ปานยิหวาพอจะเข้าใจแล้วว่า...
ทำไมหญิงสาวคนนั้นจึงได้พยายามห่วงหล่อน ยามที่จะกลับมาห้องพัก เพราะเมื่อได้เดินตามร่างสูงที่ผ่านห้องโถงโอ่อ่าเข้ามา ตามผนังจะถูกประดับด้วยภาพถ่ายขนาดใหญ่หลายใบของบุรุษและสตรีหลายคน แต่หล่อนไม่มีโอกาสได้หยุดดูรูปของบุรุษและสตรีเหล่านั้นเลย ขณะเดียวกันหลานรักที่เขาอุ้มนำทาง ไป ๆ มา ๆ ก็คอพับหลับลงบนบ่าเขาเสียนี่ ปานยิหวาจึงต้องรีบดึงน้องเน่าออกจากมือเจ้าตัวเล็กก่อนที่มันจะร่วงลงพื้น กว่าจะรู้ตัวว่าถึงแล้ว คนที่เดินนำหน้าอยู่ก็ได้หยุดอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่าง ตอนนี้ปานยิหวาเห็นทางแยกที่พาไปยังโซนปีกซ้ายและปีกขวาของตัวตึก และห้องนอนของหล่อนอยู่ทางขวามือเมื่อร่างสูงเดินนำไปอีกครั้ง
จนกระทั่งพามาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องนอนห้องหนึ่ง หญิงสาวกราดสายตามองไปทั่ว ไม่ว่าทางใดแต่ละห้องก็ล้วนมีแค่บานประตูที่คล้าย ๆ กัน
นี่ถ้าเขาไม่พามาส่ง หล่อนก็คงหลงทางไปเหมือนกัน
"นี่คือห้องนอนของนกยูง ให้คุณและแกพักที่นีี่น่าจะเหมาะ อย่างน้อยหนูปลาก็ควรได้นอนห้องนอนแม่ของตัวเอง"
หล่อนเข้าใจแล้ว
"ห้องผมอยู่ทางนั้นนะ" เขาเอ่ยพลางชี้ให้เห็นห้องนอนหนึ่งที่จะมีประตูสีไม่เหมือนห้องนอนอื่นเลย
หล่อนแปลกใจขึ้นเขามาบอกทำไม "ทำไมล่ะคะ"
"ผมอยู่เมืองนอกมาหลายปี กลับมาแล้วก็มีหลง ๆ กับบ้านของตัวเองเหมือนกัน จึงให้คนเปลี่ยนประตูให้อย่าเหมือนห้องอื่น ๆ"
ความจริงจะไม่มีความสับสนมากหรอก แต่ด้วยจำนวนของห้องที่อยู่บนนี้ แต่ละห้องล้วนแต่มีบานประตูค่อนข้างคล้ายกันอีก หากเดินอย่างใจลอยก็มีสิทธิ์เข้าห้องผิดได้ การที่เขาทำประตูไม่ให้เหมือนห้องอื่น ๆ ก็ดีไปอย่าง ถึงหล่อนจะเดินใจลอยแค่ไหน ก็คงไม่มีทางเดินเข้าห้องนอนเขาแน่ ๆ ปานยิหวานึกอย่างยิ้ม ๆ ทว่า
"จำประตูห้องผมให้ไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะ...ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะเข้าห้องไหน ห้องนอนผม เชิญได้..."
"คุณ!" หล่อนว่าเขาเข้าให้
เขาทำหน้าเหมือนตกใจขึ้นมาทันที ทำทีไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป
"ผมหมายถึงให้คุณไปเคาะประตูเรียก แล้วจะพาคุณและหนูปลามาส่งที่ห้องนี้อีกที"
เขาอธิบายด้วยสีหน้าซื่อใส พยายามจะให้หล่อนเห็นถึงความ ความสะอาดบริสุทธิ์ที่ส่งออกมาจากจิตใจให้ได้ ซึ่งปานยิหวาเกือบหลงเชื่อ ถ้าดวงตาคู่ตรงหน้าไม่หลุดประกายพราวระยับออกมาเสียก่อน พร้อมกับการยื่นหน้าถามหล่อนต่อว่า "...หรือ คุณคิดอะไรได้มากกว่านั้นอีก"
"บ้า..." ดวงตาที่เห็นตรงหน้า ประกายนั้นไม่ได้ใสซื่ออย่างใบหน้าที่เขาพยายามสื่อความบริสุทธิ์ใจออกมาเลยสักนิด
ปานยิหวารีบตัดบทไป "ขอบคุณค่ะพี่พามา ตอนนี้ส่งหนูปลามาให้ฉันเถอะค่ะ"
"เปิดประตูสิ" เขาไม่ยอมยื่นตัวหนูมาปลามาให้
"แต่ว่า..."
"ผมหนักแล้วนะ"
นั่นเองปานยิหวารีบเปิดประตูให้เขาเดินเอาตัวหลานสาวเข้าไปวางลงบนเตียงนอนกว้าง
ขณะนั้นเอง สายตาหญิงสาวก็ได้เห็นรูปถ่ายที่อยู่ในกรอบสวย ๆ ที่ถูกตั้งเรียงรายอยู่ภายในห้องนอนแห่งนี้
รูปถ่ายเหล่านี้ ทำเอาหล่อนสะท้านใจขึ้น ปานยิหวาหลุบสายตามองเจ้าตัวน้อยที่นอนหลับ ... ก่อนจะหันไปมองใบหน้าเขา
"เข้าใจแล้วใช่มั้ย วินาทีแรกที่ผมเห็นหน้าแก ผมถึงปล่อยแกให้อยู่ห่างไม่ได้อีก" เขาเอ่ย แล้วก็เอามือหนาลูบบนใบหน้าเรียวของหลานรัก
ใช่ รูปถ่ายหลาย ๆ ใบที่หล่อนเห็นก็คือรูปของพี่สะใภ้หล่อนเมื่อตอนเด็กนั่นเอง ที่มีใบหน้าคล้ายหลานสาว จนหญิงสาวรู้สึกใจหายไม่น้อย ในฐานะของพี่ชายและลุง หล่อนจึงสามารถอ่านประกายตาคู่ตรงหน้าได้ว่า มีทั้งความเศร้า อาลัยอยู่ในนั้น
"ขอบคุณค่ะ" ปานยิหวาตัดบท เห็นเขานิ่งขรึมไปก็พลอยไม่สบายใจด้วย "เดี๋ยวฉันจะปลุกหนูปลาอาบน้ำ แล้วเราจะลงไปพบคนอื่น ๆ ที่ห้องอาหาร ...หนึ่งทุ่มใช่มั้ยคะ"
หม่อมหลวงหนุ่มพยักหน้าขรึม ๆ สำทับ จากนั้นก็ผุดลุกจากเตียง ก่อนจะเปิดประตูออกไป ดวงตาของคมของเขาก็มองหลานตัวน้อยที่นอนอยู่บนเตียง แล้วเลื่อนสายตามามองใบหน้างามของหญิงสาวอีกครั้งหนึ่ง
.
หลังจากปลุกหลานสาวขึ้นมาอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ปานยิหวาจึงพาหนูปลาเดินลงมาชั้นล่าง เพื่อจะตรงไปยังห้องอาหาร ขณะที่เดินผ่านห้องโถง สิ่งที่ปานยิหวาอยากทำมากที่สุดก็คือ การหยุดดูรูปถ่ายใบใหญ่ที่ประดับอยู่ตามผนังห้องนี้ อันมีทั้งรูปของบุรุษและสตรี หนึ่งในรูปถ่ายหลาย ๆ รูป หล่อนมาหยุดพินิจรูปใบใหญ่ของชายวัยราว ๆ สี่สิบปี ตรงด้านล่างมีนามของเจ้าของรูปติดอยู่ด้วย
'หม่อมราชวงศ์อลงกรณ์ เหมวัฒน์' บุรุษผู้นี้คงเป็นเจ้าของวังคนก่อนหน้า และก็เป็นบิดาของหม่อมหลวงหนุ่มคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย หล่อนขยับดูอีกรูป ตอนนี้บุรุษคนเดิมได้ถ่ายยืนกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ใบหน้างดงาม และอีกรูป...บุรุษคนเดิมก็ถ่ายคู่กับหญิงสาวอีกคนหนึ่ง แต่หญิงคนนี้มีดวงตางามหวานปนโศกอย่างไรไม่รู้
หล่อนเผลอมองรูปหญิงสาวตรงหน้านานกว่าทุกรูป กระทั่ง...
"คุณพ่อ และคุณแม่ผมเอง"
ปานยิหวาตวัดมือทาบอกพลางลูบเบา ๆ ทำไมเขาถึงชอบมายืนอยู่ด้านหลังอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงด้วยนะ
หม่อมหลวงหนุ่มขยับเท้าอีกก้าวเพื่อจะเข้ามายืนใกล้ ๆ หญิงสาวและหลานสาวตัวน้อย โดยที่ใช้มือสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง ตอนนี้หม่อมหลวงหนุ่มอยู่ในชุดกางเกงแพรสีน้ำเงิน เสื้อผ้าป่านคอกลม หญิงสาวขยับตัวออกห่างเขาอีกนิด เพราะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่โชยออกมาจากเขา ทำให้หล่อนอยู่ไม่เป็นสุข เขาช่างแตกต่างจากผู้ชายทุกคนที่หล่อนเคยได้อยู่ใกล้เสียจริง
"ค่ะ" แล้วหล่อนจึงขานรับเบา ๆ ก่อนจะถามกลับสั้น ๆ "แล้ว?"
แล้วที่บิดาเขายืนถ่ายรูปกับผู้หญิงอีกคนนั่น ใคร
"คุณพ่อของผม และคุณน้าระตี"
"เธอคือน้องสาวของท่านหรือคะ" หล่อนถามซื่อ ๆ แล้วก็นึกอายขึ้นทันที เมื่อเขาตอบเรียบ ๆ
"เปล่า เป็นภรรยาอีกคนของคุณพ่อ"
หล่อนสะดุดใจหันกลับไปมองเขา ตอนนี้ใบหน้าเขาก็นิ่งเรียบ เลยไม่กล้าถามต่อเลยว่า แล้วใครเป็น 'หลวง' และใครเป็น 'น้อย' เวลานั้นเองก็มีเสียงใครบางคนดังขึ้นมา พร้อมกับเสีียงฝีเท้าสองคู่ที่กำลังเดินมาสมทบทางนี้
"นี่หรือ ที่ตาช้างให้คนไปรับวันนี้"
เขาถอนสายตาจากรูปถ่ายของบิดาและมารดา หันกลับมารับคำสั้น ๆ ในลำคอด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ปานยิหวาจึงเริ่มสัมผัสถึงความอึดอัดของผู้คนภายในตึกนี้ได้ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นไป
ปานยิหวามองสตรีรูปร่างสะสวยตรงหน้า ซึ่งก็คือคนที่อยู่ในอีกรูปนั้นด้วย และด้านหลังมีหญิงสาวอีกคนยืนเยื้อง ๆ ไปนั้นคงจะเป็นบุตรสาวเพราะมีใบหน้าละม้ายคล้ายกันทีเดียว
ปานยิหวายกมือไหว้สตรีคนดังกล่าวทันที โดยมีเสียงทุ้มแนะนำด้วย
"คุณน้าระตี และนั่นเพียงเดือน..."
"เพียงเดือน ลูกสาวคนเล็กฉันเอง" หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยต่อ
หม่อมหลวงหนุ่มจึงหันมาแนะนำหญิงสาวและหลานสาวของตนต่อ "นี่คือปานยิหวา เธอเป็นคุณอาของ หนูปลา"
"อ้อ! เจ้าตัวเล็กนี่เอง" ระตีจึงทำท่าตื่นเต้น ขยับตัวเข้าใกล้หมายจะเอามือข้างหนึ่งวางบนศีรษะของเด็กผู้หญิงตัวน้อย แต่ หนูปลากลับขยับหนี แล้วเบียดตัวเข้าหาคุณอาแทน คล้ายไม่อยากให้สตรีตรงหน้าเข้าใกล้
ปานยิหวาตกใจกับกิริยาของหนูปลา ดูเหมือนจะผู้ใหญ่คนแรกที่แกทำเช่นนี้ให้ หล่อนเห็นใบหน้างามของอีกฝ่ายฉายความไม่พอใจนิดหนึ่ง หญิงสาวจึงรีบอธิบาย
"สงสัยหนูปลาจะเหนื่อยกับการเดินทาง และยังไม่ค่อยคุ้นกับใครที่นี่น่ะค่ะ"
ระตียืดตัวขึ้น ขยับตัวกลับมายืนกับบุตรสาวคนเล็ก แล้วเอ่ยว่า "อ้อ คงจะสักพักกระมัง ถึงจะปรับตัวให้เข้ากับคนที่นี่ได้ ไม่เป็นไร ๆ ฉันเข้าใจ เด็กเกิดและเติบโตมาจากบ้านนอกก็เป็นอย่างนี้แหละ"
ปานยิหวามองเขม็งไปยังใบหน้าของผู้ที่เอ่ยประโยคนี้อย่างไม่เข้าใจทันที
"คุณแม่คะ จะยืนแนะนำตัวกันตรงนี้อีกนานมั้ย เดือนหิวแล้ว" เพียงเดือนเริ่มแสดงความหงุดหงิดเล็กน้อย หล่อนเองก็คิดว่า หญิงสาวบ้านนอกและเด็กนี่มีอะไรสลักสำคัญนัก ถึงกับคุยกันอย่างไม่จบไม่สิ้นเสียที
แล้วสองแม่ลูกจึงออกเดินนำไปยังห้องอาหาร จากนั้นหม่อมหลวงหนุ่มก็ผายมือหนาให้หล่อนและหลานปลาเดินตามไป โดยมีเขารั้งอยู่ท้ายขบวน