แม่บุญธรรม

1407 Words
@ มหาวิทยาลัย K วันนี้ทิพย์วารีไม่มีเรียน แต่ตอนนี้เธอกำลังเดินอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยที่ตัวเองเรียนอยู่ เพียงแต่อยู่คนละคณะ เธอเดินมาหยุดอยู่หน้าตึกคณะนิเทศศาสตร์ ยืนรอเงียบๆ หลังจากสืบค้นข้อมูลมาจนรู้ว่าหนึ่งในสองสาวเมื่อคืน เรียนอยู่ที่คณะนี้ โชคดีที่ผู้หญิงคนนั้นมาเที่ยวร้านที่เธอทำงานอยู่บ่อยๆ เธอเลยได้ข้อมูลที่จำเป็นมา ถ้านาฬิกาเรือนนั้นไม่ใช่ของสำคัญ เธอไม่มีวันทำแบบนี้เด็ดขาด เธอขอดูกล้องวงจรปิดของร้านแล้ว เห็นชัดเจนว่าหนึ่งในสองคนนั้นปลดนาฬิกาในมืออคินไป เธอจึงต้องมายืนรออยู่อย่างนี้ ทั้งที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอะไรกับผู้ชายอย่างเขาเลย “หวัดดี” ทิพย์วารีเอ่ยทักทาย ทันทีที่เห็นเป้าหมายเดินออกมากับเพื่อน ใบหน้าสวยหวานเรียบเฉย ขณะมองคนที่มีท่าทีลนลานชัดเจน “ใครวะมายด์?” “ไม่รู้ดิ!” “พอดีมีเรื่องจะคุยกับเพื่อนของเธอ คนเมื่อคืนอะ” ทิพย์วารีพูดสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่สนท่าทีของผู้หญิงที่เพื่อนเรียกว่ามายด์ ย่างเท้าเข้าไปใกล้ ก่อนจะก้มลงกระซิบให้ได้ยินเพียงแค่สองคน “ฉันมีภาพจากกล้องวงจรปิดนะ เห็นหน้าเธอกับเพื่อนตอนปลดนาฬิกาชัดเจนเลย” “แก!” “จะบอกดีๆไหมล่ะ?” ทิพย์วารีชูรูปภาพที่เธอถ่ายเป็นสำเนาออกมาจากโทรศัพท์ ยื่นไปตรงหน้าให้คนที่มีท่าทีเหมือนไม่เชื่อคำพูดเธอดู ใบหน้าสวยซีดเผือกลงหลังจากมองภาพใบนั้น “ฉันมีคลิปด้วย” “เดี๋ยวฉันไปเอามาคืน!” “ตอนนี้ ฉันจะรออยู่ที่นี่ ภายในหนึ่งชั่วโมง ไม่งั้นคลิปนั่นถึงมืออธิการบดีแน่!” ชีวิตนักศึกษาปีสุดท้ายค่อนข้างสำคัญ เธอเชื่อว่าผู้หญิงตรงหน้าไม่กล้าเอามันมาเสี่ยงเพียงเพราะเพื่อนทำผิดแน่ๆ “ถ้ามันขายไปแล้วล่ะ?” “นาฬิกาเรือนนั้นสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ ไม่มีใครกล้ารับซื้อของโจรหรอก” มันเป็นแบบนั้นจริงๆ นาฬิกาเรือนนั้นแพงก็จริง แต่มันสลักชื่อเจ้าของไว้ใต้ตัวเรือน ถ้าไม่ใช่เจ้าของชื่อเป็นคนเอามาขาย ไม่มีใครกล้ารับซื้อหรอก เป็นนาฬิกาที่มีราคา แต่ไม่มีค่าพอๆกับเจ้าของมัน อย่างหลังเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกนั่นแหละ อคินก็แค่ผู้ชายไร้ค่า “เธอรู้ได้ยังไง?” “ฉันเป็นน้องสาวของเขา” ทิพย์วารีเบ้ปาก เหยียดรอยยิ้มกับสถานะที่เพิ่งหลุดจากปากตัวเอง ไม่เคยอยากจะเป็นน้องของผู้ชายอย่างอคินหรอก