“วันนี้มาซะเย็นเชียวนะ” คนที่ถูกร้องเรียกว่าน้าชื่นเดินออกมารับห่อผ้าพร้อมยื่นเงินค่าจ้างให้กับธีรตา ที่ยืนหอบอยู่หน้าบ้าน
“ติดปัญหาเรื่องยานพาหนะนิดหน่อยน่ะน้า” ธีรตาบอกเสียงเหนื่อยๆ แล้วหันไปมองรถจักรยานแบบเซ็งๆ
“แกก็ซื้อใหม่ซะทีสิ มันเก่าจนไม่รู้จะเก่ายังไงแล้ว แล้วที่มันยังใช้ได้อยู่ทุกวันนี้ก็เป็นบุญของเอ็งแล้ว” น้าชื่นกล่าวแบบติดตลก
“ตั้งหลายพันซื้อไม่ไหวหรอกน้า ฉันว่าจะเอาไปซ่อมอีกสักรอบ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยซื้อ” คนที่เสียดายของและเสียดายเงินตอบกลับด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ เพราะยังไงมันก็ต้องซ่อมได้
“ก็แล้วแต่แกเถอะ แล้วอีกสองวันมารับผ้าด้วย คราวนี้คงได้อีกหลายร้อย เพราะมีคนมาเช่าบ้านเพิ่ม แล้วเขาก็จะเอาผ้ามาซัก แต่ตอนนี้เอ็งรีบกลับบ้านไปเถอะ ป่านนี้ นังนวลแม่แกชะเง้อรอจนเมื่อยคอแล้ว”
“งั้นฉันกลับล่ะ” บอกกล่าวจบแล้วก็หันไปคว้าจักรยานเดินจูงกลับบ้านพร้อมฮัมเพลงไปตลอดทาง บ้างก็แวะทักทายลุงๆ ป้าๆ ที่กำลังเดินกลับบ้านหลังจากมาออกกำลังกายกัน ก่อนที่เธอจะรีบจ้ำอ้าวเมื่อมาถึงที่เปลี่ยว ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นป่ารกทึบและบ้านร้าง
‘รีบๆ ไปดีกว่า แถวนี้น่ากลัวชะมัด’ แม้เธอจะผ่านบ่อย แต่ก็ยังกลัว ยิ่งมีคนบอกว่าเห็นคนใส่ชุดขาว ผมยาวๆ เดินวนรอบบ้านร้าง ทำให้สองเท้าเล็กรีบเดิม เพื่อจะได้ผ่านบ้านร้างให้เร็วที่สุด แต่ก็ต้องหยุดจนหน้าแทบคะมำ เมื่อจู่ๆ ก็มีรถขับมาปาดหน้า
แสงไฟจากหน้ารถด้านหน้าที่สาดส่องเข้าใส่ทำให้คนที่จูงจักรยานอยู่ยกมือขึ้นป้องตา ก่อนจะพยายามเพ่งมองรถด้านหน้า แต่เธอไม่สามารถมองได้ชัดนัก จึงหันมากลับมามองรอบๆ ตัวว่ามีรถคันอื่นหรือไม่ แต่ก็ไม่มี
ความหวาดระแวงเริ่มจู่โจมเมื่อรอบๆ ตัวไม่มีรถคันอื่น ธีรตามองซ้ายมองขวา ก่อนจะรีบจูงจักรยานผ่านรถที่จอดขวางอยู่ ทว่ากลับมีบางสิ่งโป๊ะเข้าที่หน้า เธอดิ้นรน ก่อนที่ร่างจะอ่อนแรง และสติดับวูบลงไปในที่สุด
“เร็วๆ สิว่ะ มัวชักช้าเดี๋ยวก็มีคนมาเห็น” เสียงของมือโป๊ะยาสลบเร่งพรรคพวก กระทั่งคนนำร่างไร้สติเข้ามาในรถตู้ได้แล้ว ก็จัดการยกรถจักยานโยนเข้าไปในพงหญ้ารกท่วมหัว จากนั้นรถตู้สีขาวก็รีบขับเคลื่อนออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มือโป๊ะยาสลบจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรรายงานผู้เป็นนาย
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงคนถูกมัดก็เริ่มดิ้นและรับรู้ว่าตอนนี้รถกำลังขับเคลื่อนไปด้วยความเร็ว ความกลัวถาโถมเข้าใส่จนมือเย็นเฉียบ ก่อนที่เธอจะใช้เท้ากระทุ้งเข้าที่เบาะรถ
“ฟื้นมาก็ออกฤทธิ์เลยหรือไงวะ” มือโป๊ะยาสลบบ่นอย่างหัวเสีย
“อย่าบ่นเลยพี่ ถึงที่หมายแล้ว”
คำว่า ‘ที่หมาย’ ยิ่งทำให้คนถูกลักพาตัวยิ่งดิ้นรนหนักขึ้น เพราะกลัวว่าพวกมันจะพาไปฆ่าหรือไม่ก็พาไปขายตามชายแดน แต่ขณะที่กำลังดิ้นรถอยู่นั้นร่างก็ถูกลากลงจากรถหัวห้อยโตงเตงและรับรู้ว่าตอนนี้เหมือนพวกมันจะส่งเธอให้กับใครอีกคน
“อือๆ” คนที่ถูกจับตัวมาโดยไม่ทราบสาเหตุส่งเสียง แต่ไม่มีใครสนใจ สองมือที่ถูกมัดติดกันจึงทุบบนแผ่นหลังกว้างไม่ยั้ง จากนั้นสะโพกของเธอก็ถูกฟาดอย่างแรง
‘ไอ้เลว ฟาดมาได้ เจ็บนะโว้ย’ ธีรตาก่นด่าพวกมันอยู่ในใจ ก่อนจะหยุดทำร้ายแล้วก็คอยฟังความเคลื่อนไหว เนื่องจากถูกพวกมันปิดตา สักพักเธอก็ได้ยินคนที่แบกเธอไว้บอกให้พรรคพวกกลับไป
‘แล้วมันจะพาเธอไปไหนอีก’ คำถามผุดขึ้นมาและเธอก็ประท้วงด้วยการใช้มือที่ถูกมัดทุบแผ่นหลังกว้าง
“อยู่เฉยๆ” ตวาดสั่งเสียงห้วน ใช้มือฟาดไปที่สะโพกงามงอนหนักๆ แล้วพาเดินไปที่รถ
“อือ!” คนถูกแบกยังดิ้นไม่ดิ้นเพื่อหวังจะให้เขาหยุดฟังเธอสักนิด เพราะเธอไม่เคยไปมีเรื่องกับใคร ฉะนั้นนี้คงจะเป็นการจับผิดตัวแน่ๆ
“อยากตายนักใช่ไหม” จบคำก็จัดการโยนคนบนบ่าเข้าไปในรถ ก่อนเดินมาประจำที่คนขับ แล้วกระชากรถออกไปอย่างรวดเร็วตามถนนลูกรัง ทำให้ร่างเล็กกระเด็นกระดอน เจ็บไปทั้งตัว
ธีรตาได้แต่บ่นด่าคนขับรถในใจและก็ได้แต่ทนเจ็บ กระทั่งรถมาจอดนิ่งสนิทที่ไหนสักแห่ง และตามมาด้วยเสียงเปิดปิดประตู เธอพยายามจับความเคลื่อนไหวแต่ทุกอย่างก็เงียบกริบ กระทั่งมารู้ตัวตอนถูกกระชากข้อเท้า ความดีใจแล่นพล่านเมื่อเชือกที่มัดเท้าถูกปลด แต่ความดีใจก็พลันหายไปเมื่อร่างถูกลากจนหล่นจากรถ สะโพกงามงอนกระแทกพื้นดินแข็งๆ เจ็บจนน้ำตาร่วง
‘ไอ้โจรบ้า ไอ้โจรห้าร้อย เจ็บนะโว้ย ลากลงมาได้’ ธีรตาคร่ำครวญด้วยความเจ็บ จะพยุงร่างให้ลุกขึ้นก็ยากลำบาก แต่ขณะที่เธอพยายามจะลุกอยู่นั่น จู่ๆร่างก็ลอยหวือตามแรงกระชากมหาศาลของโจรห้าร้อย
พอลุกได้แล้วคนถูกปิดตามัดมือก็สะบัดตัวอย่างแรงจนหลุดจากมือใหญ่ที่ยึดต้นแขกเอาไว้ จากนั้นเธอก็วิ่งอย่างไร้ทิศทางทำให้ร่างกระแทกกับบางสิ่งจนกระเด็นและล้มลง
“โง่!” เสียงห้าวห้วนที่ดังอยู่ไม่ไกล ทำให้ร่างเล็กออกอาการลนลาน พยายามจะถอยห่างให้ได้มากที่สุดแต่เมื่อแผ่นหลังปะทะผนังแข็งๆ เข้า เธอก็รู้แล้วว่าหมดหนทางหนีจึงได้แต่นั่งคดคู้ตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำ