ตอนที่12 ไอ้ลูกแหง่มาหาป๊ะป๋ามา
โอ… ดูสิว่าผมเจอใคร
ไอ้ลูกแหง่ขี้แพ้ชอบร้องไห้ขี้มูกโป่งไปฟ้องแม่นี่เอง วีรกรรมของผมกับไอ้ลูกแหง่นี่ยาวเป็นหางว่าว หากจะเล่ากันสามวันสี่คืนก็ไม่จบ
ตอนพ่อมีชีวิตอยู่ชอบบอกกับผมเสมอว่าโชคชะตามักเล่นตลกกับเราเสมอ และหลายต่อหลายครั้งเป็นตลกร้ายที่ขำไม่ออกเสียด้วยสิ ผมมาคิดถึงคำพูดประโยคนี้ของพ่อก็อีกตอนที่พ่อจากผมไปแล้วผมถูกส่งไปอยู่สถานสงเคราะห์อยู่ที่นั่นได้หกเดือน ก็ถูกส่งไปบ้านพักพิงหรือบ้านเด็กกำพร้าอะไรสักอย่างนี่แหละ ผมอยู่ที่นั่นได้ปีกว่า วันหนึ่งเจ้าหน้าที่หน้าโหดซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับผมมาตลอดก็เดินยิ้มกริ่มเข้ามาหาผม พูดจาหวานหูเสียจนผมนึกว่าหมอนั่นคงพี้ก***าจนเกินขนาดแน่ๆ
แต่ผมคิดผิด…
เจ้าหน้าที่ของสถานสงเคราะห์หน้ายักษ์คนนั้นบอกผมว่าผมมีญาติมาหา
ญาติ… คำนี้ไม่เคยอยู่ในหัวของผมมาก่อนเลย ตั้งแต่จำความได้ผมมีแค่พ่อกับแม่เท่านั้น แม่รีบตีตั๋วขึ้นสวรรค์หนีเราสองคนพ่อลูกไปก่อนด้วยโรคร้ายที่ไม่มีใครคาดคิด จากนั้นไม่กี่ปีพ่อผมคงกลัวว่าแม่จะเหงาเลยรีบตามไปอยู่เป็นเพื่อน ทิ้งผมเอาไว้ในโลกอันโหดร้ายใบนี้เพียงลำพัง กระทั่งวันนี้ผมกลายเป็นคนมีญาติขึ้นมาซะงั้น
“มีญาติรวยก็ไม่บอกนะครับคุณเกรียน”
สีหน้ารวมไปถึงแววตาของเจ้าหน้าที่คนนั้นที่เปลี่ยนไปทำให้ผมรู้ถึงอำนาจของคำว่า ‘เงิน’ ว่ามันมีอิทธิพลกับชีวิตเรามากมายขนาดไหน ในวันนั้น ผมถูกพาไปพบกับคนกลุ่มหนึ่ง มีผู้หญิงแก่ๆ แต่งตัวดีมีชาติตระกูลนั่งอยู่หัวโต๊ะ ท่าทางของนางใจดี ขนาบข้างด้วยชายหญิงที่หน้าตาไม่ค่อยรับแขกสักเท่าไหร่ ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าหญิงชราก็คือย่าของผม ส่วนชายหญิงที่มาด้วยก็คือลุงและภรรยาของแก
“นี่นะหรอลูกชายอาตี๋เล็ก”
เสียงของหญิงชราที่เอ่ยขึ้นสั่นเครือ แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความรักความเอ็นดู แต่นั่นทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจซะมากกว่า
“ชื่ออะไรล่ะ”
“เกรียน” ผมตอบกลับไปห้วนๆ
“พูดจาให้มีหางเสียงหน่อย รู้ไหมกำลังพูดอยู่กับใครนี่อาม่าของแกนะ พ่อแกไม่เคยสั่งสอนหรือไงว่าควรพูดอย่างไรกับผู้ใหญ่”
ตาลุงทำเสียงดุใส่ผม ในขณะที่เมียของแกชักสีหน้าดูถูกเหยียดหยามราวกับผมเป็นกิ้งกือไส้เดือน
“พอๆ อย่าไปดุอีเลย อาเกรียนเข้ามาหาอาม่ามา” หญิงชรากวักมือเรียกผมเข้าไปหา แล้วเรื่องราวต่างๆ ราวกับนิทานก็พรั่งพรูเข้ามาในหัวของผม
จากไอ้เกรียนเด็กกำพร้าผู้น่าสงสารกลายมาเป็นหลานของอาม่า ทายาทมหาเศรษฐีซะงั้น
แต่เดี่ยวก่อน เรื่องของผมมันไม่ได้จบสวยหรูเหมือนเทพนิยายหรอกนะ เพราะก้าวแรกที่ผมเข้าไปในคฤหาสน์หลังนั้นผมก็เจอกับไอ้ลูกแหง่ที่ยืนทำหน้าเอ๋อๆ อยู่ในครัวตอนนี้
“ไอ้กาฝาก ไอ้กาฝาก ไอ้กาฝาก”
และนั่นก็คือคำทักทายคำแรกที่ผมได้ยินจากมัน
“กาฝากพ่องสิ นี่แหน่ะ”
ผมทักทายมันตอบกลับไปด้วยกำปั้นเข้าเต็มๆ ที่เบ้าตา จากนั้นคุณลุงและเมียรักของแกก็เข้ามาเล่นงานผมซะยกใหญ่แทบจะไล่แห่ผมออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่แทบไม่ทัน ดีที่ได้อาม่าเข้ามาไกล่เกลี่ยจนเรื่องสงบลง ผมถูกส่งตัวไปพักอยู่เรือนคนรับใช้แทนที่จะได้ขึ้นไปอยู่บนเรือนใหญ่
แต่มันก็ดีกว่าในบ้านเด็กกำพร้าเยอะแยะ