“แล้วคนที่นัดไว้ล่ะคะ ไหนจะอาหารพวกนั้นอีก” ด้วยช่วงขาที่ยาวกว่า ทำให้เธอต้องจ้ำเร็วๆ
“อุ๊ย!” เธอผงะเซจนเกือบล้ม เมื่อจู่ๆ คนข้างหน้าก็หยุดแล้วก็หันกลับมาแบบไม่บอกไม่กล่าว โชคดีที่แขนยาวๆ ของเขาคว้าแขนเธอไว้ได้ทัน มิหนำซ้ำยังรั้งจนทำให้ตัวเธอถลามาปะทะอกอีก เธอเงยหน้ามองเจ้าของอก ในขณะที่เจ้าของอกเองก็กำลังก้มมองหน้าหวานๆ ของเลขาคนใหม่เช่นกัน ทั้งคู่ทำราวกับโลกทั้งใบมีกันแค่สองคน กระทั่งเป็นเธอที่รีบผละออกด้วยความประดักประเดิด
“เธอถามถึงคนที่นัดไว้ใช่ไหม ก็อยู่ตรงหน้าฉันนี่แล้วไง” เขาว่าพลางหยักยิ้มมุมปาก
“คะ?” พริบพราวหันมาทำหน้างง แต่เชื่อเถอะว่าครั้งนี้เธอก็ยังไม่ได้คำตอบจากเขาอีกตามเคย มิหนำซ้ำพ่อคุณยังเดินออกไปขึ้นรถหน้าตาเฉย ทำให้หญิงสาวจำต้องวิ่งตามไปอย่างไม่มีทางเลือก
พริบพราวถูกพากลับมายังเพนท์เฮาส์ของเขา ถึงเมื่อเช้าเธอจะตื่นมาด้วยความงุนงง แต่เธอยังจำมันได้ดี จำได้ว่าตัวเองตื่นมาบนเตียงเขาเมื่อเช้านี้
“เอ่อ...! กระเป๋าล่ะคะ” เธอถามทำลายความเงียบ ใช่! เธอกำลังอึดอัดเมื่อเขาเอาแต่นั่งจ้องมา
“ในห้องน่ะ เข้าไปเอาสิ” เธอเม้มปากเลิกลั่กทันทีที่ได้ยิน แต่เมื่อเห็นว่าเขายังคงนั่งเฉยไม่ได้มีท่าทีใดๆ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องที่เธอจำมันได้ดี
“อยู่ไหนเนี่ย อ้อ! อยู่นี่เอง” หญิงสาวเอื้อมไปหยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนหัวเตียง ประจวบเหมาะกับที่เจ้าของห้องเอื้อมมือมาด้วยเหมือนกัน เขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เธอก็ไม่ทันได้รู้ และเพราะท่านประธานคนใหม่ดันมายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง เลยทำให้เธอผงะตกใจจนเสียหลักล้มลงบนที่นอน
“ว้าย!” เธอร้องเสียงหลงในขณะที่มือก็คว้าคอเสื้อเขาโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขาเองก็ถึงกับเสียหลักล้มทับลงบนตัวเธอ ก็ไม่รู้ว่าด้วยความไม่ตั้งใจหรือมีเจตนาแอบแฝง แต่ปากเขาดันประทับอยู่บนปากเธอแล้ว
“อื้อ!” นัยน์ตาเธอเบิกกว้างพร้อมกับพยายามผลักเขาออก ในขณะที่เขาเพียงดันตัวขึ้นโดยที่ยังคงคร่อมเธอไว้ทั้งตัว
“คะ...คุณจะทำอะไร” เลขาสาวเลิกลั่กนัยน์ตาเบิกกว้าง พลางมองเจ้านายหนุ่มอย่างกล่าวหา
“แค่จะถามว่าของอยู่ครบรึเปล่า” เขาบุ้ยหน้าไปยังกระเป๋าที่ตกอยู่ข้างๆ
“ครบค่ะ” เธอรีบตอบ เพราะคิดว่านั่นจะทำให้เขาผละออกไป
“ไม่ทันดูก็ตอบซะแล้ว ไว้ใจฉันขนาดนั้นเชียว?” เพลิงเลิกคิ้วพลางยิ้มมุมปาก
“ไม่ได้ไว้ใจ แต่ฉันไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องตรวจ เพราะในนั้นก็ไม่ได้มีของมีค่าอะไร อีกอย่างคนระดับคุณคงไม่อยากได้อะไรของฉันหรอกมั้ง”
“อืม! ก็จริง เพราะอย่างเดียวที่ฉันอยากได้…คงเป็นเธอ” พริบพราวกัดเม้มริมฝีปาก รู้สึกว่าใจกำลังเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยมาก่อน
“คิดจะเล่นตลกอะไร ทั้งเรื่องเมื่อคืนแล้วไหนจะเรื่องวันนี้อีก ฉันไม่สนุกด้วยหรอกนะ” เธอโพล่งออกมาอย่างเหลืออด เมื่อรู้สึกว่าเขากำลังทำประหนึ่งหมาหยอกไก่
“เรื่องอะไรบ้างล่ะ เรื่องที่ฉันพูดเมื่อกี้ เรื่องที่ฉันให้เธอมาเป็นเลขา หรือว่าเรื่องที่เรามีอะไรกันเมื่อคืน” คำพูดลอยหน้าลอยตาของเขาทำเธอกัดเม้มริมฝีปากจนห้อเลือด ก่อนกลั้นใจถามออกมาในที่สุด
“ตกลง…เมื่อคืนเราสองคนมีอะไรกันแล้วจริงๆ ใช่ไหม”
“ถ้าฉันตอบแล้วเธอจะเชื่อ?” เขาแสร้งหยั่งเชิง แต่เธอกลับตอบกลับมารวดเร็ว
“เชื่อค่ะ” ก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ตอบออกไปแบบนั้น แต่เธอก็เชื่อแบบนั้นจริงๆ
“แต่ฉันไม่อยากให้เธอเชื่อ” ไม่พูดเปล่า แต่ชายหนุ่มยังโน้มใบหน้าลงไปใกล้ ในขณะที่เธอทำได้เพียงหลับตาแน่น
“ฮ่าๆๆ น่ารักจัง” เขาหยิกแก้มเธอเบาๆ พลางหัวเราะร่วน ก่อนจะผละมานั่งข้างๆ ทำให้เธอต้องผุดลุกตาม
“งะ...งั้นฉันกลับก่อนนะคะ” เมื่อการอยู่ใกล้เขาอันตรายต่อหัวใจเกินไป เธอจึงลุกขึ้นแล้วค้อมศีรษะให้ แต่แล้วเท้าทั้งคู่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงเขาอีก
“จะไปไหน” เสียงเขาเข้มขึ้น ราวกับกำลังไม่พอใจ
“กะ...ก็กลับบริษัทไงคะ นี่มันเวลางาน ฉันควรอยู่ทำงานที่บริษัทค่ะ” เธออึกอักนึกหวาดหวั่นในสายตาคู่คมตรงหน้า
“แต่ฉันเป็นเจ้านาย เพราะงั้นฉันจะเป็นคนบอกเองว่าเธอควรอยู่ที่ไหน แล้วตอนนี้เธอก็ต้องอยู่ทำงานกับฉันที่นี่ เพราะนี่คือคำสั่ง” เธอเม้มปากให้กับความเผด็จการของผู้ชายตรงหน้า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องทำตาม
“ค่ะ! งั้นก็เชิญเจ้านายสั่งมาได้เลยค่ะ” หญิงสาวรับเสียงกระแทกกระทั้น
“ไปชงกาแฟ แล้วก็เอาไปให้ฉันที่ห้องทำงาน มันเป็นหนึ่งในที่ของเลขา” เห็นเธอมองมาราวกับจะต่อต้านที่เขาสั่ง เพลิงจึงพูดเสริมก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้คนเป็นเลขาได้แต่ทำปากขมุบขมิบบ่นพึมพำตามประสา