‘นายชื่ออะไรนะ’
‘เอสครับ’
เฮือก!
ฉันสะดุ้งขึ้นพร้อมกับอาการหนักๆ บริเวณศีรษะ สายตาพร่าค่อยๆ ปรับโฟกัสภาพด้านหน้าให้ชัดเจน ผ้าปูที่นอนสีขาว ผ้าห่มสีหวาน และตุ๊กตาตัวใหญ่วางไว้ใกล้เตียง สภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยทำให้ใจฉันชื้นขึ้นมาเล็กน้อยจนกระทั่งมีอะไรบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยอยู่ในห้อง ฉันก็ชะงัก
“ตื่นแล้วเหรอครับ?” ใบหน้าหวาน เจ้าของนาม ‘เอส’ นั่งอยู่บนโซฟาที่ตั้งอยู่ตรงฝั่งขวาของเตียง มือของเขาถือหนังสือเล่มนึง ฉันย่นคิ้วตกใจแต่ไม่แสดงออก...
ก่อนหน้านี้เรา... ฉันพยายามเค้นเอาความทรงจำ ตอนที่อยู่บ้านของเทมป์ออกมาแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก บางทีสมองของฉันยังประมวลผลไม่ดีนักหลังจากตื่น ฉันคงดื่มมากไป
“นี่ห้องฉันนี่...” ฉันเอ่ยเสียงเรียบ ไม่แสดงท่าทีตื่นตูมเท่าใดนัก ฉันไม่ใช่คนเมาง่าย แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมวันนี้ฉันถึงจำอะไรไม่ค่อยปะติดปะต่อ
“เธอเมามาก ผมเลยมาส่ง”
“คนเดียว?”
“อืม”
“แล้วนายรู้จักบ้านฉันได้ไง?” ฉันเอียงคอ แอบโกรธมันในใจ ที่ปล่อยให้ผู้ชายที่ไหนไม่รู้มาหิ้วฉันกลับห้อง เดาว่ายัยนั่นก็คงจะไปเมาหัวราน้ำกับผู้ชายสักคนที่บ้านของเทมป์
เออ เป็นเพื่อนที่ดีโคตร
“เพื่อนเธอบอก”
“...” ฉันเงียบแล้วเลื่อนสายตาสบกับคนตัวสูงครู่นึง มองสภาพตัวเองอย่างพินิจพิเคราะห์ว่ามีส่วนใดบกพร่องสึกหรอไปรึเปล่า เมื่อพบว่าตัวฉันอยู่ในสภาพปกติดี แสดงว่าเขาคนนี้ก็คงจะสุภาพบุรุษพอสมควร “ขอบใจนะที่มาส่งถึงห้อง”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ตอนนี้กี่โมงแล้วนะ” ฉันบ่นอุบอิบแล้วหยิบมือถือขึ้นมาดูนาฬิกา บ่งบอกว่าตีสามห้าสิบห้า ใกล้จะเช้าแล้ว แต่เขาก็ยังอุตส่าห์นั่งรอจนฉันตื่น “จะเช้าแล้ว... นายไม่กลับบ้านเหรอ?”
“ผมแค่อยากแน่ใจว่าเธอไม่เป็นไร”
“โห” ฉันแค่นหัวเราะ ยันตัวขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ ไม่แน่ใจว่าสภาพตัวเองในตอนนี้เป็นยังไง แต่ก็คงจะไม่แย่นักหรอก “ขอบใจ”
“ครับ” เขากระตุกยิ้มรับคำขอบคุณทำให้ฉันเกร็งหนักเข้าไปอีก ร้อยวันพันปีไม่เคยมีผู้ชายคนไหนมานั่งเฝ้าฉันเมายันฉันตื่น แถมเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมากๆ ซะด้วย ฉันเงียบแล้วมองเขาไล่ตั้งแต่บนลงล่าง จากหัวตามสันกรามลามไปยันไหปลาร้าและรอยสักที่แขน เส้นเลือดที่ข้อมือปูดโปนดูจะเชิญชวนฉันอย่างประหลาด
“โทษทีนะที่ทำให้ลำบาก ปกติก็ไม่ได้เมาง่ายขนาดนี้หรอก” ฉันยิ้มแห้งกุมขมับก่อนจะขยับตัวแล้วหมุนปลายเท้าลงกับพื้นด้านล่างเตียงเพื่อจะไปเช็คสภาพตัวเองในห้องน้ำ “นายเป็นสุภาพบุรุษมากเลยนะ ถ้าเป็นคนอื่น ฉันคงจะไม่รอดแหงๆ”
เพราะฉันรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันเลยไม่เคยปล่อยตัวเองให้เมาถึงขนาดไม่รู้เรื่องอย่างวันนี้
“ผมไม่ใช่คนประเภทนั้นหรอกครับ... เธอไว้ใจได้”
ปึง! ปึง! ปึง!
ปึง! ปึง! ปึง! ปึง!
เสียงทุบประตูดังรัวๆ จนฉันย่นคิ้วอย่างสงสัยว่าเกิดบ้าอะไรขึ้น และเดาได้เลยว่าคนที่อยู่ด้านหลังนั้นคือใคร ฉันมองหน้าเอสก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วห้องเพื่อหาพื้นที่ให้เขาซ่อนตัว เพราะฉันไม่อยากจะทะเลาะกับคนมาใหม่สักเท่าไหร่
“นายเข้าไปหลบในห้องน้ำก่อนได้ไหม?” ฉันกระซิบเสียงเบา พร้อมใบหน้าเซ็งเล็กน้อย “ฉันคิดว่าพ่อฉันมา... ฉันขี้เกียจอธิบายน่ะ”
“งั้นอาจจะเป็นเพราะผมก็ได้ครับ”
“ฮะ?” ฉันย่นคิ้วงง ว่าการที่พ่อคลั่งแล้วทุบประตูเสียงดังตอนเกือบเช้ามันเกี่ยวกับเขายังไง “พ่อฉันก็เป็นซะแบบนี้แหละ ห่วงเว่อร์เกิน ไม่เกี่ยวกับนายหรอก”
“ผมกังวลน่ะครับ ตอนที่เธอนอนอยู่ พ่อเธอโทรมาหลายสาย ผมก็เลยรับให้” เขาอธิบายเสียงเรียบ ไม่ได้มีท่าทีตื่นตกใจกับการต้องเผชิญหน้าพ่อฉัน “นับว่าคุณพ่อเธอมาเร็วนะครับ นับจากเวลาที่ผมรับโทรศัพท์ก็สิบห้านาทีสี่สิบวินาทีได้”
“ขนาดนั้นเลย” ฉันแค่นหัวเราะอย่างไม่ตลก นึกหน้าพ่อออกว่ากำลังจินตนาการบ้าบออะไรอยู่ ฉันกับพ่อไม่ค่อยลงรอยกันมาพักใหญ่ และช่วงนี้พ่อก็เหมือนคนจิตผิดปกติที่เอาแต่วิตกเรื่องของฉันจนโทรมาอยู่นั่นแหละ อาจเพราะเพิ่งมีคนโพสต์ขู่จะฆ่าฉันในโซเชี่ยลก็ได้...
เฮอะ ใครจะมาฆ่าฉันได้ พวกนี้ก็เก่งแต่ปากทั้งนั้นแหละ!
ปึง! ปึง! ปึง! ปึง!
“แอล! เปิดให้พ่อ! ถ้าไม่เปิดพ่อจะพังประตูเข้าไปนะ!!” เสียงโวยวายดังมาจากด้านนอกด้วยน้ำเสียงซีเรียส ฉันกุมขมับเครียด การที่เขามาส่งเสียงดังรบกวนชาวบ้านแบบนี้ มันถูกต้องรึยังไง
“แอล!!” เสียงนั้นดังขึ้นอีก ฉันกับเอสมองหน้ากันเล็กน้อย เขาไหวไหล่แล้วผายมือเชื้อเชิญไปที่ประตู
“ผมเปิดให้มั้ยครับ ยังไงพ่อเธอก็รู้อยู่แล้วว่าเราอยู่ด้วยกัน” เขาเสนอตัวแต่ฟังแล้วดูไม่ใช่ไอเดียที่ดีเท่าไหร่นัก พ่อฉันคงคลั่งกว่าเดิมถ้าคนที่เปิดประตูดันเป็นผู้ชายที่เขาไม่เคยคุ้นหน้า
“ไม่เป็นไร ฉันจัดการเอง” ฉันหงุดหงิดแล้วขยี้หัวตัวเองเบาๆ อย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอนพลางสาวเท้าไปที่ประตู
“แอล!”
“รู้แล้วน่า!” ฉันตวาดกลับด้วยความโมโหก่อนจะกระชากประตูอย่างแรงและเอียงคอ กอดอกมองคนที่ยืนรออยู่ด้านหลังประตูด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมตามกรอบหน้าของพ่อ นัยน์ตาโปนและขอบตาคล้ำยังกับเพิ่งเทคยามายังไงยังงั้นแหละ “จะเคาะอะไรนักหนา พ่อว่างนักหรือไง”
“หลบ” พ่อพูดแค่นั้นแล้วผลุนผันเข้ามาในห้องฉัน ใช้มือข้างนึงดันฉันให้ชิดกับประตูดังตึง! ฉันสาวเท้าตามก่อนจะพ่นลมหายใจยาวๆ เพราะรู้ว่าต้องมีเรื่องแน่ๆ เมื่อพ่อหันขวับและผงะเมื่อเห็นชายหนุ่มผมสีดำสนิทนั่งถือหนังสืออยู่ในมือด้วยท่าทีปกติ เขาปิดหนังสือก่อนจะค่อยๆ เลื่อนสายตามามองพ่อของฉันแล้วยกยิ้มอย่างเป็นมิตร
พ่อหอบแฮ่กและจ้องเขานิ่งๆ
“สวัสดีครับ คุณพ่อของชนัญชิดา” เขายกมือไหว้ดูมีมารยาท
“ออกไปจากบ้านฉัน” พ่อไม่ทักทายตอบ เอาแต่ถลึงตาและชี้มือไปที่ประตู ฉันเห็นท่าไม่ดีเลยเดินเข้าไปแทรกตรงกลางอย่างเสียไม่ได้
“พ่อ นี่เพื่อนหนูเอง ไม่มีอะไร เขาแค่มาส่ง” ฉันพยายามจะอธิบาย แม้มันจะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่นัก
“จะเป็นอะไรกับแกก็ช่าง แต่ฉันสั่งให้ออกไป” เสียงของเขาเข้มขึ้น ท่าทีจริงจังทำให้ฉันหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
“มันไม่ได้มีอะไรสักหน่อย พ่อจะมาโวยวายทำไม และถ้ามี พ่อคงไม่มีวันรู้หรอก!” ฉันตวาดอย่างร้ายกาจ ถลึงตาใส่บ้าง
“ฉันคงไม่รอให้มันเกิดขึ้นก่อนหรอก แกไม่เกี่ยว”
“จะไม่เกี่ยวได้ยังไง พ่ออย่ามาไร้สาระได้ปะ พ่อนั่นแหละที่ไม่เกี่ยว นี่เพื่อนหนู เขาก็แค่มาส่ง พ่อจะตื่นตูมอะไรนัก”
“ฉันบอกให้ออกไป” พ่อไม่สนใจแล้วหันไปหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่เอสอีกครั้ง เขากะพริบตาเล็กน้อยก่อนจะวางหนังสือไว้บนโต๊ะไม้เล็กๆ ข้างๆ โซฟา
“โอ๊ย เออ หนูจะพาเพื่อนหนูออกไป โอเคมั้ย?” ฉันเริ่มโมโหที่พ่อไม่ฟังอะไรเลยแล้วหันไปมองเอส “เดี๋ยวฉันเดินไปส่ง อ๊ะ”
“แกไม่ต้องไป ใครสั่งให้แกไป!”