คืนนั้น สมาชิกแก๊งองค์กรลับใต้ดินทั้งหมดยกเว้นบัวบก รวมตัวกันออกปฏิบัติการซ้ำอีกครั้งตามแผนการของพักตรา ราวกับจะเป็นการท้าทายกฎหมายและตำรวจ ท่ามกลางการประโคมข่าวของบรรดาสื่อมวลชน ยิ่งทำให้ผู้เกี่ยวข้องกับคดีทั้งหลายพากันใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นสุข ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมาอีก 1 คืนแล้วก็ตาม
“หายไปกับเงามืดเกือบ 1 อาทิตย์ หลังการบุกเข้าจับกุมระหว่างออกปฏิบัติการโดยฝีมือของเจ้าหน้าที่กองปราบปราม วันนี้แก๊งองค์กรลับใต้ดินออกอาละวาดอีกแล้วครับ คืนก่อนบ้านส.ส.วิชิต ส่วนคืนที่ผ่านมาเป็นคิวของ ส.ว.อวยชัย...”
ธนูเปิดโทรทัศน์ดูสกู๊ปข่าวพิเศษภาคดึก แต่ไม่ทันจะรู้เรื่องเท่าไหร่ หมอนหนุนใบเขื่องก็ลอยเฉี่ยวหัวไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด
“อะไรของเธออีกล่ะ เดี๋ยวก็โดนข้อหาทำลายทรัพย์สินราชการอีกกระทงหรอก” ชายหนุ่มหันไปโวยวายเอาเรื่องของเจ้าของการกระทำอันป่าเถื่อน ไร้อารยธรรม
“นายนั่นแหละลงใจยั่วโมโหฉัน จะเปิดดูอะไรนักหนา แค่มานั่งเฝ้านอนเฝ้าให้รำคาญ ยังไม่ใจพออีกหรือไง !” บัวบกเท้าเอวหน้าบูด เข้ากับเสียงเขียวๆ ที่ใช้
“คิดว่าฉันอยากมานอนเฝ้าเธอมากหรือไง ฉันสงสารผู้กองที่ต้องเทียวไปเทียวมา ทั้งทำคดีทั้งเฝ้าเธอจนเป็นไข้ต่างหาก ! " ธนูตอบเซ็งๆ พร้อมกับเร่งเสียงโทรทัศน์ให้ดังขึ้น
“นี่คือสภาพบ้านหลังการถูกปล้นครับ จะเห็นได้ว่าไม่มีห้องไหนถูกรื้อค้นเลยนอกจากห้องครัว ทั้งอาหารแห้งและอาหารปรุงสำเร็จไม่มีเหลือเลยครับ แถมเครื่องปรุงทั้งหลายยังถูกลำเลียงขึ้นไปใช้ในการแต่งหน้าให้เจ้าบ้านด้วย ตามรูปเลยครับ นี่คือใบหน้าของท่าน ส.ว.อวยชัยและภรรยา บีฟอร์แอนด์อาฟเตอร์ ก่อนและหลังการปล้น แทบจำเค้าเดิมไม่ได้เลย ขาวๆ ที่รองพื้นอยู่ทั่วหน้านี่คาดว่าคงเป็นแป้งชุบไข่ครับ สีแดงนี่คงเป็นซอสมะเขือเทศ...”
เสียงรายงานของผู้สื่อข่าวในโทรทัศน์เป็นดั่งเข็มแหลมคมนับพันๆ เล่ม ที่ทิ่มแทงลงบนหัวใจและร่างกายของบัวบก เสมือนกับเธอได้ถูกบังคับส่งตัวไปเข้าคอร์สฝังเข็มอย่างไรอย่างนั้น
“พอได้แล้ว ! ดูไปแล้วมันได้อะไรขึ้นมา พ่อนายสั่งให้เลิกยุ่งกับคดีพวกฉันไม่ใช่หรือไง” บัวบกลุกเดินไปปิดโทรทัศน์ ท่าทางโมโหๆ แต่ธนูก็รู้ว่านั่นคือสิ่งที่ทำเพื่อกลบเกลื่อนเท่านั้น
“ทำไม ! อายที่ต้องไปปล้นของกินเขาหรือไง นี่แหละที่เธอทำเพื่อปากท้องตัวเอง ไม่ใช่เพื่อคนเดินดินทั้งประเทศ หรือเธอจะเถียงว่าของกินพวกนั้น เธอเอาไปบริจาคตามมูลนิธิด้วย พวกของแห้งก็ยังพอว่า แต่พวกอาหารปรุงสำเร็จเนี่ย กว่าจะถึงเช้าต้มจืดหมูสับกับแกงหมูคงบูดแล้วมั้ง” ชายหนุ่มแกล้งขุดคุ้ยเรื่องต่างๆ ขึ้นมาแทงใจดำบัวบก แล้วลุกหนีไปที่ประตู คล้ายตั้งใจจะปล่อยให้อีกฝ่ายคลุ้มคลั่งอยู่คนเดียว
“อีตาบ้า ! นายเห็นหรือไง พูดเหมือนรู้ดีไปหมดซะทุกเรื่อง” บัวบกเถียงข้างๆ คูๆ แต่ใช้ตัวช่วยเป็นเสียงเขียวๆ เข้าข่มไว้ก่อน
“ก็เพราะเห็นไง ! ของพวกนั้นถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน เธอ นายขจร นายประยุทธ์ 3 คนพอดี ถ้าผิดตรงไหนก็เถียงมาได้เลย ไปออกแรงปล้นเขามา เลยต้องเติมพลังงานสินะ”
คำตอบของธนูทำเอาบัวบกยืนสะอึกอีกรอบ
“นะ... นั่นฉันเอาไปเลี้ยงหมาแถวมูลนิธิต่างหาก กะ... ก็ทีนายล่ะ ยังหลอกพาผู้หญิง 2 คนไปประมูลหมวกแก๊ปคุณชวินเลย” เธอหาเรื่องมาเถียงธนูจนได้ แม้มันจะไม่เกี่ยวข้องกันเลยก็ตาม แต่นั่นเองที่ทำให้ชายหนุ่มชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตู พร้อมกับหันขวับมาจ้องหน้าบัวบกจนเธอสะดุ้ง
“อย่ายุ่งกับผู้หญิง 2 คนนั้นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน !”
เสียงขุ่นๆ กับใบหน้าถมึงทึงของธนู ทำเอาบัวบกปิดปากที่กำลังจะเถียงต่อแทบไม่ทัน
“คบผู้หญิงทีละ 2 คน แถมไม่ยอมสับรางอีก คนอะไรหน้าหนาชะมัด !” เธอแอบบ่นอยู่คนเดียว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายออกไปจากบ้านแล้ว
“ผู้หญิงอะไรตาไวเป็นบ้า แต่ 2 คนนั้นแต่งหน้ากันขนาดนั้นคงไม่มีใครจำตัวจริงได้หรอกมั้ง” ธนูเองก็ยืนบ่นอยู่หน้าประตู แต่กลับต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นในความเงียบของราตรี
“อ้าว ! คุณธนู ผมนึกว่าเป็นผู้กองซะอีก” พงศ์เดินยิ้มร่าเข้ามา ใบหน้ายามต้องแสงไฟถนนมองดูคล้ายซอมบี้ร่างอ้วนกำลังฉีกยิ้มอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์สุกสกาว
“ผมเห็นผู้กองเป็นไข้ เลยกล่อมให้กลับไปนอนที่บ้านแล้วล่ะครับ เดี๋ยวเป็นหนักขึ้นมาถึงขั้นหามส่งโรงพยาบาลจะยุ่ง เอ่อ... แล้วที่ผมขอให้พี่พงศ์ช่วยสืบ ได้เรื่องอะไรบ้างไหมครับ ?” ธนูตอบยิ้มๆ แล้วถือโอกาสถามถึงเรื่องที่ค้างคากันอยู่
“แหม ! ก็ต้องได้สิครับ แต่กว่าจะจิ๊กรูปสเกชต์ไปถ่ายเอกสารได้ ก็แทบเอาตัวไม่รอดเหมือนกันครับ” พงศ์พูดพร้อมกับล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากกระเป๋ากางเกง และคลี่ส่งให้ธนู
“ขอบคุณครับ” ธนูรับกระดาษมาเพ่งมองรูปสเกชต์ในมือ แล้วเงยหน้าขึ้นมองหลอดไฟเหนือศีรษะ ซึ่งมีแมลงเม่าบินมาเกาะอยู่เต็ม จำต้องหันไปหาพงศ์อีกรอบ “พี่มีไฟฉายไหมครับ ?”
“สองกระบอกไปเลยครับ จะได้เห็นชัดๆ” สิบตำรวจรุ่นพี่ส่งไฟฉายที่เหน็บอยู่ที่เอวให้กระบอกหนึ่ง มืออีกข้างถือไฟฉายอีกกระบอกบริการส่องให้แบบรวดเร็วทันใจ ด้วยลำแสงแบบสปอร์ตไลท์ มองเห็นลึกถึงรูขุมขน
“ขอบคุณมากครับ” ธนูรับไฟฉายมาเปิด แล้วนั่งลงเพ่งมองรูปภาพในมืออีกครั้ง
...มันคือใบหน้าของหญิงสาว 1 ในสมาชิกแก๊งองค์กรลับใต้ดินผู้เข้ามาแทนที่บัวบก โดยการสเกชต์ภาพจากคำบอกเล่าของพยานในที่เกิดเหตุ และแม้จะถูกบังด้วยหมวกไอ้โม่ง จนมองเห็นเพียงดวงตากลมโตคู่นั้น ถึงอย่างนั้นก็มั่นใจว่าหากบังเอิญได้เดินสวนกันบนถนน เขาจะต้องนึกสะกิดใจแน่ เพราะคงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่มีดวงตาฉายแววเลือดเย็นได้ขนาดนี้อีกแล้ว !
“แล้วเรื่องทำร้ายร่างกายนั่นล่ะครับ เจ้าทุกข์ให้รายละเอียดอะไรบ้างไหมครับ ?” ชายหนุ่มหันไปถามสิ่งที่อยากรู้ต่อ
“คนร้ายเป็นคนเดียวกันครับ ดูเหมือนเขาจะโกรธ แล้วก็พาลทำร้ายทุกคนที่เข้าไปขวางเขา ไม่ให้เข้าถึงตัวส.ส.วิชิต ทุกคนให้การตรงกันว่าท่าทางเหมือนคนคลุ้มคลั่งไร้สติ ขนาดหัวหน้าแก๊งที่เข้าไปห้ามยังโดนทำร้ายด้วยเลย” พงศ์ใส่อารมณ์เสียจนเผลอพ่นฝอยละอองออกมาจากปากด้วย
“ขนาดนั้นเลยหรือครับ ?” ธนูนิ่วหน้าถามย้ำ
“ครับ ท่าทางหัวหน้าแก๊งจะเป็นคนดีนะครับเนี่ย” อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกๆ พลางแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลที่ตำรวจทั้งหลายไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
“นั่นสินะครับ” ธนูตอบยิ้มๆ แล้วลุกขึ้นยืน พลอยให้พงศ์ต้องลุกขึ้นยืนไปด้วย “เดี๋ยวผมขอยืมไฟฉายก่อนนะครับ ว่าจะไปเดินดูแถวนี้สักหน่อย” เขาบอกระหว่างพับกระดาษใส่กระเป๋ากางเกง
“มืดออกนะครับคุณธนู มีตำรวจยืนเฝ้ารอบบ้านอยู่แล้ว ไม่มีอะไรหรอกครับ เดี๋ยวไปเหยียบงูหรือตะขาบเข้า ท่านได้เล่นงานผมตายแน่เลย” พงศ์แย้ง สีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยู่กับความมืดจนชินแล้ว แถมใส่กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบอีกต่างหาก ส่วนเรื่องพ่อ ถ้าผมเป็นอะไรเพราะการกระทำของผมเอง คนที่จะโดนเล่นงานซ้ำก็คือผมครับ ไม่ใช่พวกพี่ๆ แน่” ธนูตอบยิ้มๆ ก่อนจะเดินถือไฟฉายส่องไปรอบๆ ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมครุ่นคิดอีกครั้ง
“คุณธนูขยันจังเลยนะครับ”
เสียงทักทายดังมาจากบรรดาตำรวจที่ยืนเฝ้าอยู่รอบตัวบ้าน ซึ่งธนูก็ได้แต่ยิ้มรับพลางมองสำรวจไปเรื่อยๆ กระทั่งเหยียบเข้ากับอะไรบางอย่าง
กร๊อบ !
เสียงคล้ายบางสิ่งแตกหักอยู่ใต้พื้นรองเท้า ทำให้ธนูจำต้องหยุดเดินและย่อตัวลงตะแคงเท้า พร้อมกับส่องไฟฉายดูให้รู้แน่
“หมากฝรั่ง ?” ชายหนุ่มนิ่วหน้า เขาคงคิดว่ามันเป็นแค่หมากฝรั่งธรรมดาที่คนอื่นเคี้ยวแล้วคายทิ้งไว้ ถ้ามันไม่มีเสียงเหมือนอะไรแตกด้วย หึ ! คงไม่ใช่เม็ดมะขามคลุกหรอกนะ ธนูหัวเราะฝืดๆ ขณะแกะสิ่งที่อยู่ข้างในหมากฝรั่งออกมาดู
“นี่มัน !!” เขาเบิกตากว้างกับสิ่งที่อยู่ในนั้น มันคือเครื่องส่งสัญญาณวิทยุชนิดความถี่ต่ำ ซึ่งนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ และแน่นอนว่ามันต้องเป็นของแก๊งนายชวิน พวกนั้นคงสืบจนรู้ว่าบัวบกอยู่ที่ไหน แล้วแอบติดหมากฝรั่งห่อเจ้าเครื่องนี่ เข้ากับรถของตำรวจคนใดคนหนึ่งที่ต้องมาอยู่เวรเฝ้าที่นี่
...หมากฝรั่งที่เริ่มแห้งและหลุดร่วงลงมาที่พื้น บ่งบอกว่าพวกนั้นคงรู้ที่อยู่ที่แท้จริงของบัวบกหลายวันแล้วว่าเป็นที่นี่ ไม่ใช่ที่กองปราบปรามตามที่ทางตำรวจปล่อยข่าวออกไป แต่ก็ช่างเถอะ ในเมื่อพวกเขาต่างก็เตรียมพร้อมกับเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วเหมือนกัน
“พี่พงศ์ครับ เสื้อเกราะกันกระสุนที่ผมทำมาให้ เอาให้ทุกคนใส่กันครบแล้วใช่ไหมครับ ?” ธนูเดินกลับมาหาพงศ์ที่หน้าประตูบ้าน พร้อมคำถามที่ทำให้อีกฝ่ายนิ่วหน้าสงสัย
“ครับ คุณธนูไปเจออะไรมาหรือครับ ?” เจ้าของหุ่นมะขามข้อเดียวถามกลับด้วยอาการวิตก
“เครื่องส่งสัญญาณครับ พวกนั้นคงรู้แล้วว่าเป็นที่นี่” ชายหนุ่มแบมือที่กำแน่นมาตั้งแต่เมื่อครู่ออก เผยให้เห็นเครื่องส่งสัญญาณรูปวงกลมขนาดจิ๋ว ซึ่งบัดนี้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากแรงเหยียบ
“ถึงว่าสิครับ เวลาใช้โทรศัพท์มือถือทีไร เหมือนมีคลื่นแทรกทุกที หลงนึกว่าแถวนี้สัญญาณไม่ดีเสียอีก ที่แท้ก็เครื่องนี่ ใช้แบบสัญญาณต่ำ เลยไม่มีใครเอะใจสักคน” พงศ์หยิบเศษเล็กเศษน้อยเหล่านั้นขึ้นมาดู สีหน้าเคร่งเครียดขึ้น “แต่คงไม่เป็นไรมั้งครับ พวกนั้นมีกันแค่ 5 คน ถึงจะบุกมาแบบไม่ทันตั้งตัว ก็คงสู้พวกเราตั้ง 15 คนไม่ได้ ต่างกันทั้ง 3 เท่า”
“คงอย่างนั้นมั้งครับ” ธนูตอบขรึมๆ ท่าทางไม่มั่นใจ เพราะไม่รู้ว่าลูกน้องของชวิน นอกเหนือจากคนที่ขับเฮลิคอปเตอร์มารับวันนั้นแล้ว ยังมีอีกกี่คน พลอยทำให้พงศ์ที่พยายามยิ้มสู้ปลอบใจตัวเอง เป็นกังวลไปด้วย
“ขอกำลังเสริมมาช่วยดีไหมครับ ?” พงศ์เสนอความคิด
“เรายังไม่รู้นะครับว่าพวกนั้นจะบุกมาวันนี้หรือเปล่า แล้วถ้าเกิดโทรไปเจอพ่อล่ะก็ โดนสวดเละกันหมดแน่ เพราะวันนี้พ่ออยู่เวรที่กองปราบฯ แทนตำรวจที่มาเฝ้าที่นี่ แล้วก็ยังไม่รู้ด้วยว่าผมมาอยู่เวรที่นี่แทนผู้กอง” ธนูถอนหายใจหนักๆ แล้วหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เป็นเหตุให้เสียงเขียวๆ ของหญิงสาวที่กำลังเคลิ้มหลับ อยู่บนที่นอนปิกนิกตรงกลางโถงดังขึ้นอีกครั้ง
“ตาบ้า ! มายืนคุยกันหน้าประตู แล้วยังจะเปิดประตูเข้ามาให้ไฟแยงตาฉัน ให้ยุงมันบินเข้ามากัดฉันอีกหรือไง มารยาทน่ะมีไหม !” บัวบกลุกพรวดขึ้นนั่ง หน้าตาบูดบึ้งบอกบุญไม่รับ
“พี่พงศ์ครับ ผมขอยืมกุญแจมือหน่อย” ธนูไม่ตอบ แต่หันไปบอกพงศ์ มือยื่นไปรอรับสิ่งที่ร้องขอ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมส่งให้แบบงงๆ
“นี่นาย ! จะบ้าหรือไง ฉันพูดแค่นี้ถึงกับต้องใส่กุญแจมือกันเลยเหรอ เป็นลูกผู้ดีทนฟังไม่ได้ก็กลับไปนอนดูดนมพ่อซะไป” บัวบกม้วนที่นอนปิกนิกปาใส่ธนูที่เดินย่างสามขุมเข้ามาหา แต่พลาดไปโดนหน้าพงศ์จนเขาหงายหลัง หัวโขกประตู
“โอ๊ย ! มาปาผมทำไมครับเนี่ย” สิบตำรวจหนุ่มกุมทั้งหัวทั้งสันจมูก หน้าเบ้
“เพิ่มข้อหาทำร้ายเจ้าพนักงานอีก 1 กระทง” ธนูพูดขณะที่ยังคงถือกุญแจมือเดินตรงเข้ามาหาบัวบก จนเธอต้องถัดตัวหนี
“นั่นฉันจะปานายต่างหาก นี่ ! ถ้าเข้ามา ฉันสู้ยิบตาแน่” หญิงสาวมิวายใช้คำข่มขู่เป็นอาวุธ
“ยิ่งต้องเพิ่มโทษข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานเลย อย่าลืมสิว่าฉันเป็นสายสืบสังกัดกองปราบปราม แถมวันนี้ยังมาปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าหน้าที่ด้วย โดนชุดใหญ่แน่คุณบัวบก” ชายหนุ่มใช้คำพูดประเภทเดียวกันสวนกลับ
“ขู่ฉันเหรอ ! อีตามนุษย์บ้าอำนาจ ! ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งหลายวันแล้ว ไม่เห็นมีใครคิดจะใส่กุญแจมือฉันสักคน ตำรวจตั้งมากมายขนาดนี้ใครจะไปหนีได้ จิตหลอนหรือไง” บัวบกพยายามใช้พลังเสียงเข้าข่ม แต่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์ เพราะประสาทหูของธนูชาชินกับเสียงประเภทนี้เสียแล้ว
“แค่ป้องกันไว้ก่อน พรุ่งนี้เช้าฉันจะไขให้”
คำพูดแต่ละคำของธนู ยิ่งทำให้บัวบกหัวเสียหนักขึ้นๆ สมองคิดหาแต่ประโยคที่จะเอามาใช้โต้เถียงกับเขา จนเผลอปล่อยให้ชายหนุ่มประชิดตัวได้ และกว่าจะรู้ตัวข้อมือทั้ง 2 ข้างของเธอ ก็ถูกเขาใส่กุญแจมือเรียบร้อยเสียแล้ว
“ตาบ้า ! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ แบบนี้ถ้าฉันจะเข้าห้องน้ำจะทำยังไง” เธอโวยวายเสียงลั่นทุ่ง
“ก็บอกแล้วไงว่าพรุ่งนี้เช้าจะไขให้ นอนไปซะ ถ้าปวดห้องน้ำจริงๆ ฉันจะพิจารณาเป็นกรณีไป” ธนูตอบกวนๆ ตรงข้ามกับสมองที่กำลังคิดหาวิธีจัดการปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างเคร่งเครียด “พี่พงศ์พอจะมีกำลังเสริมส่วนไหนที่อยู่ใกล้ๆ แล้วก็ไม่มีการรายงานไปเข้าหูพ่อบ้างไหมครับ ?“ เขาหันไปถามพงศ์อีกครั้ง
“ก็น่าจะเป็น สน.ตรงหัวถนนนี่แหละครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าตำรวจที่มาสมทบได้จะมีกี่คน คุณธนูจะให้วิทยุติดต่อไปไหมครับ ?“ อีกฝ่ายถามกลับ และรีบใช้วิทยุสื่อสารติดต่อไปยังสถานีตำรวจละแวกใกล้เคียง ทันทีที่ได้รับการยืนยันจากชายหนุ่ม
“โอ๊ย ! คนพวกนั้นไม่ไปที่นั่นหรอกครับผม ทีวีพึ่งจะออกข่าวว่าแก๊งองค์กรลับใต้ดินบุกปล้นบ้าน ส.ส.แถวสีลม กว่าจะถ่อสังขารมาถึงนี่ก็คงเช้าพอดี ฮ่าๆ ๆ ๆ“ ร้อยเวรผู้ได้รับการติดต่อขอกำลังเสริมหัวเราะปิดท้ายประโยค แต่แล้วตอนนั้นเอง...
ปังๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
“อ๊ากกกกกกก !!“
เสียงปืนกลดังแทรกเข้ามาในวิทยุ ตามด้วยเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดของร้อยเวรประจำ สน. ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสงบลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นเวลาเดียวกับเกิดเสียงเอะอะบริเวณด้านนอกตัวบ้านแทน
“เฮ้ย ! ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ !?”
สิ่งที่ได้ยินทำเอาทั้งธนูและพงศ์ชะงัก หันมาสบตามองหน้ากันด้วยความตกใจ
“คราวนี้แผนของพวกนั้นเหนือเมฆมากครับ ไม่ผิดแน่ ถึงจะขอกำลังเสริมมาก็คงไม่ทันอยู่ดี” ธนูเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังซึ่งชี้บอกเวลาเที่ยงคืน เวลาออกปฏิบัติการของแก๊งองค์กรลับใต้ดิน “ทั้งคนที่หนี และพวกที่พาหนีจะถูกเพิ่มข้อหา เพิ่มโทษหนักกว่าเดิม ท่องไว้ให้ขึ้นใจล่ะ !” เขาบอกบัวบก แล้วดึงปืนพกที่ภูผาให้ไว้ออกมาเตรียมพร้อม เช่นเดียวกับพงศ์ที่ดึงปืนพกจากเอวมาถือไว้
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น คุณธนูคอยยิงสมทบอยู่ข้างหลังไว้นะครับ พวกผมจะคุ้มกันให้เอง” สิบตำรวจหนุ่มบอกอีกฝ่าย ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต้องคอยปกป้องคุ้มครองลูกชายเจ้านาย
“ไม่เป็นไรครับ ผมเคยเจอพวกนั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง พอจะรู้ฝีมือกันอยู่” ธนูตอบอย่างคนที่อยู่ในฐานะผู้รักษาการแทนหัวหน้าหน่วย แล้วเป็นฝ่ายเดินนำพงศ์ออกไป โดยมีสายตาของบัวบกมองตามหลังด้วยความกังวล
“บัวบกอยู่ที่ไหน ถ้าไม่บอกพวกฉันจะลุยเข้าไปหาเอง !” ชวินตะโกนออกมาจากมุมมืดของพงหญ้ารกด้านหน้าตัวบ้าน เป็นเวลาเดียวกับที่ธนูเปิดประตูออกมาพอดี
“ห่วงแฟนเหลือเกินนะครับคุณชวิน แบบนี้น่าจะเก็บไว้ที่บ้านตั้งแต่แรกมากกว่ามั้ง” ธนูตะโกนตอบกวนๆ ยิ่งทำให้ผู้รับสาสน์โกรธจัด
“แกอีกแล้วเหรอ เป็นตำรวจหรือไงถึงได้มาเจ๋ออยู่ที่นี่ หรือคิดว่าตัวเองแน่ อย่าลำพองตัวให้มันมากนัก ถ้าคราวที่แล้วแกไม่ใช้วิธีสกปรก บัวก็คงไม่ถูกจับได้หรอก !”
เวลานี้หัวหน้าแก๊งหนุ่มโกรธเสียจนใบหน้าขาวๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงลามไปถึงหูทีเดียวเชียว
“อย่างนั้นเหรอครับ แล้วที่พวกคุณใช้ยาชากับตำรวจครึ่งกองร้อย แถมยังตัดไฟลิฟต์คอนโดชาวบ้าน เพื่อเอาตัวรอดนี่เรียกวิธีอะไรดีครับ ?”
คำตอบโต้ของธนูทำเอาบรรดาตำรวจแต่ละนายยิ้มชอบใจ ตรงข้ามกับชวินและพรรคพวกส่วนหนึ่งที่ยิ่งเดือดดาลหนัก
“พวกแกมันก็ดีแต่ย่ำยีประชาชนเท่านั้นแหละ !” ขจรชี้หน้าธนู และมองกราดไปทั่วราวกับโกรธแค้นมาแต่หนไหน
“อย่ามาทำเป็นเก่งหน่อยเลย นายมันก็มีฝีมือแค่จับผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้มากกว่าล่ะมั้ง” ลิชลพลอยผสมโรงด้วยความหมั่นไส้จอมกะล่อนฝ่ายตรงข้าม
“แล้วก็อย่าคิดว่าจะทำอะไรพวกฉันได้อยู่ฝ่ายเดียวนะ !” ชวินเดินออกมาจากมุมมืด พร้อมกับเล็งปืนในมือไปที่ธนู เป็นเหตุให้ธนูกับตำรวจทั้งหมดต้องเล็งไปที่เขากับพรรคพวก และทำให้ลิชล ขจร พักตรา ประยุทธ์ต้องยกปืนของตัวเองขึ้นเล็งไปที่พวกตำรวจเช่นกัน
“พกของอันตรายแบบนี้มีใบอนุญาตหรือเปล่า โทษหนักนะจะบอกให้” ธนูตะโกนบอกชวิน แต่คนที่ชิงตอบแทนกลับเป็นพักตรา
“ขออวยพรให้คุณตำรวจโชคดี กลับไปแจ้งข้อหาได้ก็แล้วกันนะคะ”
น้ำเสียงของเธอทั้งเย้ยหยันและเหยียดหยาม
“ว่าไงนะ !” พงศ์กัดฟันกรอด รู้สึกเหมือนกำลังถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
“คุณชวินพร้อมหรือยังล่ะคะ ?” พักตรายิ้มเยาะอยู่ในความมืด แล้วหันไปถามหัวหน้าแก๊งตัวเองบ้าง
“ฉันพร้อมมาตั้งนานแล้ว เธอนั่นแหละอย่ามัวแต่โอ้เอ้คุยกับคนพวกนี้ !” ชวินตอบฉุนๆ นิ้วชี้เตรียมเหนี่ยวไก ทว่าคนที่ไวกว่ากลับเป็นพักตรา
ปังงง !
หญิงสาวยิงปืนขึ้นฟ้า เสมือนเป็นการให้สัญญาณการดวลระหว่าง 2 ฝ่าย แต่เปล่าเลย... เพราะหลังจากนั้นห่ากระสุนจากทุกทิศทุกทางก็พุ่งเข้าใส่ธนูกับตำรวจทั้งหมด จนทุกคนล้มคว่ำไม่เป็นท่า เสียงปืนกลดังรัวต่อเนื่อง ราวกับเสียงปีศาจกระหายเลือดที่กรีดร้องดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณ แรงกระสุนเฉียดผ่านหัวชวินกับพรรคพวก จนพวกเขาอดเสียวสันหลังไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นอกจากพักตราที่ยืนยิ้มอย่างพอใจอยู่ในความมืด ท่ามกลางเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของบรรดาเหยื่อตรงหน้า
“นะ... นี่มันอะไรกัน ทะ... เธอทำอะไร !?” ชวินมองภาพตำรวจที่นอนเรียงราย หลังเสียงปืนสงบด้วยอาการตกตะลึง เขาแค่ต้องการมาช่วยบัวบก แต่กลับต้องพบเจอเหตุการณ์แบบนี้ และต้นตอที่ทำให้มันเกิดขึ้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก...
“รีบไปช่วยคุณบัวบกสิคะ คุณประยุทธ์ออกหน้าไปก่อนแล้วนะ เดี๋ยวก็เสียแผนหมด” พักตรายิ้มให้ชายหนุ่ม แต่กลับถูกชวินตวาดสวน
“ฝีมือเธอใช่ไหม ไม่สิ ! ไม่มีใครนอกจากเธอต่างหาก รู้ไหมว่าทำอะไรลงไป ถ้าพวกนั้นตายหมู่ขึ้นมาล่ะก็ เรื่องใหญ่แน่ พวกเราจะติดคุกกันหมด”
เสียงของเขาสั่น ความรู้สึกวิตกกังวล หวาดกลัว และสับสน ถาโถมเข้ามาชนิดที่ชายหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัว
“ก็แล้วคุณจะห่วงอะไรล่ะคะ ในเมื่อมันเป็นฝีมือฉัน ฉันจัดการเองได้ คุณต่างหากล่ะที่ลืมว่ามาที่นี่เพื่ออะไร” เจ้าของผมม้าชักสีหน้าไม่พอใจ ไม่สบอารมณ์ในคำพูดและความอ่อนแอของอีกฝ่ายเช่นกัน
“ฉันมาเพื่อช่วยบัวบก ไม่ได้ต้องการให้มันกลายสภาพเป็นถึงขนาดนี้ !” ชวินย้ำเจตนารมณ์ของตัวเอง
“คุณจะมาโอดครวญอะไร โจรน่ะยังไงมันก็คือโจร ขึ้นหลังเสือแล้วจะลงได้ยังไง ถ้าคิดแบบนั้นก็ไม่ควรจะมาเป็นโจรตั้งแต่แรกแล้ว มันสายไปแล้วที่จะมาคิดได้เอาป่านนี้ ทำตามแผนให้จบได้แล้วค่ะ พวกเราจะได้กลับ !”
คำพูดของพักตราทำให้ชวินถึงกับยืนอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ขณะเดียวกันทั้งภายในและภายนอกบ้านพักก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว
...ประยุทธ์ใช้ความว่องไว อันเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่มนุษย์อ้วนกลมคนอื่นไม่อาจลอกเลียนแบบได้ ลอบเข้าไปในช่วยบัวบกได้สำเร็จ ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“วอหนึ่งเรียกวอเก้า ขอกำลังเสริมที่สองสามสี่แปด ย้ำ ! ขอกำลังเสริมที่สองสามสี่แปด เหตุบุกเข้าชิงตัวผู้ต้องหา” จ่าวัยกลางคนฝ่ายประสานงานประจำหน่วย ลุกขึ้นวิทยุแจ้งเจ้าหน้าที่หน่วยอื่นที่อยู่ใกล้เคียง
เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่ค่อยๆ ทยอยกันลุกขึ้นจับปืนอีกครั้ง ถึงแม้จะทั้งจุกและได้รับบาดเจ็บตามแขนขา แต่ไม่มีใครที่ถูกกระสุนตรงจุดสำคัญ... จะเรียกว่าเสื้อเกราะกันกระสุนของธนูช่วยชีวิตก็ว่าได้ !
“ล็อคประตูไปก็ไม่มีประโยชน์ ทางออกมีทางเดียว ยอมมอบตัวซะ โทษจะได้ไม่หนักไปกว่านี้ !” จ่าอีกคนทุบประตูบอกบัวบกและประยุทธ์ แต่เสียงที่ดังตอบมาก็มีเพียงเสียง ‘ก๊อกๆ แก๊กๆ’ เท่านั้น
“ข้างหลัง... ครับ สองคน... นั่น... อาจจะ... เปิดฝ้า... หนี... ออกไป... ทางหลังคา... ด้านหลัง”
เสียงร้องบอกขาดๆ หายๆ ของธนู ทำเอาทุกคนหันขวับมามองเขา ซึ่งกำลังพยายามลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก จากสภาพที่ถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บที่ขาทั้ง 2 ข้าง
“คุณธนู !! อย่าลุกนะครับ เดี๋ยวจะกระเทือนแผล” พงศ์ถลาเข้าไปหาด้วยความตกใจ
“ เร็วครับ ! รีบ... ไปดู... ข้างหลัง... ก่อน” ธนูย้ำคำเดิม โดยไม่ได้สนใจบาดแผลหรือความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จนเจ้าหน้าที่ตำรวจในทีมต้องรีบแบ่งกำลังออกไป
“คงรู้แกวเลยใส่เสื้อเกราะกันกระสุนไว้ หึ ! แต่ลูกชายนายพลฯกองปราบนั่น ก็ท่าทางจะเจ็บหนักไม่เบา อยากอวดเก่งเป็นกองหน้าก็ต้องโดนแบบนี้แหละ” พักตรารีบเดินเร็วนำหน้าพวกชวินกลับมาที่รถ ซึ่งคนของเธอขับมาจอดรออยู่ไม่ห่างจากสถานที่เกิดเหตุ หลังได้รับรายงานสถานการณ์จากหน่วยสอดแนม และคำพูดกับใบหน้าเรียบเฉยของเธอ ก็ทำให้ชวินยิ่งร้อนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ว่าไงนะ ! หมอนั่นเป็นลูกชายนายพลฯ ในกองปราบงั้นเหรอ นี่เธอรู้ทุกเรื่องเป็นอย่างดีเลยงั้นสิ” เขาแทบจะเข้าไปเขย่าตัวพักตรา บังคับคาดคั้นเอาทุกสิ่งทุกอย่างในสมองของเธอออกมา ทั้งที่รู้ดีว่าไม่มีทางทำแบบนั้นได้ เวลานี้เขาเองต่างหากที่ตกเป็นรองผู้หญิงคนนี้เสียแล้ว
“ใครจะไปลงมือทำงานใหญ่โดยไม่สืบสาวราวเรื่องก่อนล่ะคะ วันนี้เราคงต้องถอยก่อน ขืนชักช้าพวกนั้นตามมาทันแน่ !” หญิงสาวราวกับจะออกคำสั่งแทนหัวหน้าแก๊ง ซึ่งไม่มีสติพอจะคิดหาแผนการหนีใดๆ ได้
“แล้วบัวล่ะ อย่าบอกนะว่าจะปล่อยไว้กับประยุทธ์แบบนั้นน่ะ เกิดถูกพวกนั้นจับได้อีกจะทำยังไง !?” ชวินคว้าแขนพักตราที่ทำท่าจะเดินออกไปด้วยความโมโห
“นายนี่มันความจำสั้นหรือไง คราวที่แล้วพวกเราก็เกือบโดนจับกันหมด เพราะนายมัวแต่ห่วงยัยบัวบก ทำตัวให้มันมีความเป็นหัวหน้าแก๊งหน่อยสิ นายต้องห่วงทั้งแก๊ง ไม่ใช่ห่วงผู้หญิงแค่คนเดียว !” ลิชลโพล่งขึ้นฉุนๆ ขณะที่ขจรเอาแต่นิ่งเงียบ
“ก็เพราะบัวเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว แล้วก็ถูกดึงตัวมาลำบากด้วยน่ะสิ ฉันถึงต้องห่วง แกนั่นแหละที่ไม่ยอมเข้าใจอะไร !” ชวินหันขวับไปจ้องหน้าลิชล นัยน์ตาวาวโรจน์
“จะมัวทะเลาะกันให้พวกนั้นตามมาจับหรือไงคะ ยังไงคุณประยุทธ์ก็คงไม่โง่ขนาดให้ตัวเองถูกจับไปด้วยหรอกค่ะ แล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องถูกจับกลับไปนอนคุกคนเดียวเหมือนกัน ถ้าไม่เชื่อก็ดูนั่น !” พักตราพยักเพยิดหน้าไปทางบ้านพัก ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเกือบทั้งทีมกำลังจับกลุ่มประชุมเครียด เพื่อติดตามประยุทธ์กับบัวบกที่หนีออกมาทางฝ้าเพดานอย่างที่ธนูบอกไว้
“วอหนึ่งเรียกวอสอง ขอให้ตั้งด่านสกัดผู้ต้องหาหลบหนี...” จ่าคนเดิมวิทยุแจ้งเจ้าหน้าที่ละแวกใกล้เคียงทุกสถานี ให้ตั้งหาทางปิดล้อมพื้นที่ รวมทั้งกระจายกำลังออกจับกุมสมาชิกแก๊งองค์กรลับใต้ดิน และสมัครพรรคพวกเจ้าของอาวุธสงคราม ซึ่งไม่ทราบว่ามีจำนวนมากน้อยเพียงใด
หวอ ! หวอ ! หวอ !
ความวุ่นวายโกลาหลเกิดขึ้นโดยรอบ เจ้าหน้าที่ในทีมบางส่วนที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แยกตัวออกไปค้นหาประยุทธ์กับบัวบก และอีกส่วนไปสมทบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.ใกล้เคียง เสียงไซเรนรถตำรวจกรีดร้องขึ้นกลางดึกแทบจะทั่วทุกเส้นทาง ลูกไฟสีแดงหมุนวนบอกเหตุร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นใช่ว่าจะบาดลึกเฉพาะแค่หัวใจของผู้คนในละแวกเท่านั้น
“คุณธนูอดทนหน่อยนะครับ เดี๋ยวรถพยาบาลก็มาแล้ว” พงศ์บอกชายหนุ่มซึ่งถูกพยุงมานั่งพิงผนังหน้าบ้านพัก เลือดสีแดงสดยังคงไหลไม่หยุด แม้จะได้รับการปฐมพยาบาลห้ามเลือดเบื้องต้นแล้วก็ตาม ตรงข้ามกับสติของธนูที่ใกล้จะดับลงเต็มทีแล้ว
“แล้วใครจะโทรเรียนให้ท่านทราบล่ะเนี่ย ?” จ่าคนหนึ่งถามขึ้น แต่ไม่มีใครเลยที่จะให้คำตอบได้ นอกจากพากันหันไปมองอาการบาดเจ็บของธนูด้วยความเป็นกังวล กระทั่งเสียงไซเรนรถพยาบาลดังแว่วมา
“คุณธนู ! แข็งใจไว้นะครับ รถพยาบาลมาแล้ว คุณธนูอย่าพึ่งเป็นอะไรไปนะครับ” พงศ์หันไปบอกอีกครั้ง ทว่าชายหนุ่มได้หมดสติไปก่อนหน้านั้นแล้ว จากพิษกระสุนฝังในซึ่งสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้กับเขา อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับบาดแผลและความเจ็บปวดในหัวใจของเขา
“คุณธนู ! ! ทำใจดีๆ ไว้นะครับคุณธนู !!”
แม้แต่ในยามที่ทั้งคู่ถูกพาขึ้นรถพยาบาล สิบตำรวจหนุ่มก็ยังมิวายร้องเรียกลูกชายผู้บังคับบัญชา ซึ่งถูกพาไปขึ้นรถอีกคันในสภาพที่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ สร้างความสะเทือนใจแก่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น และมันคงเป็นรอยแผลลึกในหัวใจไปอีกนาน ตราบใดที่ยังจับกุมตัวคนร้ายในครั้งนี้มาลงโทษไม่ได้ !!