ในตำหนักไทเฮา หลิวอี้เฟยยืนตัวลีบอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นเสด็จย่า ไทเฮาทรงพิจารณาหลานคนโดยละเอียด พบว่าหลายปีมานี้ได้ละเลยนางจริง ๆ
หลิวอี้เฟยมีใบหน้าโดดเด่นงดงาม ทั้งยังมีความน่ารักปรากฎอยู่ในดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ ที่ผ่านมาไทเฮาล้วนรู้ว่าหลิวอี้เฟยถูกคนอื่นรังแก
ทว่าเรื่องรังแกกันในวังหลังนั้นมักเกิดขึ้นประจำอยู่แล้ว องค์หญิงทั้งหลายต่างต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยตนเอง
ทุกคนล้วนมีวิธี องค์หญิงสิบเอ็ดคนนี้กลับใช้ความขี้ขลาดอ่อนแอไม่ทำตัวโดดเด่นเอาตัวรอดมาจนป่านนี้ได้ก็นับว่าไม่เลว
ดูดวงตาคู่งามของนางแล้วก็ยิ่งทำให้ไทเฮารู้สึกว่าหลิวอี้เฟยช่างใสซื่อบริสุทธิ์นัก เมื่อคิดไปว่าต้องแต่งออกให้คนเจ้าเล่ห์เช่นอ๋องผู้นั้น ในใจยังก็คิดว่าเหมาะสมยิ่ง
หากเก่งกาจโดดเด่นแล้วจะทำให้สามีไม่พอใจอาจเกิดอันตรายต่อตนเอง หากอ่อนแอเจ้าน้ำตาทั้งยังเป็นคนงาม อย่างไรใบหน้าและน้ำตานี้ก็ยังพอให้นางเอาตัวรอดได้
แน่นอนว่าคนผู้นั้นเป็นบุรุษเช่นใด ด้วยสายพระเนตรของพระนางที่มองเห็นเขามาตั้งแต่แบเบาะเพราะเลี้ยงดูมาด้วยมือของตนเองย่อมรู้แจ้งแก่ใจ
การส่งหลิวอี้เฟยไปจึงนับว่าเป็นการตัดสินใจของฝ่าบาทที่ฉลาดยิ่ง
"เจ้าแต่งออกไปแล้วอย่างไรก็ต้องรักษาเกียรติขององค์หญิงให้ดี อย่าได้ลืมไปเข้าใจหรือไม่"
"เพคะ ขอบพระทัยเสด็จย่าที่เมตตา สิบเอ็ดจะจดจำคำสอนเอาไว้เพคะ"
“เด็กดีของย่าช่างเป็นคนอ่อนหวานยิ่งนัก”
หลังออกจากตำหนักไทเฮาแล้ว หลิวอี้เฟยยังถูกฮองเฮาเรียกพบเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน
หลิวอี้เฟยกับเหมยลี่ต่างมองตากัน คงเพราะนางเป็นผู้กล้าต้องแต่งงานกับอ๋องชราวิปริตแทนองค์หญิงผู้อื่นกระมัง จู่ ๆ จึงได้รับความโปรดปรานขึ้นมาเช่นนี้
เมื่อไปถึงตำหนักของฮองเฮา นางได้รับคำชมเชยมาหลายคำและยังของพระราชทานอีกหลายชิ้น
ฮองเฮาให้คนมอบของล้ำค่าให้นางหลายชิ้น หลิวอี้เฟยพยายามยิ้มแต่นางกลับรู้สึกอยากร้องไห้มากกว่า
ข้าวของล้ำค่าเต็มมือของเหมยลี่แล้ว นางสัมผัสได้ถึงโลงศพที่งดงามที่มีนางนอนนิ่งอยู่ในนั้น หากแลกได้นางขอคืนสิ่งเหล่านี้และไม่ต้องการแต่งงานกับอ๋องผู้นั้น
บนตัวประดับด้วยข้าวของต่าง ๆ เหล่านี้ ทั้งปิ่นปักผม แหวนมรกต กระทั่งมงกุฎและสร้อยหยกงดงามที่นางไม่เคยได้สวมใส่
ของพวกนี้เหมือนของที่ต้องแลกด้วยการเสียสละตนเองอย่างแท้จริง เช่นนั้นผู้ใดจะอยากได้กันเล่า
แต่หลิวอี้เฟยก็ไม่อาจปฏิเสธ อย่างไรก็ต้องรับมาแสดงท่าทางดีใจและกล่าวขอบพระทัย
เมื่อออกจากตำหนักของฮองเฮาหลิวอี้เฟยได้พบกับนางกำนัลผู้หนึ่ง นางถอยหลังไปสองก้าวเมื่อนางกำนัลผู้นั้นเอ่ยว่า
"องค์หญิงสิบให้องค์หญิงสิบเอ็ดไปเฝ้าที่ตำหนักเพคะ ตามข้ามาแต่โดยดี"
หลิวอี้เฟยสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันใด องค์หญิงสิบเป็นบุตรสาวที่เอาแต่ใจของฮองเฮา ยังเป็นองค์หญิงคนโปรดของไทเฮาอีกด้วย
พี่สาวของหลิวอี้เฟยคนนี้มีนิสัยหวงของเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่องค์หญิงสิบไม่ชอบที่สุดก็คือการที่มีคนมาตีเสมอตัวนางทั้งยังคิดแย่งความโปรดปราน ยังมีนิสัยวางอำนาจชอบกลั่นแกล้งคนไปทั่ว
แน่นอนว่าหลิวอี้เฟยล้วนตกเป็นเป้าหมายให้องค์หญิงสิบกลั่นแกล้งเพราะงดงามเกินตัวมาบ่อยครั้ง
หลิวอี้เฟยถอยหลังหลายก้าว หันซ้ายแลขวาหาทางปฏิเสธด้วยนึกหวาดกลัว และแล้วนางก็คิดบางอย่างขึ้นได้
"ข้ายังต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาท เมื่อสักครู่ในตำหนักฮองเฮาได้บอกเอาไว้ ข้าต้องขออภัยพี่หญิงแล้ว พวกเจ้ากลับไปรายงานวันหลังข้าจะไปพบพี่หญิงด้วยตัวเอง"
นางกำนัลผู้นั้นทำท่าไม่เชื่อ จ้องด้วยสายตามาดร้ายแล้วเอ่ยว่า
"ฝ่าบาทยังอยู่ในท้องพระโรง องค์หญิงสิบเอ็ดอย่าเล่นลูกไม้จะดีกว่า คิดว่าแสร้งยกเรื่องฝ่าบาทขึ้นมาข้าจะเชื่อหรือ"
เพราะหลิวอี้เฟยเป็นองค์หญิงที่ฝ่าบาทลืมไปแล้ว เรื่องนี้ผู้คนทั้งวังหลวงย่อมรู้ แม้มีพระราชโองการให้นางแต่งออกไป ฝ่าบาทก็ยังไม่เคยให้องค์หญิงผู้นี้เข้าเฝ้าเลยสักหน
เช่นนั้นแล้วการบอกว่าฝ่าบาทเรียกหาย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในสายตานางกำนัลเหล่านั้นหมายถึงหลิวอี้เฟยกำลังโกหก
หลิวอี้เฟยถอยหลังไปหลายก้าว หันไปมองเหมยลี่ที่ยืนอยู่ข้างกาย
แย่...แย่แล้ว...จะทำเช่นใดดี หากข้าไปที่นั่นก็เท่ากับหาเรื่องให้ตนเองลำบากแล้ว
เหมยลี่ส่ายหน้า เป็นการบอกองค์หญิงของตนเองว่าอย่างไรก็ห้ามไปเด็ดขาด
หลิวอี้เฟยพยายามหาทางออกเมื่อขันทีและนางกำนัลพวกนั้นทำท่าคล้ายจะขยับมาจับตัว
ในขณะที่วุ่นวายใจอยู่นั้นฉับพลันสายตาของหลิวอี้เฟยก็เห็นคนสองคนเดินผ่านไป
นางเห็นเพียงด้านหลัง คนทั้งสองมีรูปร่างสง่างามสูงโปร่ง สวมชุดทหารองครักษ์เต็มยศท่าทางองอาจห้าวหาญเหมือนเป็นผู้บัญชาการองครักษ์ที่ไม่มีผู้ใดกล้ายุ่ง
หลิวอี้เฟยจึงตัดสินใจรวดเร็วคิดขอร้องให้คนผู้นั้นช่วยเหลือทันใด นางชี้นิ้วไปที่องครักษ์ของฝ่าบาททั้งสองคนนั้น พร้อมกับเอ่ยเสียงดัง
"นั่นอย่างไรเล่า คนผู้นั้นรับคำสั่งฝ่าบาทมารับตัวข้าแล้ว"
ในยามที่คนกำลังมองไปยังองครักษ์ทั้งสองคน หลิวอี้เฟยอาศัยจังหวะนี้กระตุกมือให้เหมยลี่วิ่งตามนางมา
สตรีสองคนต่างสาวเท้าวิ่งไม่คิดชีวิตวิ่งไปหาองครักษ์ทั้งสองที่อยู่ห่างจากพวกตนพอสมควร
นางกำนัลผู้นั้นเห็นหลิวอี้เฟยวิ่งหนีจึงตะโกนบอกคนของตนเอง
"จับองค์หญิงสิบเอ็ดเอาไว้ ลากตัวนางไปหาองค์หญิงสิบตามคำสั่งเดี๋ยวนี้"
เหมยลี่เห็นองค์หญิงของตนเองวิ่ง จึงรีบวิ่งตามโดยไม่ต้องบอกด้วยรู้ใจ
ในขณะที่หลิวอี้เฟยวิ่งไปถึงตัวขององครักษ์ผู้นั้น นางรีบถลาจับชายเสื้อคลุมสีน้ำเงินอมดำของคนผู้นั้นเอาไว้
ตั้งใจจะขอร้องให้เขาช่วยเหลือนางสักครั้ง
"ท่านองครักษ์ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด"
หลิวอี้เฟยหอบหายใจรัว เพราะวิ่งมาด้วยความเร็วจึงเหนื่อยหอบแทบจะทรุดลงตรงนั้น บัดนี้จึงอาศัยเกาะยึดชายเสื้อคลุมขององครักษ์เอาไว้ เสียงทุ้มเยียบเย็นพลันดังขึ้น
"อยากให้ข้าช่วย ท่านคิดเอาสิ่งใดมาแลกกันเล่า"
น้ำเสียงเย็นชาคุ้นหูนั้นทำให้นางเงยหน้ามองเขาเต็มตา
เมื่อเห็นใบหน้านี้ชัดเจนหลิวอี้เฟยต้อง ผงะจมูกของนางได้กลิ่นความตาย หลิวอี้เฟยชักเท้าถอยไปทันใด ทว่าขาของนางกลับอ่อนแรงร่างเล็กโงนเงนเหมือนจะล้มลงตรงหน้าคนผู้นี้
แขนแข็งแรงข้างหนึ่งคว้าร่างเล็กของนางเอาไว้ เขาดึงนางเข้ามาใกล้อก ใบหน้าหล่อเหลางดงามดุจเทพเซียนจนชวนให้ตกตะลึง ทว่านางกลับสามารถมองเห็นความชั่วร้ายในสายตาคู่นั้นอย่างชัดเจน
คนผู้นี้มิใช่ใครอื่น เขาคือปีศาจร้ายที่กุดหัวขันทีคนนั้นนั่นเอง!