“เฮ้อ…แบบนี้ค่อยดูปลอดภัยขึ้นมาหน่อย” หญิงสาวถอนหายใจพลางทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาว บนโต๊ะกระจกเล็ก ๆ ตรงหน้ามีขวดเหล้าหลากหลายยี่ห้อเต็มไปหมด แต่เธอไม่คิดจะแตะมัน เพราะถ้าเมาขึ้นมา งานล่มแน่
ก๊อก ๆ
“คุณผู้หญิงครับ”
เมธาวีเงยหน้ามองประตู พยายามระงับความประหม่า ปรับเสียงให้มั่นคงก่อนตอบรับ
“เข้ามาได้ค่ะ”
เมื่อประตูเปิดออกก็มีร่างสูงใหญ่กำยำของชายหนุ่มเดินเข้ามา จากนั้นยืนเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดาน
อยู่ ๆ ก็มีคนหล่อมายืนให้เลือกแบบนี้ ใครเห็นก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา
เมธาวีรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้าเมื่อได้รับสายตาร้อนแรงจากเหล่าชายหนุ่ม เธอจึงเลือกที่จะหันไปมองพนักงานต้อนรับแทน
ทินกรเห็นสายตาของหญิงสาวก็ทำตัวไม่ถูก กลัวว่าจะกลายเป็นคนที่ถูกใจไปเสียแทน
“อะแฮ่ม คุณผู้หญิง ผมพาเด็ก ๆ มาส่งแล้ว ขอให้มีความสุขกับการบริการนะครับ” พูดจบก็รีบเดินออกไปทันที
เมธาวีมองตามตาค้างเมื่อถูกทิ้ง อ่า…แย่แล้วสิ แล้วเธอจะต้องทำยังไงต่อไปกัน เธอก็แค่มาจ้างงานเท่านั้นเอง
ในระหว่างที่หญิงสาวกำลังพะว้าพะวัง ปวริทกลับจ้องมองใบหน้าสวยหวานคุ้นตานั้นอย่างเงียบ ๆ ไม่สิ ไม่ใช่แค่คุ้นตา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เขารู้จักดีเลยต่างหาก ถึงจะไม่ได้เจอกันมาเกือบสิบปีแล้ว แต่เขาจะลืมใบหน้าของรักแรกได้ยังไง ไม่น่าเชื่อว่าจะได้มาเจออีกฝ่ายที่นี่ ในสถานที่สุ่มเสี่ยงแบบนี้ เธอกล้าจะมาแค่คนเดียวได้ยังไง หรือว่าเธอมีรสนิยมแบบเซ็กซ์หมู่กัน
“เอ่อ… มานั่งกันก่อนเถอะค่ะ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรพวกคุณหรอก” เมธาวีพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบอันน่าอึดอัด มือบางผายไปยังโซฟาและเก้าอี้ตัวอื่น ๆ
ชายหนุ่มทั้งห้าคนแยกย้ายไปนั่งคนละที่ด้วยความงุนงง แต่ก็ต้องยอมทำตามใจแขก
เมธาวีสูดลมหายใจเข้าลึก วันนี้เป็นวันที่เธอจ่ายหนักไม่น้อย ดังนั้นต้องได้อะไรติดมือกลับไปบ้างเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้น ขอสัมภาษณ์ไปทีละคนเลยนะคะ”
“ครับ?” ชายหนุ่มทั้งห้าขานรับด้วยความสงสัย
เมธาวีสัมภาษณ์ไปทีละคนอย่างใจเย็น ที่เธอต้องสัมภาษณ์ไปทีละคนแบบนี้ก็เพราะต้องการหาคนที่มีนิสัยเข้ากันได้ เพื่อพาไปแสดงละครต่อหน้าครอบครัวหัวโบราณของเธอ แต่คนแล้วคนเล่าก็ไม่มีใครเข้ากับเธอได้ จะเหลือก็แต่หนุ่มหล่อหน้าตาดีคนนั้นที่นั่งรออยู่นานแล้ว แค่เห็นท่านั่งและถือแก้วเหล้า ก็รู้แล้วว่าได้รับการฝึกฝนและมีประสบการณ์ในการแสดง แต่หล่อเกินไป ทั้งพ่อและญาติ ๆ ของเธอต้องไม่เชื่อแน่
ปวริทเห็นโฮสต์แต่ละคนเดินคอตกออกไปก็สงสัย แต่เมื่อเห็นหญิงสาวนั่งดื่มน้ำผลไม้อยู่คนเดียว ก็รู้สึกไม่พอใจที่ถูกเมิน เขารอตั้งนาน แต่ไม่ยอมเข้าหากันแบบนี้ จะดูถูกความสามารถของเขาเกินไปแล้ว
ร่างสูงในชุดสูทสีชมพูเดินมานั่งลงข้างกายหญิงสาวอย่างอวดดี เมื่อเห็นเธอมองมาด้วยความสงสัยก็ส่งยิ้มหวานให้
“คุณผู้หญิง ทำไมถึงเมินผมอยู่คนเดียวล่ะครับ ผมก็อุตส่าห์นั่งรอตั้งนาน”
มือที่ถือแก้วน้ำผลไม้สั่นไหวเบา ๆ
แค่เสียงทุ้มของเขาก็ทำเอาเคลิบเคลิ้มขนาดนี้ แถมยังมีหน้าตาเป็นอาวุธ มีรูปร่างสมส่วนอย่างกับรูปปั้นเทพเจ้า นี่มันขี้โกงเกินไปแล้ว คนเราจะหล่อขนาดนี้ได้ยังไงกัน
เมธาวีเหลือบมอง แต่เห็นอีกฝ่ายจ้องไม่หยุดก็รีบหลบสายตา
“ฉันแค่พักเหนื่อย”
ปวริทหัวเราะเบา ๆ กับคำตอบของหญิงสาว
“ก็คุณผู้หญิงเล่นคุยเหมือนสัมภาษณ์งานขนาดนั้น ไม่เหนื่อยก็แปลก แต่ผมเพิ่งเคยเห็นแขกแบบคุณเป็นครั้งแรกเลย คุณไม่อยากเล่นกับผมเหรอครับ” ชายหนุ่มถามพลางยื่นหน้าเข้าใกล้ราวกับต้องการยั่วยวน
เมธาวี พี่สาวคนสวยที่เป็นรักแรกของเขา เธอคงจำเขาไม่ได้แน่ เพราะเขาก็เปลี่ยนไปจากสมัยเป็นเด็กข้างบ้านเป็นอย่างมาก ไม่ได้มีร่างกายผอมแห้งขาดสารอาหารจนเธอต้องแอบทำอาหารให้เขากินอีกแล้ว ว่าแล้วก็คิดถึงอาหารฝีมือของเธอเหลือเกิน
อึก-
หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกเหมือนกำลังถูกเชิญชวนอย่างไรอย่างนั้น
“ฉัน…ไม่ได้มาเพื่อทำเรื่องอย่างว่าสักหน่อย”
ปวริทได้รับคำตอบก็เลิกคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนเทน้ำผลไม้ลงในแก้วของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ต้องมอมเหล้าแขกแล้ว แต่กลับอยากใช้เวลามากขึ้น
“แล้วคุณผู้หญิงต้องการอะไรหรือเปล่าครับ บอกผมก็ได้นะ หรือถ้าอยากระบายให้ผมฟังก็ได้เช่นกัน เผื่อคุณจะได้สบายใจขึ้น”
เมธาวีมองชายหนุ่มข้างกายอย่างลำบากใจ มันเป็นเรื่องส่วนตัว เธอจะพูดกับคนอื่นได้จริง ๆ หรือ
เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของหญิงสาว จึงแสดงตัวตนที่แท้จริง เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจ
“คุณเบล”
เมธาวีได้ยินก็สะดุ้งตกใจ มองอีกฝ่ายด้วยสายตาหวาดระแวง พลางขยับตัวหนีตามสัญชาตญาณ
“คุณรู้จักฉันได้ยังไง”
ปวริทมองใบหน้าตื่นตระหนกอย่างเอ็นดู
“ผมเอง เจ้าบัน เด็กข้างบ้านของคุณไงครับ”
เมธาวีได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มค้นคว้าความทรงจำของตัวเองทันที ก่อนที่ใบหน้าซูบตอบของเด็กชายคนหนึ่งจะแล่นเข้ามาในหัว หญิงสาวมองคนข้างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่เชื่อสายตา เด็กคนนั้นเคยมีร่างกายผอมแห้งมาก่อน เพราะครอบครัวยากจน นิพนธ์สั่งไม่ให้เธอยุ่งเกี่ยวกับเพื่อนบ้านมากนัก แต่ด้วยความสงสาร เธอจึงแอบขโมยข้าวไปให้เด็กคนนั้นบ่อย ๆ ตอนที่เรียนจบแล้วต้องออกจากบ้านก็นึกเป็นห่วง แต่เพราะกิจกรรมมากมายในมหาวิทยาลัย ทำให้เธอเผลอลืมตัวตนของเขาไป
“เจ้าเด็กสมบุกสมบันนั่นน่ะเหรอ” หญิงสาวครางพลางมองอย่างไม่เชื่อสายตา เจ้าเด็กคนนั้นกลายเป็นหนุ่มหล่อขนาดนี้ไปได้ยังไง!
ปวริทไม่ได้ยินชื่อเดิมมานานก็หัวเราะ
“ตอนนี้ผมเป็นบันนี่แล้วครับ ไม่ได้เจอนาน คุณเบลสวยขึ้นจนผมจำไม่ได้เลย”
ใบหน้าหวานร้อนผ่าวเมื่อได้รับคำชม ก่อนจะทำเป็นดื่มน้ำกลบเกลื่อน
“ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ หรือคุณไม่รู้ความหมายของแขกห้องพิเศษ”
เมธาวีแทบสำลัก แต่ก็เก็บอาการได้ทัน
ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่เพราะรู้ถึงได้มานี่ไงเล่า
“รู้สิ แต่ฉันไม่ได้จะทำแบบนั้นสักหน่อย ฉันมาหาคน” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจอคนรู้จักหรือเปล่า เธอถึงผ่อนคลายลงได้ขนาดนี้ ทั้งที่ตอนนี้ เธอกับเขาก็ไม่ได้แตกต่างจากคนแปลกหน้า
“มาหาคนเหรอครับ จะเอาไปทำอะไรเหรอครับ” ปวริทเอียงคอถาม
เมธาวีถอนหายใจเบา ๆ
“เฮ้อ…หาคนรับจ้างไปแสดงเป็นสามีน่ะสิ สักสามเดือน”