บทที่3(((นี่หรือคือบิดาของข้า)))

2608 Words
นับจากวันที่เด็กสาวจากยุค2021พบว่าตนเองมาฟื้นขึ้นในร่างของ’ คุณหนูใหญ่’ จวนท่านเอกอัครมหาเสนาบดีใหญ่ของเทียนหนิงเช่นมู่หรงเจินจูเด็กสาววัย14หนาวก็ผ่านมาครบ2เดือนพอดี นางต้องผ่านการปรับตัว ต่อสู้กับความเศร้าโศกที่ต้องสูญเสียและจากลาจากคุณป้านวลปรางที่นางคุ้นเคย แล้วยังต้องคอยรักษาตัวให้รอดพ้นจากเหล่ามารดาเลี้ยงทั้ง3ซึ่งแน่นอนคนที่ร้ายกาจที่สุดย่อมเป็นเหวินเซียนเซียน ส่วน’ ตู้อวี่หราน’ กับ’ หลานผิงผิง’ นั้นยังพอรับมือกันได้ไหวอยู่ อันที่จริงหาใช่นางแต่เป็นโจวหลิงฟางกับจางเสี่ยวถิงที่ออกสู้รบแทนนางเสียละมากกว่า ความวุ่นวายทั้งหลายที่มีมากเลยทำให้เด็กสาวพอจะหลงลืมความเสียดายและอาวรณ์ต่อชีวิตอันสุขสบายในยุคที่ตนตายจากมา พอรู้ตัวอีกที่นางก็กลายเป็นมู่หรงเจินจูคุณหนูใหญ่ผู้แสนจะอาภัพยิ่งกว่านางเอกละครหลังข่าวในทีวีไทย ไปอย่างเต็มตัวเสียแล้ว วันนี้ท่านน้าหลิงฟางกับท่านอาจางเสียนอีกับพี่จางเสี่ยวถิงต่างบอกกับนางว่าวันนี้คือวันครบรอบอายุครบ15หนาวพอดี สำหรับชาติภพเดิมวันเกิดนางต้องไปวัดทำบุญทุกครั้ง แต่ที่นี่โลกที่มีส่วนคล้ายยุคจีนโบราณอยู่ไม่มาก เด็กสาวจำต้องเพิ่มการไปกราบไหว้หลุมศพของมารดากับน้องชาย ที่สุสานสกุลมู่หรงอีกด้วย จากเดิมที่นางก็ต้องตื่นเช้าอยู่แล้ว เพราะนับจากมาอยู่ที่จวนสกุลมู่หรงได้ครบเดือนนางก็รู้ซึ้งถึงฤทธิ์แม่เลี้ยงมหาภัยเช่นเหวินเซียนเซียนอย่างถึงแก่นใจ เพราะนอกจากข้าวสารที่จะเรียกให้ถูกก็คือข้าวปลายสำหรับเอาไว้ต้มเลี้ยงสัตว์เราดีๆ นี่เองจะถูกแบ่งปันมาให้อยู่แต่ก็น้อยนิดจนน่าตกใจ เช่นนี้จึงอย่าได้เพ้อฝันทีเดียวว่านางกับพี่เลี้ยงและคนดูแลทั้งสองจะได้รับเงินทองรายเดือนที่บิดานางจัดสรรให้แม้แต่อีแปะเดียว ต่อให้บิดานางมีคำสั่งแก่พ่อบ้านซางอย่างดีทว่าพอท่านพ่อนางต้องออกเดินทางไปต่างเมืองยามใดทุกสิ่งก็ถูกตัดขาดเสียยิ่งกว่าลืมจ่ายค่าไฟฟ้าแล้วโดนยกมอนิเตอร์ไปอย่างไรอย่างนั้น แล้วที่ผ่านมา2เดือนบิดาของนางก็อยู่จวนเพียง5วัน ...เหอ... หากรอคอยเสบียงจากเรือนหลักชีวิตทั้งสามก็มืดมนเสียแล้วส่วนว่าอดีตตลอดมาทั้ง4ชีวิตในเรือนเล็ก (เรียกเสียน่ารักน่าชังน่าชังเชียว) ซึ่งภาพกระท่อมกลางสวนยางพาราทางภาคใต้ของไทยยังจะดูดีและใหญ่กว้างขวางกว่าอยู่พอสมควรต่างเอาชีวิตรอดไม่พากันอดตายทั้งนายและบ่าวไปได้อย่างไรกันนั้น ก็เพราะท่านอาจางเสียนอีนั้นถือว่ามีฝีมือแถมร่างกายยังกำยำสูงใหญ่วรยุทธ์ก็นับว่าดีเพราะเคยเป็นทหารองครักษ์ในตำหนักหลางหวางแห่งต้าฉู่มาก่อนเขาจึงอาศัยสิ่งเหล่านี้ไปสอบเป็นมือปราบยังกรมอาญาแต่เพราะเป็นคนต่างแดนเขาจึงได้เพียงตำแหน่งผู้ช่วยมือปราบเล็กๆ พอได้เงินเดือนมาไว้ใช้สอยกัน4ชีวิตถึงไม่อดตายแต่พวกเขาทั้งหมดก็ใช่จะสบายดี ยังต้องประหยัดกันจนตัวลีบให้ผ่านพ้นไปในแต่ละเดือน ...น้ำเน่ากว่าละครไทยไปอีก... ดังนั้นหลังจากที่เด็กสาวเริ่มปลับตัวเข้ากับชีวิตใหม่โลกใบใหม่และทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายอันแปลกแยกได้ดีขึ้น มู่หรงเจินจูจึงคิดหารายได้มาจุนเจือครอบครัว โดยไม่ต้องรอคอยแต่เงินเดือนเบี้ยหวัดของท่านอาเสียนอีแต่เพียงทางเดียว เพราะสมัยที่อยู่กับป้านวลปรางถึงจะเป็นช่วงเวลาไม่นานนักในแต่ละครั้งแต่ทุกครั้งนางก็ช่วยเป็นลูกมือของป้านวลปรางทำขนมไทยหลายชนิดไปฝากวางขายตามร้านหรือบางครั้งก็อาจมีชาวบ้านใกล้เคียงมาจ้างให้ผู้เป็นป้าของนางทำขนมในงานต่างๆ เช่นงานแต่งงานงานบวชไปจนถึงงานทำบุญต่างๆ ตอนนั้นนางทั้งสนุกและชมชอบการทำขนมไทยจนต้องหมั่นฝึกฝนฝีมืออยู่บ่อยครั้ง เรียกเมื่อปิดเทอมสุดท้ายก่อนลาจากฝีมือของนางก็ใกล้เคียงกับผู้เป็นป้าอยู่มาก มู่หรงเจินจูจึงทดลองสอบถามกับน้าหลิงฟางและที่จางเสี่ยวถิงถึงตลาดที่ใกล้กับจวนสกุลมู่หรงว่ามีกี่ที่ จากนั้นนางก็เริ่มออกไปสำรวจหาวัตถุดิบที่จะนำมาประกอบขนมที่ตนเองถนัดและทำเป็น ว่านางจะพอทำขนมอะไรไปวางขายได้บ้าง กับเริ่มสำรวจกำลังซื้อ ความชมชอบว่าชาวบ้านเขานิยมอาหารอย่างไร โดยระหว่างนั้นเด็กสาวก็พบว่าที่ท้ายจวนแห่งนี้น้าโจวหลิงฟางกับที่จางเสียวถิงต่างก็ช่วยกันปลูกผัก และเลี้ยงไก่กับเป็ดเอาไว้ประกอบอาหารโดยไม่ต้องซื้อหาหรือเอาแต่รอคอยโรงครัวของจวนใหญ่ที่จะแบ่งปันมาให้ ถึงร่างกายนี้จะเป็นเด็กวัยเพียง14หนาวเต็มในวันนี้แต่เพราะอยู่อย่างลำบากอดมื้ออิ่มมื้อจึงผอมแห้งดังกับเด็กเพิ่ง8-9หนาวเท่านั้น แต่ความคิดนั้นนางคือเด็กสาววัย17ปีที่เติบโตมากับชีวิตลูกหลานชาวไร่ชาวนาซึ่งคือฝ่ายบิดากับซึมซับหัวการค้ามาจากฝ่ายมารดาก็คือคุณป้านวลปราง ทำให้เด็กสาวมองเห็นหนทางพอได้ทำเงินอีกทางหนึ่งนอกจากจะคิดทำขนมออกขายแล้ว นั่นก็คือ ปลูกผัก อายุสั้นเก็บเกี่ยวได้เร็วออกขาย หรืออย่างน้อย ก็อาจนำผักที่มีไปแลกเปลี่ยนเป็นอาหารสดและแห้งอย่างอื่นมาเก็บไว้กินต่อไปได้ ดังนั้นผ่านไปสองเดือนเรือนหลังน้อยที่ตั้งอยู่ท้ายจวนอัครมหาเสนาบดีใหญ่ที่ถูกละเลยหลงลืม ฝนตกคราใดต้องหาภาชนะวิ่งลองกันให้วุ่น พ้นสภาพผุพังโย้เย้ ไปราวเจ็ดส่วนแล้ว แถมในห้องครัวยังมีข้าวสารที่เป็นข้าวสารจริงๆ ไม่ใช่ข้าวปลายเอาไว้ต้มเลี้ยงสุกรใส่อยู่เต็มถังคาดว่าพอกินไปอีกราว2ถึง3เดือนเลยทีเดียว “คุณหนูใหญ่นี่เป็นสุราที่ข้าขอแบ่งซื้อมาจากเซียงหยุนโหลว ฮูหยินชอบมากวันนี้ท่านอามีงานสำคัญคงได้แต่ฝากสุรานี้ไปเซ่นไหว้ฮูหยินเอกแล้วขอรับ” ริมฝีปากเล็กเกือบจะหลุดตำหนิท่านอาจางเสียนอีไปอยู่แล้วที่เงินทองก็หายากกลับใช้ไปซื้อสุราแสนแพงมาจากเซียงหยุนโหลวที่หากไม่ใช่คุณหนูหรือคุณชายจากตระกูลใหญ่คงยากจะก้าวเข้าไปนั่งกินได้ แต่เมื่อนางทบทวนให้ดีที่แห่งนี้เขาถือเรื่องเหล่านี้ และนี่คือความตั้งใจมุ่งมั่นอันจงรักภักดีต่อผู้เป็นนายที่ตายจากเด็กสายจึงเร่งปิดปากจนสนิทแล้วรับเอาขวดสุรามาใส่ลงยังตะกร้าที่มีอาหารกับเครื่องเซ่นไหว้คนตายที่ท่านน้าหลิงฟางจัดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สว่าง “ท่านอา...เสียนอี...หากเสร็จธุระแล้ว...เจินเอ๋อร์...จะแวะเอาขนมไป...ให้ท่านอา...เสิ่น...นะเจ้าค่ะ” ต่อให้ผ่านมา2เดือนการพูดนี้มู่หนงเจินจูนางก็ยังไม่สามารถพูดได้ปกติเช่นชาติเก่าแต่ก็พอที่จะพูดประโยคที่ยาวมากขึ้นได้แล้ว ไม่ใช่พูดได้ทีละคำเช่นช่วงแรกที่ฟื้นคืนจากความตาย "ขอรับคุณหนูเดี๋ยวข้าจะบอกอาเสิ่นให้เขารู้ไว้หากคุณหนูไปแล้วไม่พบเขาจะได้ฝากของไว้กับคนที่กองปราบได้ ที่จริงหากวันนี้ข้าไม่ต้องติดตามหัวหน้าเผยออกไปนอกเมืองก็จะเป็นธุระเอาไปส่งให้แก่เขาคุณหนูจะได้ไม่ลำบากต้องไปส่งเองเช่นนั้น" จางเสียนอีนั้นวันนี้ต้องออกไปนอกเมืองจึงนำขนมที่ช่วงหลังมานี้คนที่กองปราบหน่วยที่เข้าประจำการอยู่มักรับฝากคำสั่งซื้อมาจากเหล่าฮูหยินของพวกตนให้ช่วยรับเอาขนมที่มู่หรงเจินจูกับภรรยาและลูกสาวของเขาช่วยกันทำขายกลับบ้านไปด้วยในช่วงเย็นอยู่เสมอ วันนี้ก็มีฝากซื้อมาอีก2รายเช่นนั้นจึงต้องเป็นมู่หรงเจินจูและจางเสี่ยวถิงที่ต้องแวะไปส่งกันด้วยตนเอง "มิเป็นไร...เจินเอ๋อร์...ต้องไป...ซื้อของ...อยู่แล้ว" นับจากฟื้นมาครานี้คุณหนูตัวน้อยที่พวกเขาฟูมฟักประดุจลูกอีกคนก็ดูสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นนอกจากเริ่มพูดจาได้แล้วนางยังขยันแย้มยิ้ม เห็นแล้ว3พ่อแม่ลูกก็ต่างชื่นใจอย่างยิ่ง "คุณหนู...อย่าลืมนะเจ้าค่ะ หากอยู่ภายนอกจงอย่าเผลอพูดออกไปเป็นเด็ดขาด" ก่อนก้าวออกจากเรือนไปยังสุสานน้าหลิงฟางก็ยังกำชับจริงจังซ้ำอีกเป็นรอบที่เท่าไหร่มู่หรงเจินจูนางก็ครานจะนับแล้ว …เหตุใดต้องกำชับกันหนักแน่นเช่นนี้นะหรือ? ... ก็เพราะแต่เด็กมามู่หรงเจินจูคุณหนูใหญ่ผู้นี้พูดแม้ครึ่งคำยังไม่เคย จวบจนวันที่นางถูกลงโทษโบย20ไม้จากฮูหยินรองเหวินเซียนเซียนเพราะเผลอไปเดินชนลูกสาวของนางจนล้มทั้งที่จากความจริงกลับเป็นฝ่ายน้องสาวต่างหากที่เดินมาชนนาง แต่คนที่ถูกเกลียดต่อให้ยืนเฉยๆ ก็ผิดนางจึงถูกลงโทษดังไม่ใช่คน โดยที่ท่านปูท่านย่าหรือคนอื่นๆ ในจวนใหญ่แห่งนี้มองดูนิ่งเฉยไม่ยุ่งเกี่ยว กว่าครอบครัวสามพ่อแม่ลูกนี้จะไปพบเข้านางก็ถูกนำมาโยนให้นอนตากฝนอยู่มากกว่า2ชั่วยามเสียแล้ว ซึ่งความจริงเด็กสาวหาได้เพียงสลบแต่คาดว่าคงสิ้นใจไปแล้วจึงเป็นวิญญาณของกัญญากรที่ได้โอกาสมาอาศัยยังกายนี้แทนและวันนั้นก็คือวันแรกที่นางพูดออกไป ส่วนเหตุใดต้องปกปิดก็เพราะหากฮูหยินรองรู้ว่าลูกเลี้ยงไม่ได้เป็นใบ้ดังที่ทุกคนเข้าใจมาโดยตลอด ความลับหลายอย่างที่เด็กน้อยรู้ก็จะต้องแตกออกไป ย่อมไม่ใช่ผลดีคนจิตใจอำมหิตเช่นนั้นพอดีพอร้ายอาจกำจัดนางทิ้งเสียก็ได้ เช่นนี้หากนางยังอยากอยู่ให้สงบก็ควรกลายเป็นคนบ้าใบ้เช่นเดิมคงปลอดภัยที่สุด เพราะการที่ฮูหยินรองคบชู้หลุดออกไป มีแต่ตายกับตายเท่านั้นที่จะวิ่งมาสู่ชีวิตน้อยๆ ของนาง! “ทราบแล้ว…เจ้าค่ะท่านน้า…หลิงฟาง” เพราะปกติกายเดิมนางก็คงพูดติดอ่างเช่นนี้มู่หรงเจินจูคนที่ตายจากไปแล้วบางทีคงอับอายจึงไม่ยอมพูด หาใช่นางพูดไม่ได้เป็นใบ้ดังทุกคนเข้าใจ แต่เพราะไม่เคยพูดมานานพอเวลานี้ที่นางคิดจะพูดจึงติดอ่างเลยต้องพยายามพูดให้ช้าเอาไว้ ถึงชัดเจนดีแต่มันก็น่ารำคาญอย่างมากในความรู้สึกของคนที่พูดจาได้ปกติมา15ปี ยังดีที่ร่างนี้สนใจใฝ่เรียนเขียนอ่านต่อให้มีเพียงท่านน้าโจวหลิงฟางกับท่านอาจางเสียนอีเป็นผู้สลับกันสอน นางก็ยังจดจำได้ดีเขียนครองอ่านได้ดี ทุกวันนี้ยามนางไปแลกเปลี่ยนข้าวของหรือขายขนมจึงใช้วิธีสื่อสารด้วยการเขียนแทน ทุกวันนี้ที่ขาดจากกายไปไม่ได้จึงเป็นกระดานชนวนกับช็อกขาว บางวันหากช็อกหาไม่ได้ก็ต้องใช้ถ่านที่เหลาจนแหลมเรียวพกพาสะดวกแต่ที่ไม่สะดวกเลยก็คือยามที่เร่งรีบแล้วใช้มือลบกระดานชนวนถ่านต่างจากช็อก บางวันใบหน้าเล็กของคุณหนูใหญ่ที่ตัวเล็กนิดเดียวเลยมอมแมมเปื้อนไปด้วยรอยถ่านดำ หลุมศพของมารดานางนั้นอยู่เกือบชิดชายเขายามที่นางไปถึงกลับมีร่องรอยของคนมากราบไหว้อยู่ก่อนแล้วเพราะมีเครื่องเซ่นยังสดใหม่กับดอกไม้ป่าวางอยู่ นางช่วยกับจางเสี่ยวถิงจัดวางโดยที่โดยรอบหลุมศพนั้นถูกพวกนางและทั้ง3พ่อแม่ลูกมาเก็บกวาดกันไปแล้ว วันนี้จึงมีเพียงมากราบไหว้ เสร็จแล้วนางกับจางเสี่ยวถิงก็จะเลยไปยังกองปราบและตลาดตามลำดับ "เจินเอ๋อร์" น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลนี้เด็กสาว ได้ยินก็จดจำได้ว่าคือผู้ใด กายเล็กหันไปเผชิญหน้ากับบิดาแล้วทำเพียงส่งยิ้มสดใสจนแก้มที่เริ่มกลมคล้ายก้อนแป้งซาลาเปามากกว่าเมื่อ2เดิอนก่อนทำให้หัวใจของผู้เป็นพ่อรู้สึกยินดีเสียมิได้ "ไม่พบหน้าเจ้า2เดือนเจ้าดูสดใสขึ้นมากนะเจินเอ๋อร์ ขอท่านพ่อ...กอดเจ้าได้หรือไม่" ดวงตากลมโตสดใสมองคนตรงหน้าอย่างตัดสินใจปกติในอดีตตอนเป็นกัญญากรนางก็ไม่ใช่พวกลูกที่ติดบิดาจนต้องกอดต้องหอมกันยามนี้เลยลังเลเล็กน้อย แต่เพียงเห็นสีหน้าที่คล้ายจะผิดหวังที่นางเอาแต่มองเขานิ่ง ก็เรียกสติเด็กสาวกลับมาอีกครั้ง ว่าเช่นไรคนตรงหน้าก็คือบิดา หากไร้เขาก็ไร้นางในวันนี้เช่นกัน "..." มู่หรงเยี่ยนมคาดว่าเพียงสองแขนเล็กนี้โอบกอดรัดรอบเอวเขาความเดียวดายที่มีมากว่า14หนาวจะพลันเลือนหายไปเร็วไวชวนเหลือเชื่ออย่างยิ่ง กว่าจะรู้ตัวว่าตนเองโอบกอดกายเล็กของบุตรสาวคนโต้โต้ตอบคืนไปเช่นกันก็ต่อเมื่อเขาสัมผัสได้ว่าน้ำอุ่นร้อนเริ่มไหลรินลงมาจากสองตาเสียแล้ว จางเสี่ยวถิงเมินมองไปทางอื่น คนติดตามของท่านอัครมหาเสนาบดีหนุ่มใหญ่เองต่างก็เร่งหลบออกไปเสียจากตรงด้านหน้าป้ายหลุมศพที่เดียวดายมาได้15หนาวเท่ากับอายุสาวน้อย "ขอโทษ...ท่านพ่อขอโทษ" มู่หรงเยี่ยนพูดได้เท่านั้นจริงๆ 15หนาวที่เขามิอาจยื่นมือไปปกป้องเด็กน้อยที่เป็นสายเลือดตนเองแท้ๆ เพราะภาระหน้าที่ของบุตรชายคนโตบีบบังคับ จนเมื่อ2เดือนที่ผ่านมาจึงรู้ว่าเขาช่างเป็นบิดาแสนมารเลวอย่างยิ่งที่ละทิ้งบุตรของตนเพียงเพราะความกลัว... ยิ่งลูกน้อยนางคล้ายไม่เคยคิดถือโทษที่เขาละเลยนาง มู่หรงเยี่ยนก็รู้ว่าตนช่างเป็นพ่อที่เลวเกินอภัย!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD