอาหาร บรรยากาศของโต๊ะก็เป็นไปอย่างเงียบเฉียบ จะมีแต่เสียงหล่อนที่คอยกำกับหลานสาวตัวน้อยเบา ๆ ระหว่างทานอาหารเท่านั้น  จากนั้นหญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าราบเรียบของแต่ละคนแล้ว ปานยิหวาจึงสัมผัสได้ว่า  มีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความสัมพันธ์ของคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนี้อย่าง 'ลึก' และ 'เย็นเฉียบ'  แต่ความลึกและเย็นเฉียบนั้น คืออะไรล่ะ หล่อนก็ไม่สามารถรู้ได้ ให้ตายเถอะ! หล่อนไม่ชอบบรรยากาศการทานข้าวร่วมกันแบบนี้เอาเสียเลย กว่าจะกลั้นใจทาน และให้หลานสาวตัวน้อยทานจนอิ่มเรียบร้อย  หล่อนก็รู้สึกพะอืดพะอมมากกว่าจะเอร็ดอร่อยอย่างที่ได้คาดเอาไว้เสียอีก . หลังผ่านการรับประทานอาหารเย็นร่วมกันเป็นมื้อแรกที่ได้มาอาศัยที่วังนี้  ปานยิหวาก็รีบพาตัวหลานสาวออกจากบรรยากาศอันน่าอึดอัดใจนั้นทันที ความร้าวลึกบางอย่างของคนที่นี่   หล่อนว่าอย่างน้อยต้องมีมากกว่าหนึ่งเรื่อง  ถ้าให้เดาเรื่องแรก ก็คงเป็นเรื่องภรรยาหลวง ภรรยาน้อยพวกนั้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ หล่อนนึกไม่ออก ซึ่งหญิงสาวตั้งใจว่าในวันรุ่งขึ้น  หล่อนจะรีบไปหาอรจิราที่ร้าน เพื่อให้เพื่อนสาวได้เล่าเรื่องที่วังนี้ให้หล่อนได้ฟังพอที่จะมีความกระจ่างมากนี้ หลังจากพาหลานสาวตัวน้อยสวดมนต์ไหว้พระแล้ว  ปานยิหวาก็กล่อมให้หลานสาวนอน  ครั้นอีกฝ่ายหลับสนิท หล่อนจึงลงจากเตียง เปิดกระเป๋าสีน้ำตาลใบใหญ่ และยกอุปกรณ์ที่มักจะใช้นั่งทำงานก่อนนอนขึ้นมาวางลงบน โต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่ตั้งใกล้กับหน้าต่าง อุปกรณ์ที่หล่อนมักจะใช้ทำงานได้แก่  เครื่องพิมพ์ดีด กระดาษเปล่า สมุด และดินสอนั่นเอง  ขณะเดียวกันก็เกิดสายลมพัดกรูเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้กระดาษเปล่าที่หล่อนยกมานั้นปลิวไปว่อน  หญิงสาวจึงรีบเดินไปปิดหน้าต่างทันที ขณะเอื้อมมือไปยังบานหน้าต่าง สายตาหล่อนก็มองเห็นหลังคาของเรือนขนมปังขิงหลังนั้น ที่โพล่อยู่เหนือแมกไม้ พลางคิดว่า  หล่อนชอบเรือนหลังนั้นมากกว่า  หากเป็นไปได้ และชายหนุ่มไม่อะไรว่า  บางทีหล่อนอาจจะขอไปอาศัยอยู่กับหนูปลาที่นั่นแทน  บอกตรง ๆ บรรยากาศของคนที่นี่ แม้ตึกใหญ่ที่หล่อนพักจะใหญ่โต โอ่อ่ามากแค่ไหน  หล่อนก็ไม่ปรารถนาจะอยู่ร่วมกับคนเหล่านี้เลย เกิดเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเบา ๆ ทำให้หล่อมลืมเรื่องจะปิดหน้าต่าง ปานยิหวาหมุนตัวและสาวเท้าไปเปิดประตูห้องนอน ก็เห็นหญิงรับใช้คนเดิมที่มารับหล่อนและหลานคนแรกที่มาถึง  อีกฝ่ายถือถาดของว่างอยู่ในมือข้างหนึ่งด้วย ก่อนจะบอกหล่อนว่า "คุณช้างให้นำนมและขนมปังมาให้ค่ะ  เกรงว่าคุณจะหิว" ปานยิหวารีบหลบสายตาทันที ก่อนจะขอบคุณอย่างเก้อกระดาก  เขารู้ได้อย่างไรว่าหล่อนเริ่มหิวขึ้นมาอีกแล้ว  ความจริงก็เป็นเพราะบรรยากาศของโต๊ะอาหารนั่นเองที่ทำให้หล่อนทานอะไรไม่ค่อยลง ทั้งที่ก่อนหน้าท้องไส้ก็ส่งเสียงร้องประท้วงว่าหิวอยู่มาก ปานยิหวายื่นมือไปรับถาดจากหญิงสาวคนดังกล่าว แล้วรีบเรียกไว้ เมื่ออีกฝ่ายทำทีจะผละไป "เดี๋ยวค่ะ  เราชื่ออะไรหรือ" "อิฉันน้อมค่ะ เป็นลูกสาวลุงเนียมคนขับรถ" "อ้อ,,," ปานยิหวาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะถามถึงเรือนหลังที่หล่อนกำลังนึกถึงขึ้นมาก่อนหน้า "เรือนนั้น ไม่มีใครอยู่หรือคะ" หล่อนถามพลาง ก็หันกลับไปมองทางหน้าต่างพลาง "ไม่หรอกค่ะ" น้อมรีบส่ายหน้าปฏิเสธ แววตาและสีหน้าเริ่มแสดงถึงความหวาดกลัวอะไรบางอย่างที่นั่น "...อย่าว่าแต่อยู่เลยค่ะ  พอพลบค่ำมา  ก็ไม่มีใครจะกล้าเดินเข้าไปอีกแล้ว" เอ่ยแล้วน้อมก็ทำท่าขนลุกขนพองขึ้น "หมายความว่ายังไง?" น้อมขยับปากจะเอ่ยอีก แต่กลับเม้มริมฝีปากเอาไว้เสีย แล้วเอ่ยแค่  "อิฉันพูดไม่ได้ ไม่กล้าค่ะ" ปลายเสียงพึมพำเสียงแผ่วเบา "...กลัวโดนตบปาก" "หา!" หล่อนได้ยินไม่ถนัด  จะถามเพิ่มอีกแต่น้อมก็รีบตัดบท และหนีจากไป "อิฉันต้องไปแล้วค่ะ" ปานยิหวาได้แต่มองตามแผ่นหลังของน้อมที่รีบเดินลงจากตึกไปอย่างรวดเร็ว   พลางให้อยากรู้ขึ้นมาอีกเรื่องแล้วว่า เรือนที่หล่อนกำลังชมว่าน่าอยู่นั้น ... เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันนะ! .
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD