ตอนที่ 1
“แม่! รตาเอาผ้าไปส่งลูกค้าก่อนนะจ้ะ” เสียงใสๆ ของธีรตา กิจสุพัฒน์ หญิงสาวหน้าตาน่ารักสมวัยร้องบอกมารดาทันทีที่เธอจัดการรีดผ้ากองโตเรียบร้อย ที่วันนี้มีคนส่งผ้ามาซักรีดเยอะเป็นพิเศษเลยทำให้ออกไปส่งผ้าให้ลูกค้าช้ากว่าทุกวัน
“รีบไปรีบมาล่ะ เดี๋ยวแม่จะทำน้ำพริกปลาทูของโปรดไว้รอ แล้วก็เผื่อพี่ของเราด้วย” นางนวลพรรณ ผู้เป็นแม่ตอบกลับเสียงอ่อนโยน จากนั้นก็ออกมายืนมองจนลูกสาวคนขยันปั่นจักรยานคู่ใจออกจากบ้าน
ทว่าคล้อยหลังลูกสาวคนขยันไปไม่นานก็เกิดอาการหน้ามืด จึงนั่งพัก จนเมื่ออาการทุเลาจึงได้ลุกขึ้นไปทำอาหารเย็นรอลูกๆ ทั้งสอง ที่วันนี้เป็นวันสิ้นเดือนและทุกสิ้นเดือน ลูกชายจะกลับมาที่บ้าน ...บ้านที่สามีผู้ล่วงลับได้เก็บออมเงินจนสามารถซื้อบ้านไม้หลังเก่าทิ้งไว้ให้
และเวลานี้ที่หน้าบ้าน ลูกชายที่เพิ่งเดินทางมาถึงกำลังเดินสำรวจรอบบ้านดูต้นไม้ใบใหญ่ว่ารกเกินไปหรือเปล่า ครั้นเมื่อรอบบ้านไม่รกอย่างที่คิด เขาก็เดินขึ้นบ้านไปหามารดา
“แม่ครับ” ธนา เรียกหามารดาเมื่อก้าวเข้ามาในบ้าน แต่มารดาซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารจึงไม่ได้ยินเสียงขานเรียก ขณะที่ธนาหลังจากไม่ได้รับเสียงตอบจากมารดาจึงเดินเข้ามาในครัวและเมื่อเห็นมารดากำลังทำกับข้าวอยู่ ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ แล้วสวมกอดมารดา แล้วก็ถอยห่างออกมายิ้มให้กับผู้เป็นแม่
“ธนา มาแล้วหรือลูก” นางนวลพรรณเอี่ยวตัวหันไปมองลูกชาย ก่อนจะยิ้มดีใจ
“ครับแม่ แล้วนี่รตาไม่อยู่บ้านหรือครับ” ธนาเอ่ยถามถึงน้องสาว หลังจากมองหาแล้วไม่พบ ทั้งที่เวลานี้น้องสาวจะอยู่บ้านช่วยมารดาทำกับข้าว
“น้องออกไปส่งผ้านะลูก เดี๋ยวก็คงกลับ” นางนวลพรรณบอก ก่อนจะหันไปตักกับข้าววางขึ้นโต๊ะรอลูกสาวมากินอาหารเย็นด้วยกัน แต่นางไม่ทันสังเกตสีหน้าของลูกชาย ที่ตอนนี้สีหน้ากำลังเครียดอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่หัวใจของชายหนุ่มกำลังกระวนกระวายระคนหวาดกลัวกับสิ่งที่ตนกำลังทำ
“ธนา เป็นอะไรไปนะเรา หรือว่าห่วงน้อง” นางนวลพรรณเอ่ยถามขึ้นเมื่อเงยหน้ามาแล้วเห็นสีหน้าไม่ค่อยดีของลูกชาย
“ครับแม่” ตอบแล้วก็ชะเง้อมองหน้าบ้านเพื่อ เผื่อจะได้เห็นน้องสาวกลับมา
“น้องไปส่งผ้า ซอยถัดจากเราไปไม่กี่ซอยนี่เอง เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว เราอย่าห่วงนักเลย” คนเป็นแม่พูดปลอบแล้วหันไปตักข้าวตักปลารอท่า
“แต่ทุกวันรตา ไม่ได้ออกไปส่งผ้าเวลานี้นะครับ” เพราะเรื่องที่ทำผิดไว้ทำให้ธนานึกห่วงและกังวลไปเสียหมด และที่เขามาในวันนี้ก็เพื่อจะฝากฝังให้น้องสาวเพียงคนเดียวอยู่ดูแลมารดาให้ดี เพราะกว่าที่เขาจะสามารถกลับมาที่บ้านหลังนี้ได้คงอีกหลายปีหรืออาจจะไม่ได้กลับมาอีกเลย
“ลูกเป็นอะไรหรือเปล่าธนา ดูร้อนรนชอบกล หรือว่าวันนี้จะไม่ได้ค้างที่บ้าน ที่ไร่พ่อเลี้ยงงานเยอะหรือลูก แต่แม่ว่าธนาควรอยู่ช่วยพ่อเลี้ยงนะ เพราะพ่อเลี้ยงช่วยเหลือของครอบครัวเราจนทำให้ ธนาเรียนจบ นี่ถ้าไม่ติดเรื่องร่างกาย ที่สามวันดีสี่วันไข้ แม่จะหมั่นไปเยี่ยมบ่อยๆ” นางนวลพรรณพูดขึ้น แล้วจ้องหน้าลูกชายนางที่ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่เป็นห่วง แล้ววันนี้ผมคงไม่ได้อยู่ทานข้าวเย็นกับแม่กับน้องนะครับ พอดีผมมีเรื่องด่วนต้องรีบกลับ นี่ครับ เงินสองหมื่นแม่เอาไว้ซื้อยานะครับ” ธนาตัดสินใจพูดขึ้นเมื่อเขารอไม่ได้ เพราะต้องรีบออกเดินทางและยังมีอีกคนกำลังเฝ้ารอการกลับไปของเขา
นางนวลพรรณมองเงินที่ลูกชายยื่นให้ด้วยความสงสัย ก่อนที่ธนาจะรีบเอาเงินนั่นวางลงบนมือของมารดาพร้อมก้มลงกราบบนแทบตัก น้ำตาร่วงแต่เขาใช้หลังมือปาดทิ้งไป เพราะกลัวจะทำให้มารดายิ่งสงสัย
“ธนา ทำไมเอาเงินมาให้แม่มากมายขนาดนี้ล่ะลูก ธนาเก็บเอาไว้ใช้เถอะ แม่กับน้องอยู่บ้านไม่ได้ใช้อะไรมาก” นางนวลพรรณบอกเสียงสั่นเครือเมื่อมองลึกในดวงตาของบุตรชายแล้วทำไมนางจะไม่รู้ว่าบุตรชายของตนนั้นร้องไห้ แต่นางยังไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร มือเหี่ยวนุ่มลูบแก้มสากของลูกชาย
“แม่เก็บเงินไว้เถอะครับ คือผม....ผมคงไม่ได้กลับมาที่บ้านสักระยะ แต่แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะส่งเงินมาให้แม่กับน้องเหมือนเดิม แต่อาจจะช้าหน่อยครับ” คนเป็นลูกยื่นเงินที่มารดาส่งคืนให้นำไปวางไว้ในมือมารดาเช่นเดิม พร้อมทั้งรอยยิ้มแบบฝืนๆ ซึ่งมารดาเองก็เฝ้าสังเกตดูอยู่ไม่ห่าง
“แล้วลูกมีเงินใช้หรือเปล่า” คนเป็นแม่จะแบ่งเงินคืนให้ลูกชายครึ่งหนึ่ง แต่ธนาห้ามไว้
“ผมมีครับแม่ แต่เดี๋ยวผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” ธนาเข้าสวมกอดผู้เป็นแม่สักพัก แล้วเดินออกมาหน้าบ้าน ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวังเมื่อไม่เห็นใครก็รีบเดินลัดเลาะไปขึ้นรถที่จอดในมุมลับ
ด้านคนเป็นแม่ก็มองตามหลังลูกชายจนลับตา แล้วชะเง้อมองหาลูกสาว สลับกับมองนาฬิกาบนผนังที่ใกล้หนึ่งทุ่มแล้ว แต่ลูกสาวก็ยังไม่กลับมา
ด้านธีรตาหลังจากส่งผ้าให้กับบ้านหลังที่สามเสร็จเรียบร้อย รถจักรยานคู่ใจก็ดันมาพังกลางทาง เสียเวลานั่งซ่อมอยู่นานแต่ก็ยังใช้การไม่ได้ ท้องก็ประท้วงหาอาหาร เธอจึงตัดสินใจเลิกซ่อมแล้วจูงจักรยานคันเก่าเดินเข้าไปในซอย
“น้าชื่น! น้าชื่น! ” เมื่อมาถึงบ้านหลังสุดท้ายของซอยเธอก็ป้องปากเรียกเจ้าของบ้าน