เขาเองก็ไม่เคยคิดว่าเธอเป็นน้อง ไม่คิด ไม่รับรู้ทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับชีวิตของเธอ “ฉันจะเชื่อได้ไง?” “ก็แล้วแต่ ตอนนี้เหลือเวลาแค่ 50 นาทีแล้ว โชคดีนะ ฉันไปรอที่ห้องท่านอธิการ เธอรีบหน่อยละกัน” ทิพย์วารีพูดจบก็เดินไปในทิศทางที่เป็นจุดมุ่งหมายทันที เธอมีธุระที่ห้องนั้นจริงๆ ไปด้วยเรื่องนี้อีกสักเรื่อง ไม่ได้ทำให้เธอเสียเวลาเพิ่มขึ้นหรอก ร่างสมส่วนเดินมาถึงห้องของอธิการบดีประจำมหาวิทยาลัย เธอรู้จักกับท่านดี เพราะท่านเป็นญาติของคุณพยัคฆ์ อดีตผู้นำบริษัททั้งหมดในกลุ่มอัครโยธินกุล เธอต้องการมาคุยเรื่องค่าเทอม เทอมสุดท้ายที่ต้องจ่าย แล้วก็ค่าใช้จ่ายในการรับใบประกาศนียบัตรของตัวเอง ก๊อก ก๊อก เคาะสองทีก็ถือวิสาสะเปิดเข้าไป ยกมือไหว้คนที่ให้ที่พักอาศัยด้วยความเคารพ ทิพย์วารียิ้มแย้มให้คนที่มองด้วยสายตาอ่อนโยน เวลาไม่เคยทำอะไรคนตรงหน้าได้เลย ท่านยังคงสวยงามเสมอ “สวัสดีค่ะ” “ว่ายังไงจ๊ะหนูวาว” พรประภาแย้มยิ้มอ้าแขนออกรับร่างของเด็กในอุปการะของตัวเอง แม้จะเป็นเพียงแค่ในนามเพื่อไม่ให้ใครบางคนต้องเข้าใจผิด แต่ก็รู้สึกรักและเอ็นดูเด็กสาวไม่ต่างจากแม่แท้ๆของเธอ “วาวมาติดต่อเรื่องค่าเทอมกับค่าใช้จ่ายในการรับปริญญาค่ะ เทอมนี้วาวจ่ายเองนะคะ ค่าใช้จ่ายในส่วนนั้นด้วยค่ะ” ทิพย์วารีวางเงินที่เพิ่งไปถอนมาจากธนาคารเมื่อเช้าลงบนโต๊ะ เธอถอนมาครบทั้งค่าเทอมและค่าใช้จ่ายในการรับปริญญา อยากรู้สึกภาคภูมิใจในความสามารถของตัวเองบ้าง แม้จะได้รับการช่วยเหลือจากผู้อุปถัมภ์มาตลอดหลายปีก็ตาม “คุยกับทางนั้นแล้วสินะ” “ค่ะ วาวคุยแล้ว คุณแม่ไม่ได้ขัดค่ะ” แม่บุญธรรมเธอบอกแบบนั้นจริงๆ ท่านไม่ได้ว่าอะไรเลยด้วยซ้ำ ออกจะภูมิใจที่เธอสามารถยืนด้วยตัวเองได้ แม้จะบ่นก่อนก็เถอะ ว่าทำไมต้องลำบากทำอะไรแบบนี้ด้วยตัวเอง ทั้งที่ท่านให้การช่วยเหลือทุกอย่างได้โดยที่ไม่ต้องเดือดร้อนไปทำงานตามค่าแรงขั้นต่ำ “งั้นก็เอาที่วาวสบายใจเถอะจ๊ะ” พรประภาเองก็ไม่อยากขัดอะไรนัก แม้จะเป็นคนออกหน้าอุปถัมภ์ทิพย์วารีเอง แต่คนที่อุปถัมภ์เด็กคนนี้จริงๆไม่ใช่เธอ เธอมีหน้าที่ที่ต้องทำ และให้ความรักเด็กคนนี้แทนครอบครัวที่เสียไปเท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายหรือสิทธิ์ต่างๆในฐานะผู้ปกครอง คนที่รับทิพย์วารีเป็นบุตรบุญธรรม เป็นคนรับไปจัดการทั้งหมด “น้าพริมคะ ราวๆหนึ่งชั่วโมงจะมีคนมาพบ วาวรบกวนน้าพริมส่งของที่เธอคนนั้นเอามาให้ ไปคืนคนที่เป็นเจ้าของหน่อยนะคะ” “หืม?” พรประภาทำหน้าสงสัยหนัก จนทิพย์วารีต้องเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ท่านฟัง ท่านนั่งฟังเงียบๆ เมื่อเข้าใจทุกอย่างก็พยักหน้าขึ้นลง เป็นอันว่าตกลงรับหน้าที่ต่อจากนั้นแทนทิพย์วารี “จะเลี่ยงไปถึงเมื่อไหร่ สักวันก็ต้องกลับไปที่นั่น” พรประภาไม่เข้าใจในสิ่งที่ทิพย์วารีกำลังทำ สิ่งที่ถามไร้ซึ่งคำตอบ เด็กสาวตรงหน้าเพียงแค่แย้มยิ้มอย่างเคย เป็นแบบนี้มาตลอด ตั้งแต่ออกมาจากบ้านหลังนั้น “วาวขอตัวเลยนะคะ รบกวนเวลาท่านมากเกินไปแล้ว” ทิพย์วารียกมือไหว้ เธอยังไม่อยากตอบคำถามใดๆในตอนนี้ ไม่รู้วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ เธอรู้สึกไม่อยากกลับไปเลย แม้จะได้รับการติดต่อจากแม่บุญธรรม เรื่องให้เธอกลับไปที่นั่นแล้วก็ตาม ทิพย์วารีเดินเลี่ยงไปในพื้นที่ที่คนอยู่น้อย เพราะไม่อยากให้นักศึกษาคนอื่นๆ หรือบุคลากรของทางมหาวิทยาลัย เห็นว่าเธอเข้ามาพบอธิการบดีเป็นการส่วนตัว เธอพยายามทำให้ตัวตนของตัวเองว่างเปล่ามากที่สุด นั่นเพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะกับคนรู้จักของครอบครัวผู้อุปการะ ปึ่ก! เพราะต้องคอยระวังหน้าหลัง การหันรีหันขวางตลอดทางเดิน ส่งผลให้ชนกับใครสักคนบริเวณทางแยกของอาคาร แม้จะถูกคว้าตัวไว้ได้ แต่แรงปะทะทำให้เธอรู้สึกชาไปทั้งหน้า “เดินยังไงเนี่ย?” “พี่พีท? วาวก็นึกว่าใคร” ทิพย์วารีกุมใบหน้าตัวเองบริเวณจมูกที่รู้สึกเจ็บที่สุด เห็นใบหน้าคนที่ชนกับตัวเองแล้วโกรธไม่ลง กลืนคำด่าลงไป ก่อนจะเอามือออกแล้วฉีกยิ้มส่งไปให้ “มาหาแม่พี่เหรอ?” “ค่ะ” “นึกว่ามาหาพี่” ภวิศ อาจารย์ประจำภาควิชาแพทยศาสตร์ แม้ปีนี้อายุจะล่วงเลยไปถึง 34 ปีแล้ว แต่ใบหน้าของเขายังคงอ่อนเยาว์ ราวกับนิสิตนักศึกษาที่เพิ่งจบมาไม่นาน ยิ่งยามที่แย้มยิ้ม หน้าเขายิ่งดูเด็ก และอ่อนโยนลงมาก ต่างจากตอนที่สอน ใครๆก็บอกว่าอาจารย์หมอคนนี้ดุสุดๆ “ไม่ใช่สักหน่อย” “วันนี้ไม่มีเรียน?” “ค่ะ วันนี้วาวหยุด พี่พีททานกลางวันหรือยังคะ เราไปทานข้าวกันไหม” “พี่กำลังหิวพอดีเลย” แม้จะเพิ่งทานไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน แต่ก็รู้สึกเหมือนท้องว่างทันทีที่ถูกชวน ใบหน้าแสดงออกชัดเจนว่าดีใจ เดินนำร่างเพียวระหงไปอย่างไม่อิดออด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD