เมื่อคืนนี้หลิวอี้เฟยนอนฝันร้ายตลอดทั้งคืนล้วนเห็นเหตุการณ์ที่คนผู้นั้นตวัดดาบคมกริบบั่นคอขันทีใหญ่ผู้นั้น เลือดไหลนองไปทั่วพื้น นางกวาดตามองตาศีรษะที่กลิ้งไปบนพื้นด้วยความประหลาดใจว่ามันคือสิ่งใด
ทันทีที่มองเห็นหัวนั้นชัดเจนต้องหวีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
เมื่อใบหน้านั้นเป็นใบหน้านั้นมิใช่ใบหน้าของขันทีใหญ่แต่กลายเป็นใบหน้าของนางเสียเอง!
หลิวอี้เฟยสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยอาการเหนื่อยหอบ ร่างเล็กม้วนขดอยู่ในผ้าห่ม นางยังจดจำใบหน้าของคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจน สายตาแดงก่ำคู่นั้นที่จ้องนางราวกับคมดาบช่างบีบคั้นให้นางรู้สึกทรมานจนแทบหายใจไม่ออก
แม้ว่าเขาจะปล่อยนางมาแล้ว แต่นางก็ไม่แน่ใจว่าคนผู้นี้จะเปลี่ยนใจในภายหลังหรือไม่ หากนางยังอยู่ที่วังหลวงแห่งนี้ย่อมเท่ากับว่าขาข้างหนึ่งกำลังก้าวเข้าสู่ปรโลก คนผู้นั้นแม้จะมีรูปโฉมเหนือสามัญทว่านางมั่นใจว่าใจคอของเขานั้นย่อมเหี้ยมโหดยิ่งกว่าผู้ใด
น้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว นางเป็นเพียงองค์หญิงอ่อนแอที่มีนิสัยขี้กลัวยิ่งกว่าเต่า
นางยังไร้คนหนุนหลังบิดาไม่สนใจ มารดาเป็นเพียงบุตรสาวของนายกองผู้หนึ่งซึ่งไร้อำนาจและในยามนั้นที่ได้พบฝ่าบาทเมื่อตอนพระองค์ออกนอกวังหลวง
ฝ่าบาทยามนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งที่บังเอิญพบมารดาและต้องใจกัน กระทั่งได้นำมารดาเข้าวังหลวง หลังจากที่มารดาตั้งครรภ์ขึ้นมาฝ่าบาทก็หันไปโปรดปรานสนมคนใหม่แล้ว
มารดาของนางมีใจรักเพียงฝ่าบาท หลายปีที่อยู่ในวังไร้การเหลียวแลจากชายที่นางรักไม่นานก็ตรอมใจ ร่างกายทรุดหนักและจากไปในที่สุด คนที่เลี้ยงดูนางมาจึงกลายเป็นแม่นมผู้ชราโดยที่ฝ่าบาทเองไม่เคยมาสนใจแม้แต่ครั้งเดียว บัดนี้แม่นมผู้เลี้ยงดูยังเกษียณอายุออกจากวังไปแล้ว ในใจจึงเหงาเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก
โชคดีที่ฮองเฮายังเมตตาจัดหาเบี้ยหวัดและคนรับใช้ในตำหนักเพื่อดูแล ชีวิตความเป็นอยู่จึงไม่แร้นแค้นนัก
ก่อนหน้านี้หลิวอี้เฟยเป็นสตรีเจียมตน แม้จะเป็นองค์หญิงแต่กลับไม่ได้รับอิสรภาพ แม่นมของนางมักเล่าเรื่องราวนอกวังให้ฟังอยู่เสมอ
นางฟังจนเก็บเอาไปจินตนาการว่าชีวิตความเป็นอยู่นอกวังหลวงจะอิสรเสรีและงดงามดั่งภาพฝัน เดิมหวังทำตัวเป็นคนดีเชื่อฟังฮองเฮา หวังออกจากวังหลวงในวันหนึ่ง
กระทั่งมีเรื่องพระราชทานสมรสกับท่านอ๋องผู้ครองเมืองซีหนิง ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งภายใต้สี่หัวเมืองใหญ่ที่ปกครองโดยฮ่องเต้ลั่วหยาง เมืองซีหนิงเป็นเมืองหน้าด่านอยู่ไกลและยังทุรกันดาร ที่ผ่านมาล้วนตกอยู่ในภาวะสงครามเพิ่งจะสงบสุขมาได้ไม่กี่ปีเท่านั้น
อ๋องผู้ครองเมืองซีหนิงมีอายุสี่สิบกว่าปี คนอายุสี่สิบปกติล้วนมีบุตรอายุเท่านางแล้วเขาจึงนับว่าแก่คราวพ่อ
แต่ชายผู้มีเคยมีทั้งสนมและพระชายาแต่ทุกคนล้วนตายตกไปตามกันด้วยสาเหตุต่าง ๆ ข่าวลือว่าเขาทั้งแก่ชราเกินอายุจริงราวกับคนอายุหกสิบและมีใบหน้าที่น่ากลัวยิ่งนัก จิตใจยังวิปริตผิดเพศเบื้องหลังการตายของสตรีเหล่านั้นก็เป็นเพราะท่านอ๋องผู้นั้น
ยามนี้นางจึงทั้งหวาดผวาทั้งเกิดอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่ว่าจะหันหน้าไปที่ใดล้วนรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกบีบคั้นให้เข้าสู่ความตาย
นางยังไม่อยากตาย ความฝันของนางคือการได้ออกไปดูโลกภายนอกที่กว้างขวาง ชีวิตของหลิวอี้เฟยตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยก้าวออกจากวังหลวงแม้แต่ก้าวเดียว ทว่าเมื่อได้ออกไปสิ่งที่รอนางอยู่กลับเป็นสุสานแห่งความตาย
"จบกันแล้วชาตินี้ของข้า คงไม่ได้มีโอกาสได้ทำตามความฝันแล้วใช่หรือไม่"
หลิวอี้เฟยร้องไห้จนไร้เสียงลำคอแหบแห้ง รู้สึกไร้ทางเลือกในชีวิตแล้วจริง ๆ
เพราะอาการบาดเจ็บที่ขาของนางจึงทำให้หลายวันมานี้หลิวอี้เฟยไม่ได้เข้าเฝ้าไทเฮาและฮองเฮาพร้อมกันกับองค์หญิงผู้อื่น กระทั่งนางหายดีจึงได้เข้าไปถวายพระพร
องค์ชายและองค์หญิงของฝ่าบาทมีรวมกันทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน ที่หน้าตาโดดเด่นที่สุดก็คือหลิวอี้เฟยแต่นางเป็นองค์หญิงปลายแถว ฐานะเดิมมารดายังดำรงเพียงตำแหน่งผินซึ่งเป็นตำแหน่งที่ต่ำที่สุดในบรรดาพระมารดาขององค์หญิงผู้อื่น
แต่เพราะความงามของนางกลับทำให้พี่น้องริษยา นางมักถูกคนอื่นรังแกทั้งยังเคยถูกเรียกให้ไปรับใช้องค์หญิงคนอื่นมาหลายต่อหลายครั้ง
โดยเฉพาะองค์หญิงสิบหลิวหลีผู้ที่เกิดก่อนนางเพียงหนึ่งเดือน แต่มีฐานะเป็นถึงพระธิดาของฮองเฮา
หลิวอี้เฟยเป็นองค์หญิงคนที่สิบเอ็ด บรรดาพี่น้องจึงเรียกนางว่าสิบเอ็ดจนคุ้นปาก กระทั่งชื่อจริงของนางมีว่าอย่างไรพวกเขาก็ล้วนลืมไปหมดแล้ว
เมื่อมาถึงตำหนักของไทเฮาในเวลาเดิม หลิวอี้เฟยที่ปกติจะถูกจัดให้ยืนอยู่ในลำดับสุดท้ายตามฐานะมารดา วันนี้กลับแปลกประหลาดยิ่งที่ไทเฮามีรับสั่งให้นางมายืนตรงด้านหน้า ตำแหน่งใกล้เก้าอี้ที่ประทับมากกว่าพี่น้องทั้งหมด
"สิบเอ็ดคารวะไทเฮาเพคะ ขอทรงพระเจริญพันปี พัน พัน ปี"
ไทเฮาแย้มริมฝีปากคล้ายยิ้ม ใบหน้าอ่อนโยนลงเล็กน้อย
"เงยหน้าขึ้นเถิด จะว่าไปข้าก็เพิ่งรู้ว่าเจ้าเติบโตเป็นสตรีที่อ่อนหวานงดงามเพียงนี้ ที่ผ่านมาเป็นข้าที่ดวงตามืดบอดมองไม่เห็นเจ้ามาตลอด"
หลิวอี้เฟยไม่รู้ว่าจะต้องตอบอย่างไร เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็พลันหันไปสบสายตาเข้ากับฮองเฮาโดยบังเอิญ นางจึงเอ่ยว่า
"ด้วยพระบารมีไทเฮา และการอบรมเลี้ยงดูด้วยความเมตตาของฮองเฮาที่มีต่อสิบเอ็ดเพคะ"
ไทเฮาหันไปมองฮองเฮาด้วยสายพระเนตรชื่นชม
"หากเจ้าไม่พูดไอเจียก็ลืมไปแล้วว่าเจ้าเป็นเด็กกำพร้ามารดา โชคดีของเจ้าแล้วที่ได้ฮองเฮาเมตตาอบรมสั่งสอน ฮองเฮาเจ้าไม่ทำให้ไอเจียผิดหวังจริง ๆ นับเป็นสตรีที่มีคุณธรรมสูงส่งยิ่งนัก แม้ไม่มีผู้ใดเห็นเจ้าก็ยังเลี้ยงเด็กคนนี้มาเป็นอย่างดี"
เดิมทีฮองเฮาเพียงทำไปตามหน้าที่ เพราะเป็นฝ่าบาทที่ฝากฝัง ไม่คิดว่าวันนี้จะได้รับคำชื่นชมจากไทเฮา
หลายปีมานี้นางคิดว่าแม่สามีผู้นี้นิยมชื่นชมกุ้ยเฟยมากกว่านางจึงทำให้ฮองเฮารู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย วันนี้ไทเฮาชื่นชมนางต่อหน้าสนมและองค์หญิงเหล่านี้ เพียงเท่านี้ก็ทลายความมั่นใจของสนมที่เหิมเกริมพวกนั้นลงได้อย่างสิ้นเชิง
ริมฝีปากสีแดงสดแย้มยิ้ม ตอบรับไทเฮาแผ่วเบา
"ขอบพระทัยเพคะ สิบเอ็ดก็เป็นองค์หญิงผู้หนึ่ง อย่างไรหม่อมฉันก็ไม่อาจละทิ้งนางได้ยิ่งสงสารนางนักที่ไร้มารดา"
ไทเฮาพยักพระพักตร์ ดวงตาเป็นประกายชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงเอ่ยกำชับหลิวอี้เฟย
"วันนี้ด้วยเห็นว่าในเดือนหน้าเจ้าเป็นเจ้าสาวแล้ว จงจำไว้ให้ดีว่าหน้าที่ของเจ้าสำคัญยิ่ง ความจริงเรื่องการเมืองของบุรุษพวกเราสตรีล้วนไม่ยุ่งเกี่ยว ทว่าการแต่งงานของเจ้าครานี้ก็เพื่อผูกสัมพันธ์กับท่านอ๋องแห่งซีหนิงมิให้เขามีใจเป็นอื่น ข้าบอกเจ้าเท่านี้คงรู้แล้วใช่หรือไม่ว่าควรปฏิบัติตนอย่างไร"
หลิวอี้เฟยใบหน้าซีดเผือด หลายวันมานี้พอทำใจสงบลงได้แล้ว แต่เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้นางย่อมรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอีก กระนั้นนางก็ไม่อาจขัดรับสั่งได้ จึงได้แต่น้อมรับคำสั่งสอนของไทเฮา
ท่ามกลางความหวาดกลัวของนาง บรรดาพี่น้องล้วนก้มหน้าหัวเราะเยาะหยัน วันนี้หลิวอี้เฟยยังได้รับพระราชทานผ้าไหมงดงามและเครื่องประดับอีกหลายชิ้น นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่นางได้รับของพระราชทานจากไทเฮา
เพราะเช่นนี้ยิ่งสร้างความริษยาให้แก่พี่น้องผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะองค์หญิงสิบที่ไม่ชอบให้ผู้ใดมาแย่งความโปรดปรานของตนเอง