ตอนที่3(50%)

1982 Words
บทที่ 3 แล้วก็เป็นดังคาด พอตกสายเท่านั้นนางพรรณีก็หน้าตาตื่นมาขออนุญาตเอารถของไร่เพื่อจะพาหลานสาวไปหาหมอที่โรงพยาบาลประจำตำบลอย่างรีบร้อน ใบหน้าตึงเครียด "เป็นหนักมากเลยหรือแม่ณี" หญิงชราผู้เป็นนายหญิงใหญ่ของไร่เคียงฮักเอ่ยถามด้วยความร้อนใจเช่นกัน "ค่ะแม่เลี้ยง แทบไม่ได้สติแล้ว วันก่อนเจ้ามุ้ยก็บอกกับดิฉันอยู่ว่าเป็นไข้ สงสัยเมื่อคืนตากฝนมาอีกเลยทรุดหนัก" ธาดานั้นเห็นว่าต้องไปตามคนงานในไร่มาขับรถออกไปให้อีกคงวุ่นวายแย่เพราะลุงทองพูนไม่อยู่ เลยคิดว่าเขาจะอาสาพาเด็กมุ้ยไปหาหมอเองคงสะดวกกว่า "ป้าณีอยู่ดูแลคุณยายที่บ้านเถอะครับ เรื่องพามุ้ยไปหาหมอให้เป็นธุระของผมดีกว่า" หญิงสูงวัยดูเกรงใจหลานของเจ้านายอยู่มาก แต่เมื่อแม่เลี้ยงสายหยุดกล่าวชี้นำไปอีกว่า หากต้องอุ้มต้องประคองหรือต้องส่งต่อไปที่โรงพยาบาลใหญ่มันจะยุ่งยาก เพราะนางพรรณีนั้นขับรถไม่เป็น นั่นแหละแม่บ้านใหญ่จึงได้ยินยอม ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เด็กสาวไข้สูงต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลใหญ่ทันที เพราะหมอที่โรงพยาบาลประจำตำบลเกรงว่าเด็กสาวอาจจะปอดบวมต้องส่งต่อเท่านั้น แต่ใครเล่าจะคาดว่าลำปางมันช่างคับแคบนัก เมื่อมัทรีที่เพิ่งพาอนุพงศ์มาทำแผลทันได้เดินสวนทางกันที่ทางขึ้นตึกหน้า คนที่กำลังโมโหเดือดเลยไม่ฟังเสียงพบได้ก็ตรงเข้าจิกกระชากเส้นผมลูกสาวฟาดฝ่ามือใส่ไม่ยั้ง ...เผียะ! ....เผียะ! ...เผียะ! ... "โอ๊ย! แม่...อย่าทำมุ้ย...โอ๊ยแม่จ๋า...อย่าทำมุ้ย...แม่ฮือ..." ธาดาที่จู่ ๆ ก็ต้องมาเจอกับผู้หญิงท่าทางอารมณ์เดือดดาลก็ตื่นตกใจ กว่าจะตั้งสติเข้าไปขวาง เด็กสาวก็ถูกผู้หญิงเสียสติคนนั้นฟาดไปเสียหลายตุ้บหลายผลัวะจนเลือดไหลออกจากจมูกและริมฝีปากจนน่าตกใจ "ร.ป.ภ.มาช่วยหน่อยครับ" เมื่อแยกเอากายที่แทบไร้เรี่ยวแรงเดินมาไว้ด้านหลังได้ ชายหนุ่มก็ร้องเรียกร.ป.ภ.มากันเอาหญิงสาวที่ดูแล้วเหมือนคนเสียสติมากกว่าจะเป็นคนดีให้ออกห่างไปจากหลานสาวของแม่บ้านใหญ่ "อีมุ้ย อีลูกสารเลว ที่หายหัวไปทั้งคืนมึงถึงกับใจกล้าไปนอนกับผู้ชายมาใช่ไหม อีเด็กใจแตก อีลูกเลวกูไม่น่าเลี้ยงมึงมาจนโตให้ทำเรื่องขายหน้าแบบนี้เลย" ถึงมัทรีจะจดจำหลานของผู้มีพระคุณได้ แต่แล้วอย่างไรมันหายหัวไปทั้งคืนแล้วมีสภาพหน้าซีดปากเซียวมาโรงพยาบาลกับผู้ชายจะให้นางคิดดีไปได้อย่างไร "แม่..." คนที่ร่างกายป่วยไข้จนแทบสิ้นสติ ยังต้องมาเจอทั้งการกระทำและคำพูดที่ทำร้ายหัวใจกันอย่างร้ายกาจ ถึงกับจุกแน่นไปหมดจะพูดยังพูดไม่ออก เพราะหากคำพูดด่าทอเหล่านี้มันมาจากปากคนอื่น มณีกานต์จะไม่แคร์ไม่สนแต่นี่...นี่คือแม่...คือคนที่รู้จักนิสัยใจคอเธอดีกว่าใคร แต่กลับมาตะโกนด่าทอประจานเธอกลางโรงพยาบาลใหญ่ที่มีคนหลักพัน! "มึงอย่ามาเรียกกูว่าแม่อีมุ้ย ต่อไปนี้กูไม่มีลูกแบบมึง จะไปตายที่ไหนมึงก็ไปเลยนะ ไสหัวไปตายที่ไหนก็ไปเลย!" กายงดงามทว่าวาจาด่าทอร้ายกาจชี้นิ้วอันสั่นระริกใส่หน้าบุตรสาวคนเดียว ตะโกนด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายอีกหลายประโยค ก่อนจะถูกร.ป.ภ.ของโรงพยาบาลช่วยกันจับออกไปสงบสติอารมณ์ด้านนอก เด็กสาวมองตามไปจนลับสายตา สองมือกำแน่นทว่าดวงตากลับไร้น้ำตาสักหยดเดียว ธาดาเองเขาก็เป็นเพียงคนนอก ถึงจะเห็นใจแต่ก็ไม่ได้จะอยู่ในฐานะที่จะเข้าไปแทรกกลางช่วยพูดจาได้ ตลอดเวลากว่าหกวันที่มณีกานต์ต้องนอนให้ยาฆ่าเชื้อเพราะมีอาการแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ไปเป็นติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วย ยังดีที่ว่าถูกพามาพบหมอทันเวลาไม่อย่างนั้นเด็กสาวก็คงได้ไสหัวไปตายสมใจของมารดาแล้ว เพราะที่นอนโรงพยาบาลก็มีแค่นางพรรณีผู้เป็นยายขอลามาเฝ้าไข้เท่านั้น "แกแน่ใจหรือเจ้ามุ้ยว่าจะกลับบ้านไปหาแม่เราน่ะ" อดจะถามหลานสาวเมื่อนั่งรถกลับบ้านด้วยกันเสียมิได้ ก็ลูกสาวนางดูประกาศออกจะชัดเจนว่าจะไม่รับเอาหลานของนางแต่เป็นลูกของตนเองกลับไปอยู่ร่วมบ้านกันอีกต่อไป "แน่ใจจ้ะยายณี มุ้ย...ไม่อยากทิ้งแม่ เวลาแม่เมามุ้ยเป็นห่วง" เพราะเมาแต่ละครั้งมารดาจะต้องอยู่ท่ามกลางคนงานชายร่วมสิบคนเสมอ ถึงแม่จะเป็นแม่หม้ายแต่อย่างไรเล่าแม่เธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่ยังสาวและสวยมาก อันตรายมันมีไม่น้อย หากถูกข่มขืนแบบหมู่ขึ้นมาจะทำอย่างไรกัน ข่าวยิ่งมีทุกวันเธอทอดทิ้งแม่ไม่ได้ก็เพราะแบบนี้ ต่อให้แม่จะจงเกลียดจงชังขับไล่กันมานานแต่เธอก็ทิ้งแม่ไม่ลง แต่เกรงว่าคงไม่ใช่ครั้งนี้เพราะเพียงก้าวเท้าเข้าบ้านขนาดมีผู้เป็นยายติดตามเข้าไปด้วย มัทรีก็ยังไม่เกรงใจไว้หน้าทุบตีลูกสาวไม่พอยังขนข้าวของ ของลูกสาวออกมาโยนลงที่หน้าบ้าน จากนั้นก็ไปหาน้ำมันมาราดแล้วจุดไฟเผากันต่อหน้าต่อตา ธาดาเองที่วันนี้อาสาขับรถไปรับสองยายหลานกลับจากโรงพยาบาลเองยังถึงกับลงมาจากรถยืนมองภาพดังกล่าวด้วยความตกตะลึง ไม่คิดเช่นกันว่ามารดาคนหนึ่งจะทำร้ายลูกในไส้ได้ขนาดนี้ "แม่...ฮือ...แม่...อย่าไล่มุ้ยเลย มุ้ยอยากอยู่กับแม่ ให้มุ้ยอยู่กับแม่เถอะ" ถึงจะเสียดายหนังสือวิชาการที่เธอหามาอ่านมากมายที่ถูกเผา แต่มณีกานก็ตัดใจทำเพียงพุ่งเข้าไปกอดแข้งกอดขาของคนเป็นแม่ อ้อนวอนขอร้องไห้แม่ของตนไม่ขับไล่เธอออกไปจากบ้าน ต่อให้มัทรีตบตีจิกเล็บข่วนไปตามผิวกายเท่าใด เด็กสาวก็ไม่ยอมปล่อยสองแขนที่กอดรัดฝ่ายมารดา ...เพล้ง... ใครเล่าจะคาดถึงว่ามัทรีจะใช้ขวดเบียร์ที่อยู่ใกล้มือ ฟาดเปรี้ยงลงบนศีรษะของบุตรสาวตัวเองได้ลงคอ เพราะขนาดเด็กสาวเองยังไม่อยากจะเชื่อ มณีกานต์เงยใบหน้าขึ้นมองมารดาด้วยสายตาทั้งน้อยใจผสานปนเปไปกับความไม่เข้าใจว่าไยมารดาจึงอยากขับไล่ตนเองถึงเพียงนี้ ถึงเห็นสายตานั้นของลูกมัทรีจะชะงักไปอึดใจแต่ก็เพียงอึดใจเท่านั้น เพราะเธอตั้งสติกลับมาได้ ก็ใช้เท้าถีบเข้ากลางหน้าอกของคนที่ใกล้จะหมดสติ เพราะแรงกระแทกของขวดเบียร์ที่แตกกระจายทันทีเมื่อมันถูกฟาดลงมายังศีรษะด้านขวา "เอามันไป...ให้พ้นหน้าหนูเสียนะแม่...จะให้มันไปอยู่ที่ไหนก็ไป ยิ่งส่งมันไปหาไอ้พ่อชั่วของมันเลยยิ่งดี หนูเกลียดมันจะตายแล้ว! " ...เกลียดมันจะตายแล้ว... คำนี้ดังสะท้อนกลับไปกลับมาในหัวของเด็กสาวก่อนที่สติของมณีกานต์จะมืดลงคล้ายไฟถูกปิดสวิตช์อย่างไรอย่างนั้น! ...เกลียดมันจะตายอยู่แล้ว! ... "แม่! " กายผอมบางคนแทบจมหายไปกับที่นอนผุดลุกขึ้นมานั่งมึนงงอยู่เป็นครู่ "ฟื้นแล้ว เป็นยังไงบ้าง" เสียงที่ดังอยู่ริมหน้าต่างดังสติที่ยังสับสน อันไหนจริง อันไหนคือความฝัน ได้ตื่นเต็มตามณีกานต์เพ่งสายตามองสู้กับแสงสว่างของแดดยามบ่ายช่วงต้นเดือนเมษายน "ปวดหัวมากหรือ?" เป็นธาดาที่รับอาสาอยู่เป็นเพื่อนเด็กสาวที่สลบไปหลายชั่วโมง ส่วนนางพรรณีนั้นเขาให้กลับไปดูแลคุณนายแทน เพราะคงสะดวกกว่าหากจะมีการส่งตัวของสาวน้อยมณีกานต์ย้อนกลับไปโรงพยาบาลใหญ่ในตัวจังหวัดซ้ำอีกครั้งหากว่าเด็กสาวเกิดปวดหัวมากขึ้น "ไม่...เอ่อก็ยังพอทนไหวค่ะคุณธาม แล้ว...ยายณีละคะ" หลายวันมานี้เธอเริ่มจะคุ้นกับหลานชายของแม่เลี้ยงสายหยุดบ้างแล้ว เพราะถึงเขาพูดไม่เก่งแต่สายตาอบอุ่น เหมือนพี่ชายคนหนึ่งมองด้วยความเอ็นดูและเป็นห่วงน้องสาว มันทำให้เธอคนที่อยากพบหน้าพ่อและอยากมีพี่ชายที่สุดอดจะรู้สึกวางใจอีกฝ่ายเสียไม่ได้ "ป้าณีต้องกลับไปดูแลอาหารมื้อเที่ยงให้คุณยายเพราะฉันเองทำกับข้าวไม่เป็น ก็เลยขออยู่ดูเธอที่นี่แทน ตื่นแล้วก็รอเดี๋ยวนะ ฉันไปตามหมอมาตรวจอาการก่อนว่าจะต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่อีกไหม" บอกแล้วก็ไม่รอฟังคำตอบอะไรเดินดุ่มออกไปเลย แต่มณีกานต์นั้นก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วเพราะในหัวตอนนี้นั้นมีแต่ความเป็นห่วงคนเป็นแม่ แต่มันจนปัญญาที่จะกลับไปหาได้แล้ว ครู่หนึ่งคุณหมอก็เข้ามาตรวจอาการโดยรวม ก่อนจะอนุญาตให้เด็กสาวกลับไปพักที่บ้านได้ แต่ก็ยังต้องกลับมาล้างแผลที่หัวซึ่งแตกจนต้องเย็บไปถึงสิบห้าเข็มทุกวันจนกว่าจะตัดไหม "สงสัยปีนี้มุ้ยจะชงเข้มมากอย่างที่ยายณีบอกจริง เข้าโรงพยาบาลไม่เว้นวันเลย" เมื่อขึ้นมานั่งอยู่บนรถร่วมกัน ประโยคแรกที่มณีกานต์เอ่ย ทำเอาชายหนุ่มที่อายุมากกว่าเด็กสาวถึห้าปีเช่นธาดา ถึงกับขมวดหัวคิ้วยุ่ง แล้วหันไปมองคนนั่งข้าง แต่ที่เขาพบเจอก็คือรอยยิ้มแต้ไม่มีวี่แววของเด็กที่ถูกมารดาขับไล่ออกจากบ้านเลยสักนิด "ไม่เสียใจหรือโกรธแม่บ้างเลยหรือไงเรา" อดไม่ไหวชายหนุ่มจึงต้องถามออกไป เพราะนี่มันยุคสมัยที่ลูกมักเป็นเทวดานางฟ้ากันทั้งนั้นหากใครถูกพ่อหรือแม่กระทำแบบที่มณีกานต์เจอ หากไม่กรีดร้องโวยวายก็จะต้องนั่งซึมกินน้ำตาแทนข้าวเท่านั้น "ไม่รู้จะโกรธอะไร มุ้ยคิดว่าทุกอย่างที่แม่ทำต้องมีเหตุและผล เพียงแต่มุ้ยยังไม่รู้ว่าแม่ทำแบบนี้ทำไม มุ้ยโตมากับแม่กับยายค่ะคุณธาม แม่ของมุ้ยเป็นพวกแสดงออกไม่เก่งว่าเขาเป็นห่วงมุ้ยเป็นห่วงยายณีมากแค่ไหน" ...โลกสวยไปอีกอีหนูเอ๊ย... "จริง ๆ นะคะ คุณธามอาจไม่เชื่อเพราะคุณธามไม่ได้ใกล้ชิดกับแม่มัทแบบมุ้ย แต่มุ้ยยืนยันค่ะว่าเข้าใจแม่ที่สุด อาจมากกว่ายายณีอีก" เด็กสาวมองสายตาของธาดาก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังคิดนินทาว่าตนเองคงเป็นพวกสาวน้อยโลกสวย ประหนึ่งไปเดินอยู่เพียงทุ่งดอกลาเวนเดอร์ที่กำลังอยู่ในช่วงแสงแดดอบอุ่นอยู่เป็นแน่ จึงหันมาเอ่ยยิ้มอ่อนให้เขาเต็มหน้าโดยไร้แววโกรธเคืองหรือน้อยใจมารดาจริงดังปากว่าเสียด้วย "แม่ของมุ้ยก็แค่เป็นผู้ใหญ่มีปัญหาทางใจคนหนึ่งเท่านั้นค่ะคุณธาม" " ??? " ...เด็กคนนี้นี่...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD